ตอนที่ 186 ซานเกอขอร่วมวงด้วยคน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

คนทั้งสองตื่นตระหนก ไม่แสดงความคิดเห็นในทันที

 

 

เยี่ยเม่ยหันมองซือหม่าหรุ่ย ถามด้วยเสียงเย็นชา “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยคือหมอเทวดา น่าจะรู้ดี

 

 

หลังจากซือหม่าหรุ่ยฟังคำถามของเยี่ยเม่ย กลับมีสีหน้าประหม่า “ข้าเข้าใกล้เขาไม่ได้เลยสักนิด เมื่อครู่เขาเพิ่งชักมีดสั้นออกมา เกือบฆ่าข้าแล้ว”

 

 

เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นช่วงเวลาที่นางเข้าใกล้ความตายมากที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย แต่ยามนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว นางยื่นมือออกไปจับข้อมือจิ่วหุนไว้ สั่งซือหม่าหรุ่ย “ไม่เป็นไร ข้าจับเขาไว้ เจ้ามาจับชีพจร”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยที่เกือบถูกแทง ยังแตกตื่นมองจิ่วหุน จากนั้นเหลือบมองเยี่ยเม่ยที่มีสีหน้าหนักแน่น ก็บังคับตัวเองก้าวออกมาสองก้าว

 

 

ว่าไปตามจิตใจอันดีงามของนางแล้ว หากไม่ใช่เห็นแก่หน้าเยี่ยเม่ย ตีให้ตายนางก็ไม่คิดจะตรวจชีพจรที่แสนอันตรายอย่างนี้

 

 

จิ่วหุนถูกเยี่ยเม่ยยึดข้อมือไว้ ทรมานจนมุ่นคิ้ว แต่ก็ไม่ลงมือทำร้ายคนอีก

 

 

ซือหม่าหรุ่ยกล้าๆ กลัวๆ กึ่งตื่นเต้นกึ่งปวดใจเดินเข้าไปด้านหน้าจิ่วหุน นางนั่งลงตรวจชีพจร ยามที่ปลายนิ้วของนางสัมผัสถูกข้อมือจิ่วหุน อีกฝ่ายกระตุกอย่างแรง คล้ายจะลงมือ

 

 

เยี่ยเม่ยกำข้อมือจิ่วหุนแน่น ปลอบเสียงเย็นชาว่า “เสี่ยวจิ่ว ไม่เป็นไร”

 

 

น้ำเสียงนางเย็นยะเยียบมาก ในฐานะสาวแกร่งน้ำเสียงของนางไม่มีความอ่อนโยนมาโดยธรรมชาติ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า น้ำเสียงเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยนเช่นนี้จะปลอบโยนให้จิ่วหุนสงบลงได้

 

 

เขาไม่ขัดขืน ไม่ขยับมือทำร้ายคน

 

 

ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนที่มองอยู่ด้านข้าง ต่างก็แอบยกนิ้วโป้งให้เยี่ยเม่ยอยู่ในใจ ใช้ได้เลย พวกนางเลื่อมใสมาก การแสดงออกของเจ้าหนูเสี่ยวจิ่วแตกต่างอย่างชัดเจน

 

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา รอผลตรวจชีพจรของซือหม่าหรุ่ยอย่างกระวนกระวายใจ

 

 

หลังจากนั้นพักหนึ่ง ผลตรวจของซือหม่าหรุ่ยก็ปรากฏแล้ว

 

 

นางมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปาก “คือพิษ ข้ามีวิธีสะกดมันไว้ได้ เพียงแต่หลายวันนี้ กำลังภายในของเขาจะถูกพิษสะกดไว้ อาจใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ออกมาได้ ก็มีไม่ถึงสามส่วน”

 

 

 “อย่างนั้นก็ไม่เป็นไร รักษาชีวิตไว้ก่อนค่อยว่ากัน”

 

 

ยามนี้รักษาชีพจรกับชีวิตของเจ้าหนูนี่ไว้ก่อน ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

 

 

 “อืม”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเข้าใจแล้ว นางมองเยี่ยเม่ยสั่งว่า “พาเขาไปนอนบนเตียงก่อน”

 

 

