ตอนที่ 62 - 4 เล่นสนุกกับใจมนุษย์

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวที่ “เทพสวรรค์ประทับร่าง” ยกมือครั้งหนึ่งกะทันหัน 

 

 

เจ้าหมาโง่เปล่งเสียงตะโกนโทนประหลาดดังลั่นเสียงหนึ่งว่า “ย้าก!” 

 

 

เสียงครืนเสียงหนึ่งดังก้องตรงกลางลานบ้าน คล้ายดั่งฟ้าผ่าลงมาครั้งหนึ่งโดยแท้ จากนั้นมีเสียงกระเบื้องดินเผาแตกร้าวดังเพล้งพลั้งระลอกหนึ่ง 

 

 

สีหน้าของเหมิงหู่เปลี่ยนไปโดยพลัน ตะโกนว่า “แย่แล้ว!” ชิงออกไปด้วยฝีก้าวรวดเร็ว ทุกคนรีบร้อนตามมาด้วย จากนั้นยืนมองหน้ากันไปมาอยู่กลางลานบ้าน 

 

 

ในลานบ้านมีฝุ่นควันคละคลุ้ง 

 

 

บนพื้นมีกระเบื้องเคลือบแตกละเอียดร่วงหล่นอยู่กองหนึ่ง 

 

 

มีองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกโดยตลอดผู้หนึ่งชี้ไปที่หลังคาอย่างหวาดผวา เอ่ยเสียงดังว่า “มีก้อนหินร่วงลงมาจากท้องฟ้า! กระแทกตรงขอบหลังคา! พวกเรามองไม่เห็นคนผู้ใดปรากฏกาย!” 

 

 

ทุกคนกลับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง มองหน้ากันไปมา ฉังฟังชะงักอยู่ชั่วครู่แล้วรีบกลับเข้าห้องก้าวหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนสู่ปกติ นั่งลงมาแล้ว ผมยาวสยายอยู่บนแผ่นหลัง เท้าศีรษะไว้อย่างอ่อนเพลีย กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อครู่อะไรหรือ? เหตุใดพวกเจ้าถึงออกไปกันหมดแล้ว?” 

 

 

ฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งที่เข้ามาภายหลังพินิจนางอย่างสงสัย ยามนี้จิ่งเหิงปัวดูท่าทางร่างกายอ่อนแอ สีหน้างงงุน เหมือนท่าทางถูกเทพยดาประทับร่างในตำนานไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

มีเพียงซังต้งแอบกัดฟัน…สีหน้าและสภาวะเช่นนี้นับเป็นกรรมสิทธิ์แห่งตระกูลซังของพวกนาง! ถูกสตรีนี้เรียนรู้ไปยามใดกัน! 

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหนื่อยมากจริงแท้ 

 

 

ให้เฟยเฟยวางก้อนหินบนต้นไม้ใกล้หลังคาต้นหนึ่งไว้ก่อนแล้ว เมื่อครู่ถึงใช้ความคิดควบคุม เจ้าเฟยเฟยไว้ใจไม่ได้ ก้อนหินที่เลือกมาหนักเกินไป เมื่อครู่แววตานางชะงักค้าง แข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อน แท้จริงแล้วก็คือสะสมพลังย้ายก้อนหินอยู่ 

 

 

นิ้วมือนางขยับครั้งหนึ่ง เก็บปากกาอัดเสียงใต้แขนเสื้อ คำกล่าวประโยคนั้นที่เจ้าหมาโง่อัดเสียงไว้ล่วงหน้า ประสิทธิผลไม่เลว 

 

 

“ฝ่าบาท…” ฉังฟังเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อครู่พระองค์…” 

 

 

“เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวเสแสร้งแกล้งขยี้ดวงตา กล่าวว่า “เฮ้อ เมื่อคืนคล้ายจะนอนหลับไม่สนิท…” 

 

 

“เรื่องนั้น…” ฉังฟังเรียนรู้ลัทธิขงจื๊อ ไม่ได้เชื่อถือเรื่องราวพลังพิเศษเทพองค์ใดอย่างไรนัก ทว่าได้เห็นด้วยตาตนเอง แลไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรไปชั่วครู่ 

