ตอนที่ 1111 จะอยู่ข้างเจ้าไปจนตาย โดย Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง เธอมองเห็นเป้าหมายในปฏิบัติการครั้งนี้ทันที
เอิร์ลโรแลนโซ่
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งตื่นขึ้นมาจากฝันไม่นาน ตอนนี้กำลังนั่งใส่กางเกงอยู่บนเตียงอย่างลนลาน ส่วนทหารอาญาสิทธิ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ชักดาบออกมาพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาพวกเธอ
เห็นได้ชัดว่าการพังกำแพงเข้ามาได้ปลุกร่างเปลือกเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมา ขอเพียงสั่งการเอาไว้ก่อนว่าให้สังหารศัตรูทุกคนที่บุกเข้ามาในห้อง ต่อให้ผู้สั่งการจะหมดสติไป ทหารอาญาสิทธิ์ก็ยังจะทำตามคำสั่งอยู่
“เบ็ตตี้!” โซอี้ตะโกน
“รู้แล้ว อีกฝ่ายคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับเอาสองมือมาประสานกันไว้ “มา!”
การฝึกซ้อมและการทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานานทำให้ทั้งสองคนรู้ใจกัน โซอี้กระโดดไปด้านหลังโดยไม่ต้องหันหน้ากลับไปมองด้วยซ้ำ…ส่วนเบ็ตตี้ก็รับเธอเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ
จากนั้นเบ็ตตี้ใช้สองมือออกแรงดันขึ้นไปด้านบน โซอี้ยืมแรงกระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะบินข้ามหัวทหารอาญาสิทธิ์ไปเหมือนกับนกนางแอ่น จากนั้นเธอคว้าโคมไฟที่ห้อยอยู่บนเพดานเอาไว้ แค่พริบตาเธอก็ขึ้นไปอยู่ด้านบนเตียงนอนของเอิร์ล
ห้องที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหราของเอิร์ลกลายเป็นเหมือนเวทีให้เธอได้ใช้แสดง
โซอี้ที่ลอยอยู่กางอากาศยกปืนลูกซองขึ้นมา
เวลาเหมือนหยุดนิ่งลง
ทหารอาญาสิทธิ์หมุนตัวกลับมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันตามจังหวะของเธอไม่ทัน
เบ็ตตี้หันหลังให้กับเตียงพร้อมทำท่าสะใจขึ้นมา…เห็นได้ชัดว่านิสัยแบบนี้เธอได้มาจากโลกแห่งความฝัน แต่ถึงแม้เธอจะเอี้ยวหันหลังไปครึ่งตัว เธอก็ยังสังเกตเห็นถึงการเครื่องไหวของนักรบอาญาสิทธิ์อยู่ โซอี้เองก็ขี้เกียจที่จะบ่นเธอเหมือนกัน
ส่วนเอิร์ลโรแลนโซ่นั้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
นับตั้งแต่ตอนที่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นจนถึงตอนนี้นั้นกินเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาที เกรงว่าตัวโรแลนโซ่คงจะคิดไม่ถึงว่าการป้องกันของทหารอาญาสิทธิ์จะอ่อนแอถึงเพียงนี้
โคมไฟหลุดออกเนื่องจากถูกดึงอย่างรุนแรง เทียนไขที่ลุกไหม้ปลิวว่อนไปทั่วห้องเหมือนกับหิ่งห้อย
ท่ามกลางแสงไฟจากเทียนไขนี้ โซอี้เล็งเป้าหมายพร้อมกับเหนี่ยวไก
“ปัง…”
เสียงปืนดังขึ้น เวลากลับมาเดินอีกครั้ง
บนร่างเอิร์ลมีละอองเลือดพ่นกระจายออกไปทันที!
