ตอนที่ 62 - 3 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

มหาปราชญ์ฉังฟังพุ่งเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวด้วย ถลึงตาใส่ซังต้ง เอ่ยว่า “เหตุใดเจ้ากองเซ่นไหว้ซังต้องหุนหันพลันแล่นเช่นนี้? ฝ่าบาททรงแบกรับชะตากรรมของแคว้นต้าฮวงและปากท้องของอาณาประชาราษฎร์ เจ้ากล้าใช้กำลังประทุษร้ายหรือ?” 

 

 

“ผู้ที่เหยียดหยามชื่อเสียงดีงามนับร้อยปีแห่งตระกูลกองเซ่นไหว้ของข้า เป็นศัตรูต่อตระกูลซังของข้าตลอดกาล!” ซังต้งสูญเสียจิตใจสง่างามแต่ก่อนไปแล้ว เสียงแหลมคม 

 

 

จิ่งเหิงปัวเอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้ แกะเกาเล็บพลางยกมือขึ้นเป่าบ่อยครั้ง ไม่ได้มองซังต้งแม้แต่แวบเดียว 

 

 

กล่าวอย่างโกรธเกลียดเคียดแค้นกันขนาดนี้ทำอะไร? หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยเห็นข้าเป็นเพื่อนด้วยเหรอ? 

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกถึงคำกล่าวประโยคหนึ่งของไท่สื่อหลัน คนอื่นไม่ทำร้ายฉันฉันไม่ทำร้ายคนอื่น ถ้าคนอื่นทำร้ายฉันฉันต้องทำร้ายคืนเป็นเท่าตัว 

 

 

นี่คือคำกล่าวเพียงประโยคเดียวที่นางเห็นด้วยกับไท่สื่อหลัน 

 

 

“เหยียดหยามเจ้าหรือไม่ สามวันหลังจากนี้คงได้รู้กันแล้ว!” ฉังฟังไม่ร่นถอยแม้แต่น้อย 

 

 

“ใช่แล้ว” เฟยหลัวที่มองดูอยู่เงียบเชียบโดยตลอดลุกขึ้นโดยพลัน ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “กองเซ่นไหว้ไม่ต้องโกรธแค้นหรอก เอ่ยจนถึงที่สุดแล้ว วาจามิอาจเอ่ยพร่ำเพรื่อ เอ่ยออกมาจากปากย่อมต้องรับผิดชอบ ในเมื่อฝ่าบาทตรัสว่าภายในสามวันหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ต้องถูกฟ้าผ่า ฝ่ายข้าคอยมองดูย่อมได้ ทว่าหม่อมฉันกลับมีวาจาอยากทูลถามฝ่าบาท หากภายในสามวัน หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ปลอดภัยไร้ความเสียหาย พระองค์จะตรัสอย่างไร?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชำเลืองสายตาวูบไหวไปมองนางแวบหนึ่ง 

 

 

ผู้หญิงที่เล่นการเมืองน่ะไม่งดงามเลย ดูความแปลกประหลาดแวววาวทั่วหน้านั่นสิ โฉมสะคราญคนหนึ่งแท้ๆ ทำท่าทางหน้าเบี้ยวปากสั่น 

 

 

จิ่งเหิงปัวแสดงตนว่าจะต้องเป็นหญิงแกร่งทางการเมืองรุ่นใหม่ที่ทั้งงดงามทั้งเปี่ยมด้วยพลังความสามารถที่แท้จริง 

 

 

“จะเอ่ยอย่างไรได้อีก? พวกเจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น” นางยิ้มตาหยีเท้าคางไว้ เอ่ยว่า “ไม่ให้ขึ้นครองราชย์เอย เนรเทศเอย พวกเจ้าไม่ใช่ครุ่นคิดมาโดยตลอดหรือ?” 

 

 

เฟยหลัวหัวเราะโดยไม่มีรอยยิ้ม 

 

 

“ทว่าในทางกลับกัน หากข้าเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าจะว่าอย่างไร?” 

 

 

“พระองค์ทรงเป็นราชินี เดิมทีพระองค์ควรจะถูกต้องเสมอ” คำตอบของเฟยหลัวเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก 

 

 

“ข้าถูกต้องเสมอ?” จิ่งเหิงปัวเบนสายตาชำเลืองมองนาง กล่าวว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าคือคนเลวทรามที่ทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์แน่ะ เจ้าว่าถูกต้องหรือไม่?” 