 

 

เหมิงหู่รับวาจามาอย่างทันเวลายิ่ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์คล้ายได้ถูกเทพยดาประทับร่างพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“อ๊ะ ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวแอบซาบซึ้งใจ ทำท่าทางเข้าใจฉับพลันทันที กล่าวว่า “แต่ก่อนยามเทพสวรรค์ชี้แนะข้าล้วนเป็นความรู้สึกเช่นนี้ วันนี้รู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก…เทพสวรรค์ทรงพิโรธแล้วใช่หรือไม่?” 

 

 

ทุกคนต่างนิ่งเงียบ เหมิงหู่ชี้ไปยังหลังคาที่ถูกกระแทกเสียหาย 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้ามองดู ยิ้มเยาะเสียงหนึ่ง 

 

 

“ข้าเอ่ยแล้วว่าสิ่งที่ข้าเป็นตัวแทนคือความประสงค์ของเทพยดา เทพยดาเพียงมีความปรารถนาเล็กน้อยสิ่งหนึ่ง ต้องการให้ข้าเป็นตัวแทนเขาบนโลกมนุษย์ กระทำความดีเล็กน้อยให้ราษฎร พวกเจ้ามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้กลับกล้าหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง เหยียดหยามโองการเทพ!” 

 

 

คนส่วนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม ฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งไม่พอใจโกรธเคือง ทว่าหาวาจามาโต้แย้งไม่ได้ไปชั่วครู่ 

 

 

“ข้าคงไม่โต้แย้งกับพวกเจ้าแล้ว” จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “พวกเจ้ามองเห็นคำพยากรณ์เทพ ได้ยินความปรารถนาของเทพแล้ว หากปฏิเสธดึงดันทำตามใจ ขั้นต่อไปย่อมเป็นการลงโทษต่อพวกเจ้า เฉกเช่นตระกูลซัง…” นางหันไปทางซังต้งทันที กล่าวสืบต่อว่า “ฉะนั้นเทพจะเรียกคืนพระคุณที่มีต่อตระกูลพวกเจ้าแล้ว” 

 

 

“เจ้าเอ่ยว่าเรียกคืนย่อมเรียกคืนหรือ?” ซังต้งยิ้มเยาะ เอ่ยว่า“เจ้าเอ่ยว่าเทพเลือกเจ้าใหม่อีกครั้งย่อมเป็นเจ้าหรือ? เจ้าเห็นว่าขุนนางสำคัญเกรียงไกรที่อยู่ในราชสำนักนี้เป็นเด็กน้อยให้เจ้าหลอกลวงหรือ?” 

 

 

“ผู้ใดหลอกลวงชาวโลกหลายปีรู้อยู่แก่ใจ” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มปรีดาแตะคางนางครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “แน่นอนว่าข้ามีสิ่งพิสูจน์” นางหันไปทางฝูงขุนนาง กล่าวว่า “หากภายในสามวันฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ จะพิสูจน์ได้ว่าเทพเรียกคืนพระคุณที่มีต่อตระกูลซังแล้วใช่หรือไม่?” 

 

 

ทุกคนนิ่งเงียบ หวังโต้แย้งทว่าหาเหตุผลไม่ได้ ตระกูลซังถือสายฟ้าผันผ่านไม่ผ่าตนเป็นพระคุณ หากฟ้าผ่า พระคุณย่อมหายไปแล้ว 

 

 

ฉังฟังเอ่ยว่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ซังต้งจ้องเขาอย่างรุนแรงปราดหนึ่ง ตาเฒ่าไม่เปลี่ยนสีหน้า 

 

 

“หากข้าสะสมสายฟ้าที่จะผ่าหอคอยสูงไว้ได้ คราวนี้คงพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่ได้รับพระคุณคือข้าใช่หรือไม่?” 

 

 

ทุกผู้คนต่างตกตะลึง 

 

 

สะสมสายฟ้า หมายความว่าอะไร? 

