TB:บทที่ 260 คดีต่างๆ

 

สภาแห่งความมืดและโบสถ์​แห่งแสงเป็นศัตรูกันเสมอมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งเป็นดั่งฝ่ายตรงข้าม เหมือนจีนกับวิถีปิศาจ

ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายยังแย่ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายขวาและวิถีปิศาจในประเทศจีน พวกเขาเพียงแค่มีคติที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นชนชาติเดียวกันอยู่ดี ความสัมพันธ์ที่ว่าของสภาแห่งความมืดและโบสถ์​แห่งแสงไม่เคยจางหายไปเมื่อพวกเขาพบปะ เนื่องจากพวกของสภาแห่งความมืดต่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ร่วงหล่น อย่างมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์ที่ช่างน่ารังเกียจในสายตาของโบสถ์​แห่งแสง

 

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต้องชะล้างให้บริสุทธิ์ภายใต้แสงสว่างแห่งพระผู้เป็นเจ้าเสียก่อน

เรื่องราวของทั้งสองฝ่ายนี้ดำเนินอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้ว โดยมากฝ่ายที่มีอำนาจกว่าคือโบสถ์​แห่งแสง ท้ายที่สุดแล้วโบสถ์​แห่งแสงก็เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง ในขณะเดียวกันนั้น กิจการเผยแพร่ศาสนาของฝ่ายโบสถ์​แห่งแสงยังขยายไปอย่างมากอีกด้วย แต่คำสอนกลับยังมีความกลับกรอกอยู่ การล้างสมองสาธารณชนสามารถจะก้าวข้ามวิธีการที่ไร้ธรรมะของสภาแห่งความมืดได้อย่างสมบูรณ์

 

ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการของโบสถ์​แห่งแสงเองก็ไร้ศีลธรรมเช่นกัน เพียงแต่ฝ่ายเขารู้ว่าควรปิดบังไว้อย่างไร

ถึงกระนั้น เฉินหลงไม่รู้เรื่องนี้ และแม้เขาจะรู้ก็ตาม แต่เขาคงไม่ต้องการจะมาจัดการเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ อย่างไรเสีย เรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้หากเขาต้องการจะเป็นผู้นำ

ในตอนที่เฉินหลงพักผ่านอยู่ในโรงแรมเล็กๆนั้นเอง ตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” ต่างทราบเรื่องคดีฆาตกรรมในตรอกแห่งหนึ่ง

 

ไม่นานต่อมาตรอกนั้นต้องปิดไป

เมื่อเหล่าตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” ได้เห็นเศษชิ้นส่วนศพในตรอกนั้น พวกเขาไม่อาจหยุดความคลื่นไส้ในท้องได้เลย พวกเขาไม่จำเป็นต้องดูสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม พวกเขาไม่ได้เห็นศพ แต่ทว่าศพกลายเป็นชิ้นส่วนไปเพียงไม่นานมานี้ พวกตำรวจไม่คุ้นชินกับสิ่งที่เกิดเลย

 

“หัวคน นี่น่าจะเป็นหัวที่ห้าแล้วนะ” ชายหนุ่มหน้าตาดีอายุประมาณยี่สิบปีที่มีตาสีสว่าง ท่าทางฉลาดหลักแหลม กล่าวกับชายที่อายุราวสี่สิบปีที่รูปร่างอ้วนท้วมเล็กน้อย

 

อาการคลื่นเหียนที่นายตำรวจบางนายเป็น ไม่ได้เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม

“ใช่แล้ว นี่คือรายที่ห้า จริงจังเลยนะ นี่คือครั้งแรกที่ฉันเจออะไรที่โหดร้ายและจองหองขนาดนี้ ในชีวิตสามสิบปีที่เป็นตำรวจมา ใครคือฆาตกรกัน” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและกล่าวไป

 

ชายวัยกลางคนคนนี้คือ นีล ข่าน ผู้อำนวยการสำนักงานตำรวจใน “เมืองแห่งหมอก” หากจะว่าตามจริงแล้ว คดีฆาตกรรมนี้ยังไม่มีเบาะแสใดเลยในช่วงที่ผ่านมานี้ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าอะไรคือแรงจูงใจในการก่อเหตุของฆาตกร ดังนั้นแล้วจึงเป็นการยากอย่างมากที่จะไขคดีและหาตัวฆาตกร อีกทั้งเนื่องจากคดีต่างๆเหล่านี้ข่านจึงเป็นกังวลว่าผมหยิกแบบคนเมดิเตอร์เรเนียนของเขาจะเหมือนคนเมดิเตอร์เรเนียนขึ้นไปอีก เพราะเขาเพิ่งไปทำมา

 

“ระบุอัตลักษณ์ของพวกวัยรุ่นได้แล้วครับ พวกนั้นคือแก็งอันธพาลในระแวกนั้น หัวโจกคือแดนนี่ ดาฮ์ล เขาเข้าสถานพินิจอยู่หลายครั้งเพราะไปทำร้ายผู้อื่น ในที่เกิดเหตุยังมีปืนพังๆที่ดูเหมือนโดนทำให้พังอยู่ด้วยและมีรอยนิ้วมือของแดนนี่อยู่” ชายหนุ่มกล่าวสิ่งที่รู้มาออกไป

 

“ไอ้เวรนั่น หรือคือคนที่โดนฆ่าในการปล้น” ความคิดข่านเริ่มเปลี่ยนไป

“ท่านครับ ดูเหมือนว่าคดีนี้จะกลายเป็นคดีเหนือธรรมชาติไปแล้ว” ชายหนุ่มหมดหนทาง

จริงๆแล้วเขามีคำตอบในใจ แต่เขาไม่ต้องการจะพูดออกมาจนกว่าเขาจะแน่ใจ

 