 

 

ใบหน้าสีชมพูของเฟยหลัวขึ้นสีเขียวคล้ำในพริบตา 

 

 

“เหอะๆ ยกตัวอย่างเท่านั้นเองอย่าโกรธสิ เจ้าจะเป็นคนเลวทรามไปได้อย่างไรเล่า? เจ้าเป็นคนโหดเ**้ยมชัดแจ้ง อีกทั้งทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์ นี่คือความสามารถที่โฉมสะคราญระดับเลิศล้ำทั่วหล้าถึงจะมีได้ แม้ว่าเจ้าเองนับว่ารูปโฉมระดับปานกลาง ทว่ายังห่างชั้นอีกมากนัก” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกา 

 

 

สีหน้าเขียวคล้ำของเฟยหลัวเปลี่ยนเป็นซีดขาวประหนึ่งน้ำค้างแข็ง เสนาหญิงแคว้นเซียงผู้เข้าสนามรบได้สนทนาเรื่องแคว้นได้วางกลอุบายได้เล่นเรื่องการเมืองได้ ปรับตัวต่อการด่ากราดต่อหน้าที่ทั้งชั่วร้ายทั้งไร้ยางอายเช่นนี้ไม่ได้เล็กน้อยไปชั่วขณะโดยแท้ 

 

 

จิ่งเหิงปัวแสดงออกว่าเรื่องนี้จิ๊บจ๊อย ขอแค่นางได้รู้จักนักเลงคีย์บอร์ด 

 

 

สีหน้าของเซวียนหยวนจิ้งไม่น่ามองเช่นกัน เขาพบว่าราชินีองค์ใหม่แลดูอย่างเกียจคร้านผ่อนคลายไร้อารมณ์ ยามปะทะคารมณ์ขึ้นมากลับมีฝีปากดีเลิศเด็ดขาด สิ่งสำคัญคือไม่ว่าวาจาใดนางเอ่ยออกมาได้ทั้งนั้น คำว่าสังวรณ์สถานะตนคำหนึ่งนี้ไม่ดำรงอยู่เบื้องหน้านาง 

 

 

“ฝ่าบาทเหตุใดต้องตรัสวาจาอ้อมค้อม ไม่สู้ตรัสให้ตรงไปตรงมา” 

 

 

“เจิ้นไม่เคยเอ่ยวาจาอ้อมค้อมกับสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม คราวนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีหนทางหรือ” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืนตรง กล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “ข้าจะเอ่ยถึงคำพยากรณ์เทพเรื่องที่สองแล้ว เทพยดาตรัสว่าข้าคือราชินีลิขิตสวรรค์ ท่านทรงเลือกให้ข้าจุติยังต้าฮวง ย่อมมีหน้าที่ช่วยชีวิตราษฎร ส่งเสริมต้าฮวงให้เจริญรุ่งเรือง ทว่าระบอบราชินีไม่อาจยุ่งเกี่ยวการเมืองในยามนี้ไม่สอดคล้องกับโองการของเทพ ราชินีผู้หนึ่งซึ่งงงงวยไม่รู้ความเรื่องแคว้น จะแสดงพลังที่เทพทรงประทานมาให้ได้อย่างไร?” 

 

 

“ใช่แล้ว!” ฉังฟังพยักหน้าต่อเนื่องโดยพลัน เอ่ยว่า “ฝ่าบาทเฉลียวฉลาดเปี่ยมพรสวรรค์ ความรู้ลึกซึ้งกว้างไกล มีปณิธานยิ่งใหญ่ความสามารถเลิศล้ำ หากปล่อยความสามารถเช่นนี้ทิ้งไว้ข้างหนึ่ง คือความสูญเสียของต้าฮวงของเรา ความสูญเสียของราษฎร กระหม่อมคิดว่าควรจะแก้ไขกฎหมาย อนุญาตให้ฝ่าบาทได้ทรงฟังการเมือง หรือเสนอคำแนะนำที่สมเหตุสมผลในเรื่องแคว้นอย่างเหมาะสมถึงจะถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเกาคาง…คนที่ผู้เฒ่านี้เอ่ยถึงใช่นางเหรอ? 