 

 

เดิมทีฝ่ายพวกเซวียนหยวนจิ้งคาดการณ์ว่าวาจาต่อไปของจิ่งเหิงปัวหากเอ่ยว่าหอคอยสูงถูกฟ้าผ่าย่อมพิสูจน์ได้ว่านางคือผู้ถูกเทพประทานเลือกคนใหม่ พวกเขาต้องโต้แย้งครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแน่นอน ทว่าพอได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้ อดจะชะงักงันไม่ได้ 

 

 

ไม่ว่าอย่างไร การสะสมสายฟ้าเป็นพฤติกรรมเหลือเชื่อ หวังปฏิเสธว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ปาฏิหาริย์คงไม่ได้ 

 

 

เพียงแต่… 

 

 

ซังต้งยังอยากโต้แย้ง เซวียนหยวนจิ้งหยุดยั้งนางไว้ ยิ้มเยาะมองทางจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ฝ่าบาทตรัสวาจาโอ้อวดยิ่งใหญ่นัก” 

 

 

“เอ่ยวาจาไม่ยิ่งใหญ่จะนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเพียงน้อย 

 

 

“หากพระองค์ทรงทำไม่ได้?” 

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” 

 

 

“เช่นนั้นเชิญฝ่าบาทเสด็จไปดูแลพระองค์ยามชราที่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ยเถิด” 

 

 

“เรื่องนี้…” 

 

 

วาจาหลายประโยคก่อนหน้าง่ายดายเด็ดขาด ยามเอ่ยถึงลุ่มน้ำเฮยสุ่ย จิ่งเหิงปัวกลับลังเลไปเล็กน้อย ผุดเผยสีหน้าไม่แน่ใจออกมา คล้ายนึกไม่ถึงว่าบทลงโทษจะโหดร้ายเช่นนี้ มีความนัยว่าอยากถอนตัวออกกลางคัน 

 

 

เดิมทีซังต้งเห็นท่าทางนางได้พิจารณาถี่ถ้วนแล้ว ในใจไม่สบายใจ ยามนี้เห็นนางลังเล จึงรู้ว่าในใจนางอ่อนแอเช่นกัน แลไร้ความมั่นใจเต็มเปี่ยม มีชีวิตชีวาฮึกเหิมฉับพลัน ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ตระกูลซังของหม่อมฉันกล้ารับเรื่องนี้เป็นสัญญาเดิมพัน หากฟ้าผ่าหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ ย่อมต้องถวายตำแหน่งกองเซ่นไหว้คืน ฝ่าบาทตรัสวาจามั่นพระทัย ยามนี้กลับทรงไม่กล้ารับแล้วได้อย่างไร?” 

 

 

“รับก็รับ ผู้ใดกลัวกันเล่า?” จิ่งเหิงปัวทำท่าทางทนการยั่วยุไม่ไหว อ้าปากตอบรับ แต่มองหอคอยสูงไกลห่างแวบหนึ่งอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง 

 

 

ซังต้งวางใจลงมาบ้างแล้ว นางไม่เชื่อวาจาที่เอ่ยว่าสะสมสายฟ้า สำหรับเรื่องฟ้าผ่า แน่นอนว่านางรู้สาเหตุที่หอคอยสูงตระกูลตนไม่ถูกฟ้าผ่า ตัดสินใจเนิ่นนานแล้วว่าภายในสามวันจะเพิ่มกำลังการป้องกัน ใช้สอยผู้มีฝีมือสูงจนสิ้น ต้องให้แม้แต่มดตัวหนึ่งยังไร้หนทางประชิดใกล้หอคอยสูง หากจิ่งเหิงปัวหวังจะไปก่อเรื่องที่หอคอยสูงหรือสะสมสายฟ้าจริง ต้องให้นางไปได้กลับไม่ได้! 

