ตอนที่ 1112 กลับตาลปัตร

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1112 กลับตาลปัตร โดย Ink Stone_Fantasy

ฟาร์รีน่าฝัน

เสียงหวีดของแส้ เสียงด่าทอของศัตรู แล้วก็ความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจต่างค่อยๆ หายไป

รอบด้านเหลือเสียงแต่ความว่างเปล่า บนพื้นมันวาวจนกระทั่งสามารถสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเธอได้

โลกใบนี้เหมือนไม่มีขอบเขต สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นคือประตูหินบานใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ด้านหลังประตูเหมือนจะมีบทเพลงอันไพเราะจับใจลอยออกมา

นี่คงเป็นภาพที่คนจะได้เห็นก่อนตายสินะ เธอคิดในใจ

หลังเดินไปถึงประตูนั่น เธอก็จะนอนพักผ่อนไปตลอดกาลแล้ว

ฟาร์รีน่ารู้สึกเหมือนยังไม่อยากจะเข้าไปในนั้น เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถกำจัดคนทรยศเพื่อล้างแค้นให้กับทุกคนที่ติดตามเธอมาได้

ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำภารกิจที่ทัคเกอร์มอบหมายให้กลายเป็นจริงได้…เธอไม่ใช่อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมอะไรเลย ไม่ใช่แม้กระทั่งผู้นำที่ดีด้วยซ้ำ

พรสวรรค์ของเธอมันก็เท่านี้เอง

สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจก็คือสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนศัตรู

โดยเฉพาะในตอนที่เข็มเหล็กที่ถูกเผาจนแดงร้อนแทงเข้าไปที่ปลายนิ้วของเธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพังทลายลง ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดู ที่เธอสามารถอดทนจนมาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก

ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีหน้าที่จะไปพบพี่น้องที่สละชีวิตไปก่อนหน้านั้น

แต่ความคิดเหล่านี้ไม่นานก็คงหายไป

เพราะอีกเดี๋ยวเธอก็จะได้นอนพักไปตลอดกาลแล้ว

ต่อให้คิดยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่ใช่เหรอ?

ฟาร์รีน่าค่อยๆ เดินไปทางประตูหิน

ว่ากันว่าที่นั่นไม่มีทั้งความเจ็บปวดและความเศร้าโศก เวลาเองก็เหมือนจะหยุดนิ่งลง สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นคงอยู่ในสภาพเดิมเพื่อเป็นฐานรากให้กับอาณาจักรของพระเจ้า

เดิมนี่ควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับรู้สึกไม่มีความสุข

นี่มันเป็น…เพราะอะไรกันแน่?

“ฟาร์รีน่า…”

ในขณะที่เธอกำลังสับสนนั่นเอง ด้านข้างของเธอพลันมีเสียงที่ฟังดูเลือนรางดังขึ้นมา

เธอจำได้แล้ว

นั่นมันเสียงของโจ

เขาไม่ได้เข้าร่วมการโจมตี แล้วก็ไม่มีทางที่จะถูกโรแลนโซ่จับ ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฟาร์รีน่าก็รู้สึกโล่งใจ

อย่างนี้นี่เอง เธอครุ่นคิด

เธอแค่ไม่อยากจะเดินไปที่ปลายทางนั่นคนเดียว

ถึงแม้จะถูกทัคเกอร์มอบหมายภารกิจที่เกินกว่าขีดความสามารถให้ ถึงแม้จะมีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง แต่เธอก็ยังปรารถนาความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการ

เธอไม่อยากจะเดินต่อไปคนเดียวแล้ว

“อย่าไปไหนนะ อยู่กับข้าอีกเดี๋ยวได้ไหม?”

“ได้สิ…” เสียงดังนั้นอย่างต่อเนื่อง “ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็จะอยู่ข้างกายเจ้า…ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าอีก!”

แค่นี้…ก็พอแล้ว

ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝันก็ตาม

เธอเหมือนกลับยังฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อนนั้น เมื่อครั้งที่เธอปีนขึ้นไปยังเฮอร์มีสด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง ในขณะที่เธอกำลังเดินย้ำไปบนพื้นหิมะอันหนาวเย็นและเหมือนกำลังจะล้มลง รถม้าคันหนึ่งพลันมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอ…

ฟาร์รีน่าเดินขึ้นบันไดที่จะตรงไปยังประตูหิน พร้อมกับยื่นมือผลักประตูออก

“ขอบคุณนะ”

ลำแสงที่อยู่ด้านหลังบานประตูสาดกระจายออกมา ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายเธอในชั่วพริบตา

…..

กระทั่งแสงเหล่านั้นหายไปแล้ว ฟาร์รีน่าจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเห็นภาพเพดานที่กำลังแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนหัว

อาณาจักรของพระเจ้า เป็นแบบนี้งั้นเหรอ?

ดูไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างที่คิดไว้เลย…

ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็เหมือนจะไม่ได้หยุดเดินด้วย

เธอลองหันหน้าไปอีกด้าน ก่อนจะเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย

ฟาร์รีน่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลองส่งเสียงถามออกไป “โจ?”

อีกฝ่ายนอนฟุบอยู่ข้างเธอ เหมือนกำลังนอนหลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลังเธอเรียกอยู่หลายครั้ง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ….จากนั้นโจแสดงสีหน้ายินดีอย่างมากออกมา “เจ้า…เจ้าตื่นแล้วเหรอ?”

“ตื่น?” ฟาร์รีน่าขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่ว่า…เอ่อ…” ในขณะที่เพิ่งพูดไปได้ครึ่งเดียว เธอจึงพบว่าความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงนั้นได้กลับมายังร่างกายอีกครั้ง ถึงแม้จะขยับเพียงนิดเดียว เธอก็จะรู้สึกเจ็บไปถึงหัวใจ

“เจ้าแค่เหนื่อยมากจนสลบไปน่ะ” โจเอามือกดหัวของเธอลงไป “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”

ฟาร์รีน่างุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้รู้ว่าเธอไม่เพียงแต่จะยังไม่ตาย แต่เธอยังหนีออกมาจากคุกใต้ดินได้ด้วย นี่มันก็หมายความว่า…

“โรแลนโซ่…”

“ตายแล้ว”

หลังได้รับคำตอบที่เหนือความคาดหมายนี้มา ฟาร์รีน่าพลันตกตะลึงไปทันที “จริงเหรอ? เจ้าทำได้ยังไง?”

“คนที่ฆ่ามันไม่ใช่ข้า” โจส่ายหัว “หากแต่เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน”

โรแลนด์ วิมเบิลดัน…ชื่อของคนที่เธอไม่อยากได้ยินมากที่สุด “เจ้าว่าอะไรนะ? ทำไมเขาถึงมาช่วยพวกเราชิงเกาะอาชดยุคกลับมา?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอพลันมองไปรอบๆ ทันที “เดี๋ยวๆ…ที่นี่ที่ไหน? พวกเราไม่ได้อยู่บนเกาะอาชดยุคเหรอ?”

“ตอนนี้พวกเราอยู่บนทะเล จุดหมายคือเมืองเนเวอร์วินเทอร์ของเกรย์คาสเซิล ส่วนเจ้าสลบไปสามวันแล้ว เป็นเพราะยาของกองทัพที่หนึ่งที่ทำให้เจ้ารอดมาถึงตอนนี้ได้” โจพูดเสียงอ่อนโยน “อย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยวข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง”

หลังผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ฟาร์รีน่าจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“เรื่องการสอบสวนของฝ่าบาท ข้าถามมาจากหัวหน้าองครักษ์ฌอนแล้ว” โจยังคงพูดต่อ “ขอเพียงมือไม่เคยเปื้อนเลือดของแม่มด ไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการไล่ล่าแม่มด แล้วก็ไม่เคยทำร้ายประชาชนของเกรย์คาสเซิล ก็จะไม่ถูกลงโทษให้แขวนคอ เจ้าเป็นนักรบอยู่ในทัพหน้าคอยสู้กับสัตว์อสูรมาเป็นเวลาหลายปี ส่วนข้าก็เป็นผู้ช่วยบาทหลวง ไม่เคยไปเจอแม่มดพวกนั้นเลย นั่นก็หมายความว่าพวกเราสองคนอาจจะมีชีวิตรอด!”

เขายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “ถึงแม้เจ้าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีแม่มดคนหนึ่งชื่อนาน่า ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายได้ ขอเพียงมีเงินจ่ายก็พอ! เรื่องค่าใช้จ่ายข้ามีคิดหาวิธีเอาไว้แล้ว ต่อให้นางจะเอาเงินเท่าไร ข้าก็จะทำให้เจ้ากลับมายืนใหม่ได้อีกครั้ง!”

เพื่อที่จะป้องกันไม่ใช่เธอหนีไปไหน โรแลนโซ่ไม่เพียงแต่จะตัดเอ็นข้อมือข้อเท้าของเธอ แต่เขายังให้ค้อนเหล็กทุบเข่าของเธอจนแตกละเอียดด้วย ตอนนี้เธอเรียกได้ว่ากลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ฟาร์รีน่าสนใจ…

“เพราะข้า…”

“อะไรนะ?”

“เพราะข้า เจ้าก็เลยไปทำข้อตกลงกับสารเลวนั่นเหรอ!” เธอต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด “มันเป็นคนทำลายศาสนจักร ทำลายความหวังทั้งหมด! เจ้าทำแบบนี้กับท่านทัคเกอร์ได้ยังไง! แค่ก…แค่กๆ…”

“ฟาร์รีน่า!”

“อย่ามาถูกตัวข้า!” เธอสำลักเลือดออกมาเล็กน้อย “ชะตาชีวิตของโลกนี้ ชะตาชีวิตของมนุษย์ชาติ…ถูกมันทำลายจนหมดสิ้นแล้ว แล้วเจ้ายังไปขอความช่วยเหลือจากมันเนี่ยนะ! ชีวิตข้าเมื่อเทียบกับสงครามแห่งโชคชะตาแล้วไม่ถือว่ามีค่าอะไรเลย ต่อให้เจ้าช่วยข้าแล้วมันจะมีความหมายอะไร ข้ายินดีที่จะไปรอมันอยู่ในนรก รอวันที่มันจะได้ตกลงไปยังนรกขุมที่ลึกที่สุด…”

“แปะๆๆ”

นอกห้องพลันมีเสียงปรบมือดังขึ้นมา

“ช่างน่าตื้นตันใจจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมา 400 ปี ข้ายังจะรับการสนับสนุนแบบนี้จากคนธรรมดาอีก ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ” หญิงสาวคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา

“ที่ข้าสนับสนุนคือศาสนจักรที่ทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของมนุษย์ ไม่ใช่เขี้ยวเล็บของราชาแห่งเกรย์…” ฟาร์รีน่าพยายามสะกดความเจ็บปวดแล้วพูดตะคอกออกมา แต่ยังไม่ทันพูดจบ เธอก็ต้องตกตะลึงไปทันที “ท่านแม่ทัพ….เอโนว่า?”

พริบตานั้นเอง เธอเหมือนจะสงสัยว่าดวงตาของตัวเองมีปัญหา

ภายในโถงฝึกซ้อมของเมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่จะมีรูปของนายทหารที่ยอดเยี่ยมแต่ละยุคสมัยของกองทัพพิพากษา พวกเขาหลายคนได้รับเกียรติอย่างสูงสุดของพระสันตะปาปา นั่นคือได้เข้าร่วมพิธีเปลี่ยนร่างกลายเป็นทหารอาญาสิทธิ์ เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด ส่วนเอโนว่านั้นเคยเป็นแม่ทัพระดับสูงของกองทัพพิพากษา ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของนักรบผู้หญิงแล้ว และก็ด้วยเหตุนี้ ฟาร์รีน่าจึงมองเธอเป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องวิ่งไล่ตามมาโดยตลอด

แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า…เอโนว่าคือคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน

“พูดต่อสิ” โซอี้ยืนพิงเตียง “ขอข้าฟังหน่อยว่าเจ้าสนับสนุนพวกเราแค่ไหน ไม่ต้องอาย ข้าไม่ได้ยินคนธรรมดาพูดแบบนี้มานานมากแล้ว”

……………………………………………………………………………