 

 

นางจำได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เหวินเจินประเมินนางคือปณิธานชั่วร้าย ไม่เป็นโล้เป็นพาย หน้าตาตะกละตะกลาม โง่เง่าชั่วชีวิต 

 

 

ประโยคนี้ล่ะ ซ้ำยังเป็นการประเมินสูงที่สุดของนางที่สามคนประเมินให้แล้ว 

 

 

“ราชินีทรงเป็นผู้ปกครองกิตติมศักดิ์แห่งแคว้น ทรงเป็นกษัตริย์แห่งจิตวิญญาณของราษฎรแห่งต้าฮวง ขณะทรงดำรงตำแหน่งไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการเมือง สิ่งนี้คือกฎเหล็กนานนับร้อยปีของต้าฮวง คือบรรทัดฐานสำคัญอันดับหนึ่งซึ่งองค์ปฐมจักรพรรดิบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร!” เสียงของเซวียนหยวนจิ้งตัดเยื่อใย เอ่ยว่า “มหาปราชญ์ยังจำเชิงอรรถข้อสุดท้ายได้หรือไม่?” เขาทำสีหน้าอึมครึม เบื้องลึกนัยน์ตาแวววาวด้วยประกายเพลิงน่าสะพรึงกลัว เอ่ยทีละคำละคำว่า “ขอเพียงวางแผนดิ้นรนล่วงละเมิดกฎหมายนี้ จับจ้องหวังช่วงชิงตำแหน่งผู้ปกครองการเมืองระดับแคว้นต้าฮวง จงทำลายให้สิ้น!” 

 

 

สีหน้าของฉังฟังเปลี่ยนไปโดยพลัน เม้มริมฝีปากแน่น 

 

 

จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นางคิดไม่ตกเล็กน้อยว่าจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้นต้าฮวงองค์นี้เป็นอะไรไปแล้ว แผ่นดินที่สร้างขึ้นไม่ให้ลูกหลานหลายชั่วคนสืบทอด กลับสร้างระบอบกลับชาติมาเกิดอะไรไม่รู้ ราชินีกลับชาติมาเกิดเป็นหุ่นเชิด อำนาจที่แท้จริงมักจะตกสู่ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ตำแหน่งที่ไม่ใช่ทั้งกษัตริย์ไม่ใช่ทั้งขุนนาง แบบนี้หมายความว่าอะไรกันแน่? 

 

 

มองสีหน้าทุกคนในตอนนี้ ชัดเจนว่าเห็นด้วยกับเซวียนหยวนจิ้งทั้งนั้น 

 

 

แม้ว่าจิ่งเหิงปัวไม่ชื่นชอบอ่านหนังสือ แต่ได้ดูละครน้ำเน่าโบราณสมัยใหม่ของจีนและต่างประเทศมาไม่รู้เท่าไร เหล่าผู้เขียนบทที่เกรียงไกรใช้มันสมองที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่กว่าบอกนางว่ากลุ่มผลประโยชน์ใดๆ ก็ตามต่างไม่ยินยอมให้กำลังภายนอกคอยจ้องหาอำนาจของพวกเขาตามใจชอบ การดำเนินการปฏิรูประบอบและรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่มายาวนานใดๆ ก็ตาม หากก้าวร้าวรุนแรงเกินไป มักจะจบลงด้วยความล้มเหลว 

 

 

จุดนี้แม้แต่จักรพรรดิยังไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งกว่านั้นนางเป็นราชินีที่ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริงนางหนึ่ง? 

 

 

ไม่รีบร้อน ค่อยๆ กระทำ มีดอ่อนเฉือนเนื้อเจ็บปวดที่สุดแล้ว 

 

 

“ผู้ใดจะเข้าร่วมการเมืองกัน? ผู้ใดจะแย่งชิงอำนาจกัน?” นางเคาะโต๊ะ ดึงดูดแววตาทุกคนให้โถมเข้ามาแล้วกล่าวว่า “เจิ้นแสดงพลังที่เทพทรงประทานมากระทำการเล็กน้อยให้ราษฎรก็ไม่ได้หรือ? ตระกูลซังได้รับความนิยมชมชื่นจากเทพ ครอบครองตำแหน่งกองเซ่นไหว้ยาวนานหลายร้อยปี แลเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของแคว้นนานหลายปีแล้ว ตระกูลซังทำได้ ราชินีองค์หนึ่งเช่นข้าทำไม่ได้หรือ?” 

 

 

“แลด้วยเพราะพระองค์ทรงเป็นราชินีจึงทรงทำไม่ได้!” 