 

 

“หากข้าทำได้ เช่นนั้นความต้องการจะฟังการเมืองของข้าก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคงไม่มีเหตุผลต่อต้านอีกแล้วกระมัง?” จิ่งเหิงปัวเคาะโต๊ะ 

 

 

ทุกคนมองกันปราดหนึ่ง รู้สึกว่าราชินีไม่อาจทำได้สำเร็จ ต่อให้สำเร็จก็เป็นเพียงการฟังการเมือง แลมิใช่การเข้าร่วมการเมืองอภิปรายการเมืองหรือกระทั่งตัดสินใจเรื่องแคว้น คล้ายไม่มีสิ่งใดสลักสำคัญ ยิ่งกว่านั้นราชินีดูท่าทางไม่ธรรมดาทีเดียว หากเสนอคำแนะนำสมเหตุสมผลต่อภารกิจปากท้องของราษฎรต้าฮวงได้จริง คล้ายว่าคงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย 

 

 

มีเพียงเซวียนหยวนจิ้งและเฟยหลัวไม่กี่คนที่ขมวดหัวคิ้วแน่น พวกเขาคงไม่ได้คิดง่ายดายเช่นนี้เป็นแน่ เขื่อนยาวพันลี้พังราบเพราะรังมด การกลืนกินอำนาจใดๆ เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยไม่สะดุดตาทั้งนั้น เริ่มแรกคือฟังการเมือง ต่อมาอาจจะยุ่งเกี่ยวการเมือง กระทั่งเข้าร่วมการเมืองอภิปรายการเมือง หากได้เริ่มต้นขึ้นก็อาจจะห้ามเรื่องต่อมาไม่ได้ 

 

 

อย่างไรเสียความคิดเห็นส่วนบุคคลอ่อนแอเสมอในความเห็นของกลุ่ม ยิ่งกว่านั้นแม้ว่ากำลังของตระกูลเซวียนหยวนจิ้งมีมากมายมหาศาล ทว่าเป็นเพียงขุนนางที่ปรึกษา เฟยหลัวเป็นเสนาหญิงแคว้นเซียง มีอำนาจฟังการเมืองทว่าไร้อำนาจตัดสินเรื่องแคว้นในราชสำนัก แต่ไหนแต่ไรมาอำนาจที่แท้จริงยึดกุมในมือของกงอิ้นรวมทั้งผู้สนับสนุนของเขาทั้งสิ้น 

 

 

ส่วนเหล่าผู้ใต้บัญชาของกงอิ้นกลับไม่มีกะจิตกะใจด้วยเพราะวันนี้กงอิ้นไม่อยู่ ซ้ำยังเห็นว่าสัญญาเดิมพันครั้งหนึ่งนี้ ไม่แน่ว่าราชครูตั้งใจหลอกลวงราชินีให้ติดกับ พอถึงยามนั้นจัดการราชินีในครั้งเดียวกันเล่า? 

 

 

ทุกคนต่างยอมรับอย่างสงบเงียบ มีเพียงฉังฟังเอ่ยอย่างเปี่ยมด้วยพลังว่า “ย่อมไม่มีข้อคิดเห็นแย้งใดอีกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกว่าตาเฒ่าน่ารำคาญนัก จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยี รู้สึกว่าตาเฒ่าโคตรน่ารักเลย 

 

 

“เช่นนั้น นำสมุดของวันนี้ออกมาก่อนเถิด” จิ่งเหิงปัวแบฝ่ามือสีขาวราวหิมะออก กล่าวว่า “ข้าเก็บแทนราชครูก่อนแล้วกัน” 

 

 

ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้ง ไม่อยากจะส่งให้ คล้ายว่าการต่อต้านอีกครั้งในยามนี้ไม่มีความหมาย อย่างไรเสียภายในสามวันพอมีเวลาให้ตัดสินใจ พอถึงยามนั้นราชินีรับผิดชอบแล้วไสหัวไปหรือนั่ง ณ ที่แห่งนี้อย่างมั่นคง ยามนี้ให้นางได้สัมผัสสักหน่อย คงไม่อาจตัดสินสถานการณ์ใหญ่ได้ 

 

 

ทุกคนทยอยเสนอเรื่องที่ตนเองต้องการอภิปรายออกมา มอบสมุดมาให้ จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไร,เพียงแค่ฟังอย่างตั้งใจ วิเคราะห์จดจำอย่างเงียบเชียบในใจ 

 

 

ขุนนางที่นั่งอยู่หลายคนมองหน้ากัน เก็บหัวข้อสนทนาที่เดิมทีอยากจะเอ่ยไว้ เดิมทีวันนี้ขุนนางฝ่ายเหยียลี่ว์ฉีตั้งใจจะโต้กลับ จะช่วยเหยียลี่ว์ฉีออกมาจากการสืบสวนของสำนักเจาหมิง ทว่าวันนี้กงอิ้นไม่อยู่ ราชินีกระทำหน้าที่แทน เอ่ยเรื่องนี้กับราชินีไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ได้แต่ระงับอารมณ์เอาไว้ 

 

 

เหมิงหู่ร่นถอยไปทางหนึ่ง เบื้องลึกนัยน์ตามีแววประหลาดใจเบาบาง 

 

 

เขานึกไม่ถึงว่าภายใต้ความเสียเปรียบอย่างเด็ดขาดไร้ความช่วยเหลือแม้เพียงน้อย สุดท้ายแล้วฝ่าบาทจะนั่งลงบนตำแหน่งของที่แห่งนี้อย่างมั่นคงให้เหล่าขุนนางดำเนินการอภิปรายงานราชการล้อมรอบนางได้จริง  

 

 

นี่คือเรื่องที่ราชินีองค์ก่อนพยายามอยากกระทำทว่ากระทำไม่ได้มาโดยตลอด แลเป็นเรื่องที่ราชินีไม่น้อยกว่าสิบพระองค์ครุ่นคิดวิธีการต่างๆ หวังกระทำด้วยความคิดไม่พอใจ ทว่าต่างกระทำไม่ได้นับแต่ต้าฮวงสถาปนาแคว้นหลายร้อยปี 

 

 

ยามได้รับคำสั่งลับของราชครู เขาประหลาดใจยิ่งนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ถึงขนาดจัดวางกำลังองครักษ์ตระเตรียมชิงตัวจิ่งเหิงปัวออกมาภายใต้สถานการณ์ที่เหล่าขุนนางลงมือด้วยความตึงเครียด 

 

 

ผลลัพธ์คือยามนี้เขามองดูจิ่งเหิงปัวที่นั่งอยู่บนตำแหน่งของกงอิ้น ยิ้มแย้มจริงใจเอ่ยวาจากับเหล่าขุนนาง ดุจอยู่ในความฝัน 

 

 

เหลือเชื่อ 

 

 

เขาพลันถอนหายใจเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงข้อเท็จจริง อย่างไรเสียสายตาของราชครูเลิศล้ำเสมอ 

 

 

เพียงทว่า… 

 

 

ในใจเขาเฉียดผ่านด้วยความเป็นกังวลสายหนึ่ง ถอนใจไร้สุ้มเสียงภายในเบื้องลึกของจิตใจ 

 

 

… 

 

 

ยามขุนนางเลิกการประชุมที่จิ้งถิง จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่บนเก้าอี้ โบกมือส่งแขกด้วยรอยยิ้มตาหยี 

 

 

“ครั้งหน้าทุกท่านอย่าลืมมาให้ตรงเวลานะ!” นางไม่ลืมกำชับ 

 

 

ทุกคนแบะปาก…เอ่ยคล้ายว่าต่อไปนี้นางจะได้อภิปรายการเมืองที่นี่แล้วกระนั้น 

 

 

รอให้คนสุดท้ายเดินออกนอกประตู จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ฟ้าแลบพลันมืดพลันสว่างสายหนึ่งกำลังแบ่งแยกชั้นเมฆสีเทา จมดิ่งสู่ขอบฟ้าแล้วสูญหายดุจอสรพิษตัวหนึ่งในฉับพลันนั้น 

 

 

“เจ้าว่ายามใดข้าจะได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า?” นางหันหน้าถามเจ้าหมาโง่ที่กระโดดขึ้นบนโต๊ะ 

 

 

“วันนี้นี่ล่ะ! วันนี้นี่ล่ะ!”