“เอาล่ะ จัดคดีนี้ไว้ในคดีเหนือธรรมชาติแล้วปล่อยเรื่องปวดหัวนี่ให้สก็อตแลนด์ยาร์ด จะว่าไปแล้ว อลัน นายอาจจะเข้าเอมไอซิกส์ไหม นายนี่เก่งสุดๆไปเลย ฉันไม่อยากจะเก็บความสามารถดีๆแบบนายให้จมอยู่นี่ ถ้านายอยากจะไปนะ ฉันจะเขียนจดหมายแนะนำตัวให้” ข่านจับผมหยักศกของตนและกล่าวกับหนุ่มน้อย อลัน

 

สำหรับแจ็ค อลันแล้ว ข่านมักจะเห็นคุณค่าหลายๆอย่างเสมอ อลันมีความสามารถที่โดดเด่น ทั้งกล้าหาญและมุ่งมั่น เขาไขคดีด้วยมือเขาเองมามากมาย ข่านสงสัยมาตลอดว่าเวทีแสดงความสามารถนี้จะเล็กไปหน่อยหรือเปล่า หากว่ามีเวทีที่ใหญ่กว่านี้ เขาคงจะเปล่งประกายได้สว่างกว่านี้

 

“ไม่หรอกครับ ผมคิดว่า ผมยังเรียนรู้งานจากท่านได้อีกมาก” อลันว่าไปอย่างจริงจัง

“ถ้าเป็นเช่นนั้น หากอยากจะไปแล้วก็บอกให้ฉันรู้นะ แล้วฉันจะแนะนำตัวให้” เมื่อได้ยินที่อลันบอกว่าเขาไม่ต้องการจะไป ข่านผิดหวังแต่ก็มีความสุขไปในเวลาเดียวกัน ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่มีสามารถและเป็นคนดีคงหาไม่ได้ง่าย

 

“ขอบคุณครับ หัวหน้า” อลันว่า

หลังจากนั้นไม่นาน รถเบนท์ลีย์สีดำขับออกมาจากตรอก

และต่อมา ชายสามคนกับผู้หญิงคนหนึ่งได้ลงจากรถ

เมื่อพวกเข้าออกมาแล้ว พวกเขาก็เดินไปทางตรอกนั้น ทว่ามีตำรวจมาหยุดพวกเขาไว้

“ขอโทษด้วย ที่แห่งนี้ได้ปิดไปแล้ว โปรดอย่าเข้าไปเลยนะครับ”

 

“บอกหัวหน้าของพวกแกให้มาที่นี่” ชายหน้าตาหล่อเหลาอายุราวยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเหลือบมองตำรวจอย่างหยิ่งยโส

เมื่อเห็นสายตาของชายคนนั้น ตำรวจอดจะรู้สึกถึงความกลัวไม่ได้ เขาเดินไปหาข่านโดยอัตโนมัติ

“หัวหน้าครับ มีคนสี่คนต้องการจะพบคุณครับ”

ได้ยินดังที่ว่า ข่านมองคนทั้งสี่ที่เดินมากับอลัน

“ผมนีลข่าน หัวหน้าสน.นี้ พวกคุณคือใครกันครับ” ข่านเดินเข้ามาหา เขากล่าวกับคนทั้งสี่

“ชื่อของผมคือกเวน ผมรับคำสั่งตรงจากฝ่าบาท คุณควรรู้นะว่าจุดที่คุณอยู่คือตรงไหน คุณไม่ต้องมายุ่งกับคดีที่นี่แล้ว พวกเราจะจัดการเอง พวกคุณไปจากที่นี่ได้แล้ว” กเวน ชายหนุ่มผู้หล่อเหลากล่าวกับข่าน

 

“ครับ ฝ่าบาท หากว่าท่านต้องการความช่วยเหลืออื่นใดจากพวกเราอีก โปรดบอกผมนะ” เมื่อได้ฟังที่กเวนว่า ข่านพลันนึกถึงอะไรบางอย่าง ท่าทีเขาเปลี่ยนเป็นนอบน้อมสุดๆในทันใด

“ไม่ละ ตอนนี้คุณแค่เอาคนของคุณออกไปก็พอ” กเวนพยักหน้าเบาๆ ท่าทีข่านทำให้เขาประทับใจ

จากนั้น ข่านรีบพาอลันออกไปและให้ลูกน้องเขาออกจากที่นั่นไป

ในขณะที่ข่านกำลังจะออกไปกับอลันนั่นเอง จู่ๆกเวนก็หันไปหาอลันและกล่าวว่า “รอช้าก่อน”

ข่านและอลันหยุดพร้อมกันและหันไปข้างหลัง

“ขอชื่อพวกคุณด้วย นะ” กเวนเดินไปหาอลัน เขาถามไป

“แจ็ค อลัน” อลันว่า

“เราจะได้พบกันอีก” เมื่อเขารู้ชื่อของอลัน กเวนหัวเราะใส่เขา และทิ้งข้อความแสนคลุมเครือไว้ เขาหันไปและเดินเข้าตรอกไปกับพวกพ้อง

คำพูดของกเวนทำให้ความคิดของอลันสับสน แต่ในใจเขามีความหวังอยู่

“เอาล่ะ ไปกัน เราไม่ได้คุมที่นี่แล้ว” ข่านตบบ่าอลันและกล่าวไป

สิ้นคำ ข่านขึ้นรถตำรวจของตน อลันมองกเวน เขาหันกลับไปขึ้นรถและขับออกไป