 

 

“ไม่เข้าร่วมการเมือง ไม่อภิปรายการเมือง เพียงฟังการเมือง และออกแรงยามตนเองสามารถออกแรงได้ เช่นนี้ยังทำไม่ได้หรือ?” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นมาฉับพลัน เตะม้านั่งใต้ร่างตนพลิกไปในเท้าเดียว 

 

 

เสียงพลั่กเสียงหนึ่งดังกึกก้อง ม้านั่งกลิ้งอยู่ตรงฝ่าเท้าทุกคน ทุกคนต่างเงยหน้าด้วยความตื่นตะลึง มองดูนางอย่างปากอ้าตาค้าง 

 

 

บนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวไร้ซึ่งรอยยิ้ม ไอดุร้ายผนึกแน่นทั่วหน้า ดวงตาสะลึมสะลือ ผมยาวสยายพลันพลิ้วไหวไร้สุ้มเสียง  

 

 

ทุกคนมองนางอย่างงงงัน รู้สึกเพียงว่านางคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนอีกผู้หนึ่งโดยพลัน มีผู้นึกถึงคำพยากรณ์เทพที่นางพร่ำเอ่ย อดจะหดเกร็งดวงใจไม่ได้ 

 

 

หรือว่าเทพจุติแล้ว? เทพพิโรธแล้ว? 

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองเบื้องหน้าแน่นิ่ง แล้วพลันอ้าปาก 

 

 

“ไม่เข้าร่วมการเมือง ไม่อภิปรายการเมือง เพียงฟังการเมือง และออกแรงยามตนเองสามารถออกแรงได้ เช่นนี้ยังทำไม่ได้หรือ?” 

 

 

ประโยคหนึ่งซึ่งเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ทุกคนตกตะลึงจนหน้าถอดสี 

 

 

ด้วยเพราะเสียงพลันเปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

เปลี่ยนจากเสียงสตรีที่เกียจคร้านแหบแห้งเล็กน้อยกลายเป็นเสียงประหลาดที่แยกเพศไม่ได้ แหบกระด้างไม่น่าฟัง! 

 

 

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือยามจิ่งเหิงปัวเอ่ยวาจาประโยคนี้ เพียงอ้าปากแลมิได้ขยับปาก! 

 

 

ทุกคนเบิกตากว้างมองดูแววตาแข็งทื่อของจิ่งเหิงปัวอย่างตกตะลึง ผมยาวหลังกายนางพลันลอยขึ้นเชื่องช้า พลิ้วไหวอยู่ข้างหลัง 

 

 

โฉมสะคราญผู้ยืนทื่อ แววตาที่ชะงักค้าง เสียงประหลาดที่พลันเปล่งออกมา เส้นผมที่ลอยสยาย 

 

 

มองแล้วดุจเทพยดาประทับร่างในตำนาน 

 

 

หวาดกลัวกันทั่วห้องไปชั่วครู่ ต่างมองดูจิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างบนถัดจากโต๊ะ 

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับไม่มีความเคลื่อนไหวอยู่เนิ่นนาน บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย 

 

 

ทุกคนอยากเร่งเร้า ทว่าถูกบรรยากาศลึกลับปกคลุม เคร่งขรึมเล็กน้อยไปชั่วครู่ 

 

 

เฟยหลัวพลันลุกยืนก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โค้งกายเพียงน้อย สะบัดผ้าคลุมโต๊ะที่ห้อยอยู่บนโต๊ะข้างกายจิ่งเหิงปัวออกในครั้งเดียว 

 

 

ในนั้นว่างเปล่าไร้เงาคน 

 

 

เฟยหลัวที่เดิมทีสงสัยว่าใต้โต๊ะมีคนร่วมแสดงซวงหวง[1]ให้จิ่งเหิงปัววางมือลงอย่างผิดหวัง แล้วมองดูข้างหลังจิ่งเหิงปัว 

 

 

หลังกายนางคือกำแพง ไม่ว่าอย่างไรคงซ่อนคนผู้หนึ่งไว้ไม่ได้ 

 

 

เฟยหลัวได้แต่กลับไปนั่งอย่างผิดหวังยิ่ง 

 

 

ใต้โต๊ะ 

 

 

เจ้าหมาโง่ห้อยหัวอยู่หลังพื้นโต๊ะ เกาะร่องไม้กระดานไว้อย่างแน่นหนา 

 

 

เฟยเฟยซ่อนอยู่ข้างโต๊ะ เกาะขอบโต๊ะไว้ หางสีขาวราวหิมะขนาดใหญ่เคลื่อนไหวพัดพาสายลมเป็นระลอกพลิ้วไหวผมยาวของจิ่งเหิงปัว 

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] ซวงหวง เป็นการแสดงชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยนักแสดงสองคน นักแสดงข้างหน้าจะแสดงท่าทางขยับปากแต่ไม่มีเสียง ส่วนคนที่สองจะแอบซ่อนอยู่ข้างหลังคนแรกคอยออกเสียง