ตอนที่ 63 - 1 สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เมฆคล้ำสีเทาดั่งทิวแถวค่อยๆ เคลื่อนคล้อยครึ่งท้องฟ้า แผ่สีเทาลึกล้ำหนักแน่นผืนหนึ่งคลุมลานบ้านของสำนักเจาหมิง 

 

 

สำนักเจาหมิงที่ใช้สำหรับคุมตัวขุนนางระดับสูงมาดำเนินการสอบสวนโดยเฉพาะ ทำให้ขุนนางในราชสำนักต้าฮวงได้ยินชื่อแล้วหน้าถอดสีแห่งนี้ ยามนี้สงบเงียบเชียบ เพียงเปิดหน้าต่างห้องข้างโถงในลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งติดกับทางหลักไว้ 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง กำลังยกนิ้วมือทำกรอบสี่เหลี่ยมกรอบหนึ่งเผชิญเมฆดำริมขอบฟ้า ดูท่าทางประหนึ่งกำลังคำนวณระยะทางที่เมฆดำเคลื่อนถึงหน้าต่าง 

 

 

บนศีรษะพลันแว่วเสียงนกร้องเสียงหนึ่ง เขาเงยหน้า ฝุ่นละเอียดร่วงหล่นจากบนคานขวาง ทว่าฝุ่นธุลีแลดูใหญ่กว่าปกติ 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีแบมือรับ “ละอองธุลี” ละอองหนึ่งไว้ในฝ่ามือ ละอองธุลีร้าวสลาย ผุดเผยเศษกระดาษแผ่นน้อย 

 

 

“กงอิ้นไม่มา ราชินีจัดการแทน” 

 

 

เศษกระดาษรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จิ้งถิงในวันนี้ 

 

 

หัวคิ้วของเหยียลี่ว์ฉีเชิดความประหลาดใจสามส่วนออกมาเล็กน้อย 

 

 

จากนั้นเขาหลับตาลง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ลืมตาขึ้นโดยพลัน 

 

 

ปราดแรกมองไปทางวังบรรทมของกงอิ้นในจิ้งถิง 

 

 

เขาเดินไปทางทิศทางนั้นหลายก้าวคล้ายกำลังคิดคำนวณ จากนั้นนิ้วมือเคาะบานประตู เสียงยาวครั้งหนึ่งเสียงสั้นสองครั้ง 

 

 

ผ่านไปไม่นาน หลังบานประตูปรากฏเงาคนผู้หนึ่งปานภูตพราย มองการแต่งกายแล้วคือขุนนางของสำนักเจาหมิง ทว่าก้มเอวโค้งกาย ไม่เห็นหน้าตา 

 

 

สองมือเขายื่นมีดน้อยเรียวบางเล่มหนึ่งมาให้ 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีรับมา รอยยิ้มความรู้สึกเสียใจหลายส่วน หัวเราะแผ่วเบาเอ่ยว่า “ทนหน่อยนะ” 

 

 

คนผู้นั้นดั่งซาบซึ้งใจ พยักหน้าหันกาย ถลกสาบเสื้ออย่างนิ่งเงียบ ผุดเผยหลังเอว 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเจ็บปวดใจ ทว่าลงมือไม่เลยแม้แต่น้อยลังเล มีดน้อยทอดลงบนผิวกาย สลักเป็นอักษรโลหิต 

 

 

ในช่วงเวลาที่สำนักเจาหมิงกำลังมีขุนนางถูกไต่สวน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก หากมีผู้มีเรื่องเร่งด่วนจะออกไปข้างนอก ต้องดำเนินการตรวจค้นร่างกาย 

 

 

กฎเกณฑ์ของกงอิ้นเข้มงวดกวดขันตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้เป็นเจ้าสำนัก จะออกไปยามนี้ยังต้องตรวจค้น ซ้ำยังจำต้องถอดผ้าล่อนจ้อน 

 

 

เพียงแต่เวลาผ่านไปนาน ทุกผู้คนต่างคุ้นหน้าคุ้นตา คำสั่งบางอย่างย่อมปฏิบัติอย่างไม่ละเอียดลึกซึ้งจนเกินไปนัก แม้ไม่กล้าฝ่าฝืน ทว่าปกติแล้วจะไว้หน้าสหายร่วมอาชีพอยู่บ้าง เช่น เหลือผ้าเตี่ยวสักผืนอะไรนั้น 

 

 

รอยอักษรหลังเอวค่อยๆ ปรากฏ 

 

 

“กงอิ้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง คืนนี้ลองไปหยั่งเชิงได้” 

 

 

ซ้ำยังมีเครื่องหมายเล็กกระจ้อยเครื่องหมายหนึ่ง 

 

 

สลักเสร็จแล้วเช็ดโลหิตออกไป บุรุษนั้นล้วงผงยาออกมาสาดเองเพียงครั้ง รอยโลหิตจางลง แม้แต่รอยสลักยังไม่ค่อยชัดเจนแล้ว เช่นนี้รับรองว่าจะไม่มีรอยโลหิตเปื้อนเปรอะจนถูกผู้อื่นพบเจอ 

 

 

“จะต้องถ่ายทอด คว้าโอกาสไว้ พบความผิดปกติ ลงมือเด็ดขาด” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ย 

 

 

บุรุษพยักหน้า เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ 

 

 

พละกำลังลับซึ่งเป็นของเหยียลี่ว์ฉีต่างเป็นการสื่อสารทางเดียว การบรรยายด้วยปากของจารชนจากสำนักเจาหมิงผู้หนึ่งย่อมไม่อาจได้รับความเชื่อถือ สลักอักษรบนผิวกายและหลงเหลือสัญลักษณ์ของเหยียลี่ว์ฉีไว้ ถึงจะโยกย้ายพละกำลังเกรียงไกรซึ่งเป็นของเขาได้ 

 

 

หลังส่งจารชนนั้นเดินออกไป เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้ามองเมฆดำ แสงสลัวสีเทาแพร่ขยายไปเกินครึ่งขอบฟ้าเสียแล้ว 

 

 

“คืนนี้นี่แล” เขาเอ่ย 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวรีบเดินกลับสู่วังบรรทมของตนเอง ปิดประตูเอาไว้ ห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามา 

 

 

นางนั่งลงบนเตียง เฟยเฟยกระโจนขึ้นบนหัวเข่าของนาง 

 

 

“เฟยของข้า” จิ่งเหิงปัวกอดมันไว้ ชี้ไปยังหอคอยสูงไกลโพ้น กล่าวว่า “คืนนี้ไปที่นั่น ทำลายของสิ่งหนึ่งให้พี่หน่อย” 

 

 

นางทำสัญญาณมือท่าทำลายล้าง หยิบปากกาขึ้นมาวาดสิ่งของรูปทรงกระบอกยาวสิ่งหนึ่งลงบนกระดาษ 

 

 

“คงจะมีรูปร่างประมาณนี้ สั้นยาวยากจะเอ่ย ทว่าคงจะไม่สั้นนัก ผลิตจากโลหะ หรืออาจจะเป็นรูปทรงอื่น สรุปคือจำต้องผลิตจากโลหะเสมอ ขอเพียงเจ้ามองเห็นเส้นเหล็กเส้นลวด นั่นคงจะเป็นของสิ่งนี้แล้ว ของสิ่งนี้น่าจะอยู่บนสุดของหอคอยสูง หรือคือที่ซึ่งเล่าขานกันว่าองครักษ์ป้องกันต่อเนื่องตลอดวันตลอดคืน” 

 

 

“สิ่งนี้คือสายล่อฟ้าแท่งหนึ่ง คืออุปกรณ์สำคัญที่ปกป้องไม่ให้หอคอยสูงของกองเซ่นไหว้ถูกฟ้าผ่า ข้าไม่รู้ว่าตระกูลนางได้วิธีการลับใดมาหรือว่าบรรพบุรุษเคยมีผู้ทะลุมิติคนหนึ่ง อย่างไรเสียสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์คงจะเป็นสิ่งนี้” จิ่งเหิงปัวพูดจ้อข้างหูเฟยเฟยว่า “คืนนี้นางต้องส่งคนมากมายมาป้องกันเป็นแน่ ไม่อาจส่งผู้หนึ่งผู้ใดไปทิ้งชีวิต ถึงต้องให้เจ้าไป ต้องการให้ข้าส่งเจ้าหมาโง่ไปช่วยเหลือเจ้าหรือไม่?” 