เดิมทีคิดว่ารูปร่างอย่างจิ่วหุน จำเป็นต้องให้พวกนางช่วยกันพยุงไป คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเม่ยยืนขึ้นก็จับจิ่วหุนพาดบ่า เดินออกไปไม่กี่ก้าวถึงเตียง ก็วางเขาลงไป

 

 

ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนที่ชมอยู่ทั้งสองคน มุมปากกระตุกไม่หยุด

 

 

ช่างเป็นสตรีแข็งแกร่งจริงๆ แบกคนน้ำหนักร้อยกว่าจิน[1]ได้โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ไม่มีความกดดันเลยสักน้อย สตรีเข้มแข็งทั่วไปพบเจออาจจะต้องยอมถอย ยอมแพ้ในทันที

 

 

เยี่ยเม่ยหันกลับมาเห็นซือหม่าหรุ่ยจ้องตนเองไม่ขยับ ยามนี้เกิดความร้อนรน เร่งว่า “รีบมาสิ”

 

 

 “อ้อ”

 

 

ซือหม่าหรุ่ยได้สติ ถึงคิดถึงหน้าที่รักษาชีวิตคน นางเดินมาถึงข้างกายจิ่วหุน ล้วงเข็มเงินออกจากแขนเสื้อ เริ่มสลายพิษให้จิ่วหุน

 

 

เยี่ยเม่ยและซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่ข้างเตียงไม่กล้ารบกวน

 

 

ซือหม่าหรุ่ยฝังเข็มจำนวนมากลงไปที่จุดชีพจรบนร่างจิ่วหุนอย่างช้าๆ มีเข็มหลายเล่มที่เปลี่ยนเป็นสีดำ จนกระทั่งบางเล่มมีไอควันพวยพุ่งออกมา

 

 

เยี่ยเม่ยมองจนสีหน้าหนักใจ

 

 

มุมปากของจิ่วหุนมีเลือดสีดำค่อยๆ ซึมออกมา…

 

 

ซือหม่าหรุ่ยในเวลานี้รวบรวมสมาธิ จ้องเข็มที่ฝังอยู่บนร่างจิ่วหุน รวมถึงการแสดงออกต่างๆ ของเขา หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตลอด

 

 

หลังจากการรักษาที่ตื่นเต้นเร่งด่วนผ่านไปสักครู่

 

 

ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าดัง

 

 

ไอปีศาจชั่วร้ายกลุ่มหนึ่ง กระจายเข้ามาจากด้านนอกประตู เป็นกลิ่นอายที่คุ้นเคย นอกจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่มีใครอีกเป็นคนที่สอง

 

 

เยี่ยเม่ยหันไปมอง 

 

 

เป็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสาวเท้ากว้างเข้าประตูมาจริงดังคาด

 

 

ชุดต่วนที่ประสานสีดำและแดงเข้มเอาไว้แสดงออกถึงความสูงศักดิ์ คนเดินมาถึงข้างกายเยี่ยเม่ย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจา เยี่ยเม่ย หันกลับมาทำเสียง “ชู่” ให้เขาเงียบ

 

 

ยามนี้ซือหม่าหรุ่ยกำลังช่วยคน ห้ามรบกวน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมอง จิ่วหุนบนเตียง ร่ายกายเจ้าหนุ่มนั่นมีเข็มเงินสีดำ ทำให้เขาเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะถูกพิษแล้ว

 

 

เพียงแต่ก่อนหน้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย

 

 

คนทั้งหมดจึงได้แต่รอซือหม่าหรุ่ยรักษาต่อไปเช่นนี้

 

 

……

 

 

เมืองหลวงราชสำนักเป่ยเฉินเกิดความโกลาหลวุ่นวาย

 

 

ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลจง จอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งจงรั่วปิง ได้ฟังความว่าองค์ชายใหญ่คู่หมั้นของตนคิดตบแต่งพระชายารองก่อน ก็ร้องไห้อาละวาดจะแขวนคอตาย

 

 

คนทั้งหลายต่างเห็นใจจงรั่วปิง เดิมทีคิดว่านางกำลังข่มขู่องค์ชายใหญ่ หวังให้เขาถอนรับสั่งโดยเร็ววัน แต่งงานพระชายาเอกเสียก่อนค่อยว่ากัน