หัวกระสุนสิบกว่าลูกพุ่งลงมาจากด้านบนปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขา ภายใต้แรงปะทะอย่างรุนแรง ร่างเขาจมลงไป ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาใหม่ ในตอนที่ตกลงไปข้างล่างอีกครั้ง สภาพร่างเขาก็กลายเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วขาดๆ แล้ว
สองเท้าของโซอี้เหยียบลงไปบนเตียง เตียงไม้ที่รับน้ำหนักไม่ไหวหักลงเป็นชิ้นๆ ทันที
ขณะเดียวกัน ทหารอาญาสิทธิ์ก็หยุดเคลื่อนไหว
“นอกจากเรื่องนี้ลงมายืนไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรแล้ว การเคลื่อนไหวอื่นให้คะแนนเต็ม” เบ็ตตี้ผิวปากออกมา “ถ้ามีแว่นดำซักอันจะดีกว่านี้”
โซอี้กรอกตาใส่เธอ “เก็บร่างเปลือกพวกนี้กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“รู้แล้ว รู้แล้ว…” เบ็ตตี้ยักไหล่ ก่อนจะหยิบเอาแตรขนาดเล็กออกมาจากในถุงข้างเอวขึ้นมาเป่า
นั่นเป็นท่วงทำนองพิเศษที่ใช้ฝังไปในความทรงจำของทหารอาญาสิทธิ์ระหว่างที่ทำพิธีเปลี่ยนร่าง สำหรับร่างเปลือกที่ไร้เจ้านายเหล่านี้ นี่คือคำสั่งให้พวกมันเคลื่อนไหว
“นับตั้งแต่นี้ไป ข้าคือเจ้านายคนใหม่ของพวกเจ้า” เบ็ตตี้กระแอมพร้อมกับพูดช้าๆ ชัดๆ
ทหารอาญาสิทธิ์ทั้งหกคนเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก
“แต่ก็แค่ก่อนถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้นล่ะนะ เอาไว้ไปถึงเมืองชายแดนที่สามเมื่อไร พวกเจ้าก็จะถูกโยนเข้าไปในห้องเก็บร่างเปลือกให้พี่น้องได้เลือกใช้กัน ถ้าหน้าตาดีก็จะมีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง แต่ข้าว่า…พวกเจ้าน่าจะไม่ค่อยมีหวังเท่าไรหรอกนะ” เบ็ตตี้พูดล้อเล่น ถึงแม้เธอจะรู้ว่าร่างเปลือกเหล่านี้ไม่มีทางตอบโต้สิ่งที่เธอพูดก็ตาม
เลือดแห่งเวทมนตร์ได้ทำลายการรับรู้ทั้งหมดของเจ้าของร่างทิ้งไปแล้ว
โซอี้เปิดประตูทองแดงออก ก่อนจะเห็นตรงปลายทางเดินมีทหารยามวิ่งมาทางห้องนอน ส่วนชั้นบนชั้นล่างของปราสาทก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนดังขึ้นมาเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เมื่อครู่ได้ทำลายความเงียบในยามค่ำคืนลง ทั่วทั้งปราสาทตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลทันที
“เห็นเจ้าพวกที่สวมเกราะนั่นไหม?” เบ็ตตี้ยิ้มขึ้นมา “ไปจัดการพวกมันทิ้งซะ”
พอพูดจบ ทหารอาญาสิทธิ์ก็วิ่งผ่านเธอไปเหมือนกับสัตว์ป่าพร้อมกับชักดาบพุ่งเข้าไปหาทหาร ภาพที่สะท้อนอยู่ในสายตาที่ดูหวาดกลัวและไม่เข้าใจของอีกทหารพวกนั้นคือภาพทหารอาญาสิทธิ์เอาดาบแทงเข้าไปในหน้าอกพวกเขา
ภายในปราสาทตกอยู่ในความวุ่นวาย
…..
เมื่อมีกองทัพที่หนึ่งคอยเปิดทาง บวกกับมีการปกป้องจากแฮกริด โจจึงไม่เจออุปสรรคอะไรระหว่างที่ลงไปคุกใต้ดิน
แต่ว่าในตอนที่เขาเห็นภาพฟาร์รีน่าถูกแขวนเอาไว้บนเสา หน้าอกเขาพลันรู้สึกเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงไปอย่างแรง ความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้บีบคั้นหัวใจ
ในเวลานี้ผู้หญิงที่ดูงดงามคนนั้นกลับเหมือนท่อนไม้แห้งๆ ที่ถูกสูบพลังชีวิตออกไปจนหมด
บนตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยแส้ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงขาทั้งสองข้าง เขาแทบจะมองไม่เห็นผิวที่ขาวนวลของเธอเลย
ด้านหลังกับตรงหน้าอกนั้นเหมือนจะเป็นส่วนที่ถูกเฆี่ยนหนักที่สุด
รอยประทับที่บวมแดงมีน้ำหนองไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เธอถูกเหล็กเผาไฟร้อนๆ นาบเข้าแล้ว เธอไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
เมื่อดูจากการที่เธอถูกสอบสวนมาจนถึงตอนนี้ แสดงว่าถึงแม้จะถูกทรมานหนักขนาดนี้ เธอก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้กับโรแลนโซ่แม้แต่น้อย
โจเดินตัวสั่นเข้าไปหาเธอ เขารู้สึกเหมือนแต่ละย่างก้าวช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก
กลับเป็นเหล่าทหารที่เดินทางมาด้วยที่ตอบสนองได้รวดเร็วมากกว่า พวกเขารีบปลดโซ่แก้มัด แล้วเอาตัวฟาร์รีนาลงมา
“นี่คือคนที่เจ้าอยากจะช่วยใช่ไหม? มัวงงอะไรอยู่ รีบเข้าไปช่วยสิ!”
“อา…ขอรับ…” โจเหมือนตื่นขึ้นจากความฝัน เขารีบเข้าไปอุ้มฟาร์รีน่าเอาไว้ ก่อนจะเอาเธอวางลงบนกองฟางที่อยู่อีกด้าน
เหล่าทหารเหมือนมีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า พวกเขาหยิบเอาขวดยาออกมาขวดแล้วขวดเล่าและเริ่มปฐมพยาบาลให้เธอ ถึงแม้โจจะไม่รู้ว่ายาพวกนั้นเอาไว้ทำอะไรบาง แต่เมื่อดูจากการหายใจของฟาร์รีน่าที่ค่อยๆ ดีขึ้น อย่างน้อยยาพวกนั้นก็ใช้ได้ผล
ในขณะที่เขากำลังพันแผลให้เธอ ฟาร์รีน่าพลันส่งเสียงครางเบาๆ ขึ้นมาในลำคอ จากนั้นดวงตาของเธอก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา
“ทำไม…ถึงเป็นเจ้าล่ะ…” เธอพูดเสียงเบาๆ “ข้ากำลังฝันอยู่เหรอ?”
“ไม่ นี่ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!” โจเอามือประคองแก้มของเธอเอาไว้ พร้อมกับตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“จบลงแล้ว?” ฟาร์รีน่าชะงักไปเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว ข้าตายแล้วสินะ? ข้าถึงได้เห็นเจ้าอยู่ในคุกนี่…”
เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วที่บิดเบี้ยวสัมผัสแก้มเขา โรแลนโซ่ไม่เพียงแต่จะถอนเล็บเธอ แต่เขายังหักนิ้วมือของเธอด้วย ในตอนนี้แทนที่จะบอกว่ามันเป็นมือ ควรจะบอกว่ามันเป็นกับกิ่งไม้แห้งๆ มากกว่า “ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่สามารถสืบทอดศาสนจักรต่อไปได้…ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง…”
“ข้าไม่สนใจ ข้าไม่สนใจเลย…” สองแก้มของโจมีหยดน้ำตาไหลลงมา “ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย!”
“เจ้ากำลังปลอบข้างั้นเหรอ? แปลกนะ…เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา” ฟาร์รีน่ายิ้มขึ้นมา ริมฝีปากเธอเต็มไปด้วยคราบเลือด “ไม่ว่ายังไง อย่าเพิ่งไปนะ อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนได้ไหม?”
โจไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้อีกแล้ว เขากอดเธอเอาไว้แน่น “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็จะอยู่ข้างกายเจ้า…ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าอีก!”
“ขอบคุณนะ…” นี่เป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน
…………………………………………………………………