 

 

เฟยเฟยส่ายหน้าสุดชีวิต…ช่างมันเถิด โลกมนุษย์มีหมาโง่ ย่อมต้องมีความดวงซวย 

 

 

“เช่นนั้น สัตว์ประหลาดน้อยอันตรายเจ้าเล่ห์แสร้งน่ารักแสร้งโง่เขลาของข้า!” จิ่งเหิงปัวตบศีรษะใหญ่ของมันครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “หลังจากพายุฝนตกลงมา ไปเลย! ไปถอนเจ้าหนึ่งเสาทลายฟ้าลงมาเถิด!” 

 

 

… 

 

 

เฟยเฟยส่ายหางขนาดใหญ่กระโจนออกไปอย่างปราดเปรียว 

 

 

จากนั้นจิ่งเหิงปัวจึงขึ้นเตียงตระเตรียมนอนหลับแล้ว 

 

 

ซังต้งจะจัดวางกำลังคนมากแค่ไหนมารับมือนาง ต่างสิ้นเปลืองแผนการโดยเปล่าทั้งสิ้น นางเป็นราชินี เคยเห็นราชินีเข้าสู่สนามรบด้วยตนเองเหรอ? 

 

 

นางเอนกายลงอย่างสบายอกสบายใจ นึกถึงคราวจิ้งอวิ๋นมาเล่าว่าหลังจากมามาผู้ชี้นำมาถึงแล้ว ถูกจื่อหรุ่ยถามจนเหงื่อท่วมหน้า ต่างรีบเร่งกลับไปเปิดคัมภีร์พระราชวังกับคัมภีร์พิธีการแล้ว พลันหัวเราะอย่างสบายใจยิ่งขึ้น 

 

 

แล้วรอคอยอีกสักครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าคงไม่มีใครไปขอเข้าพบที่จิ้งถิงอีก นางลุกขึ้นเดินไปทางจิ้งถิง อยากจะไปว่าดูกงอิ้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว 

 

 

เมื่อผ่านประตูข้าง นางมองเห็นประตูที่ไปสู่ทางหลักกับสำนักเจาหมิงปิดแง้มอยู่ ในใจกระตุกวูบ อดจะผลักออกสักหน่อยไม่ได้ 

 

 

ประตูเปิดออกเพียงน้อย มองเห็นประตูใหญ่สำนักเจาหมิงเปิดออกพอดี มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา นางยังนึกว่าเป็นเหยียลี่ว์ฉี พอมองโดยละเอียดเป็นแค่ขุนนางคนหนึ่ง หลังจากคนนั้นออกมาแล้ว มองเห็นทางหลักไร้เงาคนถึงหันกายปิดประตู หลังจากปิดประตูแล้วสองมือกุมหลังเอวครั้งหนึ่งโดยสำนึก บนใบหน้าเจือด้วยสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าท่าทางนี้แปลกประหลาด จากนั้นคิดแล้วอาจจะเจ็บหลังมั้ง? 

 

 

ในเมื่อไม่ใช่เหยียลี่ว์ฉี นางก็วางใจแล้ว ปิดประตูแล้วไปจิ้งถิงทางประตูข้างอีกบานหนึ่ง 

 

 

คราวนี้คุ้นเคยเส้นทาง มุ่งตรงไปยังห้องนอนของกงอิ้น แวบหนึ่งมองเห็นตำหนักใหญ่ยังเป็นปกติ คล้ายว่าแม้แต่ท่วงท่าเอนกายของกงอิ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง อดจะแบะปากอย่างหมดสนุกไม่ได้ 

 

 

พอเดินเข้าไปมองดูใกล้ๆ ถึงพบว่ากงอิ้นไม่ได้กำลังนอนหลับ เขาหลับตาลงเพียงน้อย สีหน้าสงบนิ่ง ทว่ากลางหน้าผากผุดเผยสีผลึกน้ำแข็งหิมะผืนหนึ่งออกมาเลือนราง ควันขาวเบาบางผืนหนึ่งลอยสูงขึ้น ที่ซึ่งเว้าลงด้วยกระดูกไหปลาร้าประสานกันและบนหน้าอกของเขามีควันขาวลอยขึ้นสูงเช่นเดียวกัน กลางควันขาวมีสีครามเจือจางรำไรดั่งไร้รูปร่าง ควันสามสายค่อยๆ ลอยขึ้นเชื่องช้า สุดท้ายแล้วต่างลอยเข้าสู่ภายในศิลาขาวขนาดมหึมาทรงประหลาดบนเพดานก้อนนั้น ในศิลาขาวคล้ายมีควันหลั่งไหลลงมาอีกครั้ง คราวนี้คือลมปราณสีขาวบริสุทธิ์ ซึมแทรกสู่หว่างคิ้ว คอหอยและหน้าอกของกงอิ้น บนล่างแลกผสาน ทอดยาวไม่หยุดหย่อน 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ เหมือนกงอิ้นกำลังขับพิษ หรือกล่าวว่าพิษคงไม่เหมาะสม เทียนซือซั่นไม่ใช่พิษ ไม่มียาถอนพิษ หรือกงอิ้นกำลังขับไล่สิ่งสกปรกที่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งหมดในร่างกาย สลายเป็นไอควันสีครามจางแบบนั้น ส่วนศิลาขาวนั้นมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับเครื่องฟอกอากาศ สูดสิ่งสกปรกเข้าไป หลังจากชำระล้างทำความสะอาดแล้วสลายเป็นปราณแท้บริสุทธิ์เป็นประโยชน์ ให้กงอิ้นสูดกลับสู่ร่างกาย 

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวทอดลงบนชุดผ้าไหมที่บางจนแทบจะโปร่งแสงของเขาอีกครั้ง ในที่สุดจึงเข้าใจว่าทำไมเจ้าผู้หลีกเลี่ยงละเว้นคนนี้ถึงได้สวมใส่เสื้อผ้ายั่วยวนทรงเสน่ห์ขนาดนี้ในวังบรรทมของตนเอง แท้จริงแล้ววิธีฝึกฝนปราณแท้ชนิดนี้ของเขา ต้องการการแลกเปลี่ยนลมปราณโดยตรงระหว่างร่างกายกับศิลาขาว ถ้าสวมเสื้อผ้าหนาไปจะขับไอควันออกมาทั้งหมดได้อย่างไร? ตามจริงแล้วไม่สวมเลยสักชิ้นถึงได้ประสิทธิผลดีที่สุด เขาคงจะไม่ยินยอมถึงได้สวมเสื้อผ้าที่สวมแล้วเหมือนไม่ได้สวมขนาดนี้ชุดหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าเสียดาย เฮ้อ จะนอนแก้ผ้าก็นอนแก้ผ้าไปสิ ให้คนมองดูเนื้อหนังตั้งไม่น้อยแล้ว โหดร้าย! 

 

 

แต่วิธีฝึกฝนวรยุทธ์ของมหาเทพมหัศจรรย์มาก จิ่งเหิงปัวมีความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่งต่อคำว่า “ปัญญาหิมะ” สองคำนี้เสมอ รู้สึกว่าหากชื่อของวรยุทธชนิดหนึ่งเป็นเอกลักษณ์ คงจะต้องมีที่ซึ่งผิดปกติด้วยอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าสิ่งต้องห้ามของวรยุทธนี้อยู่ตรงไหน 

 

 

นางกำลังจ้องมองหน้าอกของคนอื่นแล้วฝันกลางวันเชื่อมโยงกัน กงอิ้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาดุจหยกดำดั่งธารสงบกลางเหวลึก ทะเลสาบเงียบเชียบไร้คลื่น มองจนจิ่งเหิงปัวสะท้านในใจ