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า

 

 

ยามเป้าหมายแท้จริงของนางปรากฏออกมา คนทั้งหลายตกใจจนอ้าปากค้าง

 

 

นางคิดจะ…ถอนหมั้น

 

 

นับตั้งแต่ยามที่ราชสำนักเป่ยเฉินก่อตั้งมานับร้อยกว่าปี ไม่มีสตรีคนไหนที่ถอนหมั้นกับราชนิกุลมาก่อน ราชนิกุลคือตระกูลแห่งสวรรค์ งานแต่งงานของสวรรค์มีเหตุผลให้เพิกถอนด้วยหรือ

 

 

ต่อให้ไม่อยากมีชีวิตแล้ว ก็ไม่สมควรเอาชีวิตผู้ใหญ่เด็กเล็กในตระกูลตนมาล้อเล่นกระมัง

 

 

ทุกคนต่างคิดเช่นนี้

 

 

คนทั้งหลายล้วนหลงคิดว่า บิดาของจงรั่วปิง ใต้เท้าจงซานผู้มีอำนาจเหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้คนคนเดียวจะต้องตำหนิที่บุตรสาวตัวเองไม่รู้ความ ซ้ำต้องเข้าวังไปขออภัยโทษ คุกเข่าร้องไห้อย่างปวดใจ พรรณนาถึงความชอบที่ตนมีต่อราชสำนักเป่ยเฉินตลอดหลายปี หวังว่าฝ่าบาทจะละเว้น องค์ชายใหญ่จะใจกว้าง ความจริงคนเหล่านั้นคาดเดาไม่ได้ว่าจงซานเข้าวังไปก็จริง ทั้งยังร้องไห้ยกใหญ่เที่ยวหนึ่ง จนเกือบจะเป็นลมไป ได้ยินว่าฮ่องเต้ทนได้ฟังเสียงร้องไห้ด้วยสีหน้ารังเกียจ หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้า ก็คงโยนใต้เท้าจงซานออกจากวังไปแล้ว

 

 

ตลอดชั่วชีวิตของหัวหน้าขันทีไม่เคยพบเคยเห็นขุนนางใหญ่ร้องไห้แบบนี้มาก่อน

 

 

แต่ทว่า

 

 

ส่วนเนื้อหาที่ใต้เท้าจงซานร้องไห้คร่ำครวญออกมา กลับไม่ใช่ขอร้องให้ฝ่าบาทอภัยโทษ แต่เป็นขอให้พระองค์ทรงถอนหมั้นเสีย เขายินยอมทิ้งตำแหน่งราชการของตน เพื่อแลกกับการยินยอมถอนหมั้น

 

 

คราวนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงคล้ายระเบิดแตก

 

 

คนทั้งหมดคิดว่าจงซานเสียสติไปแล้ว

 

 

ฮ่องเต้เองก็มีพระดำริเช่นนี้ สุดท้ายไล่จงซานกลับไป ให้เขาสงบสติอารมณ์สักหลายวันค่อยว่ากันใหม่

 

 

คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นทุกครั้งที่จงซานพบพระองค์ล้วนน้ำมูกน้ำตาไหล สารพัดวิธีคุกเข่าขอร้องให้พระองค์ยกเลิกสมรสพระราชทาน นั่นคือท่าทางขอให้ยกเลิกงานแต่งโดยไม่ต้องการชีวิต

 

 

ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายในราชสำนัก มองด้วยความรังเกียจ

 

 

ความจริงพวกเขาไม่เข้าใจเลย ใต้เท้าจงซานผู้สร้างความดีความชอบให้กับราชสำนัก ชาวบ้านทั้งหลายต่างเลื่อมใสใต้เจ้าจงซานมาก ไฉนถึงร้องไห้ได้เก่งขนาดนี้ เขาเป็นบุรุษนะ ทุกคนต่างได้เปิดหูเปิดตาได้ความรู้ใหม่ๆ

 

 

จนกระทั่งวันนี้ ฝ่าบาทสุดจะทนอีกแล้ว

 

 

เรียกตัวจงซาน จงรั่วปิง และองค์ชายใหญ่ไปห้องทรงพระอักษร

 

 

 

 

[1] จินเป็นหน่วยวัดของจีน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโล