ตอนที่ 1042 - ความตั้งใจจริง

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.1042 – ความตั้งใจจริง
  “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึไง?”
  ปิงหวูชิงตัวแข็งทื่อนางมองซือหยูว่าเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจดีและเฉียบแหลม เรื่องน่าขันที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้แตกต่างกับสิ่งที่ซือหยูเซี่ยนที่นางรู้จักจะทำไปไกลมาก นางถึงกับสงสัยว่าซือหยูถูกใครเข้าสิง
  ซือหยูหัวเราะ
  “ถ้าข้าไม่บ้าแล้วมันจะสะดวกกับเรารึ?”
  เขามีอุบายอยู่จริง
  “เจ้าวางแผนอะไรอยู่?”
  “เจ้าไม่เห็นรึ?ข้ากำลังพยายามเอาชนะใจของยอดฝีมือจากต่างแดนแล้วพวกเขาจะได้เป็นพันธมิตรกับตำหนักโลหิตยังไงล่ะ!”
  ซือหยูบอกความจริง
  “เจ้าควรจะรู้ได้แล้วว่าตำหนักโลหิตในตอนนี้ปกครองดินแดนพรสวรรค์แต่ตัวตนของพวกเรานั้นไร้ความหมายในแดนมณี”
  ปิงหวูชิงไม่โต้แย้งสมาชิกไม่กี่คนจากดินแดนมีดสวรรค์ทำให้กำลังหลักของตำหนักโลหิตแตกพ่ายได้ทั้งหมด หากพวกช่างสวรรค์ไม่กำจัดคนมีดสวรรค์ไปบ้าง พวกมีดสวรรค์จะแข็งแกร่งกว่านี้ไปหลายเท่า!
  “จากที่ม่อเทียนฉวนบอกหลังจากทุกภัยพิบัติผ่านไปจะเกิดการแจกรางวัลขึ้น เจ้าจำวิธีในการเพิ่มโอกาสได้หรือไม่?”
  ซือหยูถาม
  ปิงหวูชิงพยักหน้า
  “ข้าจำได้…มันคือการฆ่าคน!”
  การฆ่าจะเพิ่มโอกาสในการได้รางวัล!โอกาสนั้นจะเพิ่มมากขึ้นอีกหากสังหารยอดฝีมือก่อนวิบัติจะมาถึง!
  “วิบัติบุพผาจบลงไปแล้วพวกเรากำลังจะได้หลบซ่อนตัวในหอคอยตอนที่วิบัติตำราเกิดขึ้น ซึ่งนั่นไม่น่ากังวล แต่อีกสิบวันหลังจากนี้ ตอนที่หอคอยปิดตัว วิบัติที่สามจะตามมา มันคือวิบัติวิชา! เจ้าคิดออกไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนที่ยอดฝีมือจากครึ่งแดนมณีมารวมตัวกัน?”
  “ใครจะไม่รู้กัน?”
  ปิงหวูชิงมองหอคอย
  “วันปิดหอคอยคือวันเดียวกับที่วิบัติวิชามาถึงไม่ว่าจะเป็นการหลบภัยหรือการเพิ่มโอกาสได้รางวัล จะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ สงครามจะเกิดขึ้นทุกที่!”
  “ข้าว่าตำหนักโลหิตจะรับไม่ไหวถ้าต้องอยู่ในหอคอย!”
  ปิงหวูชิงวิเคราะห์
  “แต่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าทำ?เอาชนะใจเรอะ? จากที่ข้าเห็น เจ้ากำลังทำให้พวกเราโดนเกลียดมากขึ้นน่ะสิ! ด้วยคุณค่าของหอคอย มันอาจมีค่าเท่าตำราระดับตำนานหรือสมบัติกึ่งภูติ แต่ต่อให้เจ้าได้สิ่งเหล่านั้นมา คนอื่น ๆ ที่เป็นภัยก็จะเข้าหาเจ้า หลังจากนั้นเจ้าจะต้องถูกล้างแค้นจากสิ่งที่เจ้าทำ!”
  ปิงหวูชิงพูด
  ถ้าซือหยูตรงไปตรงมาและจัดการกับม่านพลังไปแต่โดยดีคนอื่นจะได้หาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนวิบัติตำราและวิบัติวิชาจะมาถึงได้
  พวกเขาใช้ไม่ได้จนชิงเวลาสำคัญในการเข้าหอคอยไม่ทันพวกเขาถูกสำนักอสูรสวรรค์หลอก มันโทษใครอื่นไม่ได้
  แต่ซือหยูได้ทำลายความหวังของพวกเขาแบบนี้เขาจะไม่ได้พันธมิตรจากการตั้งราคามหาศาล เขาจะได้เพียงศัตรูกลับมา
  “ฮ่าๆ พวกที่คิดซื้อกับวิชาระดับตำนานหรือสมบัติกึ่งภูติก็มีแต่พวกโง่ ข้าไม่อยากได้คนไร้ประโยชน์พวกนั้นมาเป็นพรรคพวกหรอก!”
  ซือหยูโต้แย้ง
  “มีแต่คนฉลาดเท่านั้นที่รู้ว่าข้าต้องการอะไร!”
  ความวุ่นวายดำเนินต่อไปยอดฝีมือหลายร้อยหลายพันคนร้อนรุ่มไปด้วยความแค้น ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนที่เยือกเย็นอยู่บ้าง
  “ซือหยูเซี่ยนผู้นั้นน่าสนใจนัก”
  ปี้หลิงเทียนก้าวออกมาคนรอบ ๆ หลีกทางให้เขา
  เมื่อมีผู้แข็งแกร่งกำลังจะมาจัดการผู้คนจึงได้เงียบลง
  “ข้าต้องยอมรับว่าตำหนักโลหิตโชคดีนักที่มีเจ้าเป็นศิษย์!”
  ปี้หลิงเทียนเดินไปหาซือหยู
  ซือหยูยักไหล่เขาไม่สนใจคำชมนั้น เพราะผู้หญิงที่น่ารำคาญและไม่รู้สำนึกอย่างม่อเทียนฉวนไม่เคยยอมรับ
  “ข้าที่มาจากเขตกลางเหมือนกันเป็นตัวแทนดินแดนมีดสวรรค์จะรับผิดชอบความปรารถนาของเจ้า”
  ปี้หลิงเทียนกล่าว
  เขาพลิกฝ่ามือเรียกปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกมาเขียนคำสาบานด้วยเลือด
  “ยอดฝีมือจากดินแดนมีดสวรรค์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีวันแตะต้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตำหนักโลหิตก่อนวิบัติวิชาจะมาถึงมิเช่นนั้นพวกเราจะถูกอสูรภายในกลืนกิน”
  ตัวตนและสถานะของปี้หลิงเทียนนั้นเป็นตัวแทนได้ทั้งดินแดนมีดสวรรค์เหล่าคนสำนักอื่นทำแบบเดียวกับเขาและทิ้งแก่นโลหิตเอาไว้ในปฏิญาณสัตย์ดวงใจ
  “น้องซือเจ้าพอใจหรือยัง?”
  ปี้หลิงเทียนส่งปฏิญาณสัตย์ดวงใจให้
  ผู้คนเงียบกริบสุดท้ายพวกเขาก็เข้าใจความตั้งใจจริงของซือหยู
  เหตุผลของการเร่ขายสิทธิ์นั้นก็คือการกรองคนโง่ไร้ปัญญาออกไปหลายคนถึงกับพูดไม่ออก เหล่าคนที่สาปแช่งซือหยูเมื่อครู่เองก็พูดอะไรไม่ได้อีกแล้ว ราวกับปืนใหญ่ที่ไร้ไฟ
  ยิ่งพวกเขาว่าร้ายซือหยูแรงเพียงใดมันก็ยิ่งสื่อถึงความโง่เขลาของพวกเขาเอง
  ซือหยูไม่รับปฏิญาณสัตย์ดวงใจเขาหัวเราะอย่างเย็นชา
  “ส่วนใหญ่ข้าก็พอใจแต่มีสามจุดที่ต้องแก้!
  ปี้หลิงเทียนหันมอง
  “น้องซือโปรดบอก”
  “อย่างแรกเปลี่ยนจาก ‘แตะต้อง’ เป็น ‘ทุกความมุ่งร้ายและการต่อต้าน’!”
  ซือหยูชี้จุดที่เขาต้องการเปลี่ยนด้วยดัชนี
  จะเป็นยังไงถ้าพวกเขาไม่แตะต้องแต่ซัดมาด้วยกระบี่ มีด หรือวิชาบ่มเพาะ? เขาต้องระวังเรื่องช่องโหว่ในข้อความ
  “อันที่สองการจำกัดเวลาต้องขยายไปจนถึงเวลาทั้งหมดของแดนมณี!”
  ถ้าพวกเขาไม่ทำร้ายซือหยูก่อนวิบัติวิชาพวกเขาก็ทำร้ายในวิบัติหลังจากนี้ได้!
  “ข้อสามจากที่ข้าดู คนมีดสวรรค์ของพวกเจ้าที่กล่าวถึงมีเพียงพวกที่ข้าเห็นและพวกที่บาดเจ็บ ข้าว่ายังมีอีกกลุ่มที่กำลังมานะ ใช่ไหม?”
  “พวกนั้นยังไม่ทิ้งโลหิตมาเลยปฏิญาณสัตย์ดวงใจของเจ้ายังทำอะไรคนเหล่านั้นไม่ได้! ต้องเพิ่มอีกเงื่อนไข นั่นคือพวกเจ้าต้องรับผิดชอบต่อทุกคนจากดินแดนมีดสวรรค์ที่ทำการต่อต้านและมุ่งร้ายกับพวกข้า!”
  ปิงหวูชิงทึ่งพวกเขาเกือบจะถูกดินแดนมีดสวรรค์หลอกเพราะช่องโหว่เล็กน้อยแล้ว
  ปี้หลิงเทียนยิ้มอย่างขมขื่นเขาจงใจเขียนพลาด แต่เขาก็ไม่คิดว่าซือหยูจะมองไม่ออกเช่นกัน
  “แน่นอนแต่มีปัญหาอยู่หนึ่งเรื่อง ดินแดนมีดสวรรค์ห้ามกระทำการมุ่งร้ายหรือต่อต้านเจ้า แต่ตำหนักโลหิตเล่า?”
  คำถามของเขาทำให้หลายคนสนใจ
  พวกเขาอาจสาบานว่าจะไม่แตะต้องตำหนักโลหิตได้แต่แล้วถ้าตำหนักโลหิตเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนล่ะ?
  “ส่วนพวกข้ารึฮ่าๆๆๆ แน่นอนว่าพวกข้าจะไม่ถูกห้ามอะไรทั้งนั้น! ไปให้พ้นจากศิษย์ตำหนักโลหิต! ถ้าไม่อยากตายก็ไปให้ไกล!”
  ซือหยูมั่นใจราวกับว่าคุณธรรมอยู่ข้างเขา
  “บัดซบ!อะไรของเจ้า! เจ้ามันเลวยิ่งกว่าพวกอสูรสวรรค์!”
  “นั่นคำสาบานอะไรกัน?อีกฝ่ายทำอะไรศัตรูไม่ได้ แต่ศัตรูกลับลงมือได้โดยไม่ต้องออมมือ แม้แต่การตอบโต้ก็ถือเป็นการขัดต่อคำสาบาน!”
  “ต่อให้เอาชนะและสังหารใครไปได้อีกฝั่งจะถูกอสูรภายในกลืนกิน บ่มเพาะพลังให้เพิ่มขึ้นไม่ได้อีก!”
  “ซือหยูเซี่ยนเงื่อนไขแบบนี้มันไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยเรอะ?”
  เมื่อเห็นว่าคนกำลังวุ่นวายซือหยูพูดอย่างเคร่งขรึมและเย็นชา
  “เกินไปรึ?ไร้ยางอายรึ? ข้าก็แค่เห็นว่าข้ากำลังให้โอกาสพวกเจ้าเข้าสู่หอคอย! เรื่องยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับราคา! ถ้าพวกเจ้าอยากได้โอกาสเข้าหอคอย แน่นอนว่ามันก็ต้องจ่าย! ราคาก็คือความเสี่ยงของพวกเจ้า!”
  “และข้าสัญญาได้เลยก่อนที่วิบัติวิชาจะจบ ถ้าพวกเจ้าไม่ทำอะไรเราก่อน ตำหนักโลหิตจะไม่ทำร้ายเจ้า! ส่วนหลังจากนั้น…จากข้อมูลในอดีต…พวกเจ้าจะเหลือสักกี่คนกัน?”
  “ข้าว่า…ก่อนที่ตำหนักโลหิตจะได้ทำอะไรพวกเจ้าคงจะตายไปก่อนด้วยสาเหตุอื่น! ส่วนจำนวนคนที่ตายเพราะตำหนักโลหิตน่ะ…แทบจะไม่มี!”
  “ข้าขอถามหน่อยพวกเจ้าจะเสี่ยงสักเล็กน้อยเพื่อโอกาสเข้าหอคอยไม่ได้เลยหรือ?”
  ซือหยูถาม
  ถ้าหากยอดฝีมือมากกว่าครึ่งสามารถมารวมตัวกันที่หอคอยได้มันจะต้องมีรางวัลอันน่าตกตะลึงรออยู่แน่
  ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์สำนักอสูรสวรรค์ในยุคนี้ยังทำเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้โดยการชิงการเข้าหอคอยไว้เพียงผู่เดียว นั่นหมายความว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าตื่นตาที่ยิ่งกว่าเดิมในครั้งนี้
  หลังจากประเมินข้อดีข้อเสียพวกเขาก็ได้ความคิดแล้วว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร
  ท่ามกลางความเงียบปี้หลิงเทียนยิ้มด้วยความขมขื่น
  “ถ้าเป็นไปได้ข้าไม่อยากจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าเลย น้องซือ”
  ฟึ่บ!
  ปี้หลิงเทียนสะบัดมือแก้ไขข้อความในปฏิญาณสัตย์ดวงใจ
  ซือหยูรับไว้ด้วยรอยยิ้ม
  “เข้าไปได้!”
  คนดินแดนมีดสวรรค์เดินเข้าหอคอยด้วยความไม่พอใจบนใบหน้า
  ตั้งแต่นี้ไปในแดนมณีจะมีตำหนักโลหิตฝ่ายเดียวที่ทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ ทำได้ตั้งแต่ทำร้ายไปจนถึงล้างสังหาร พวกเขาทำได้เพียงหนีโดยมิอาจตอบโต้! มันเหมือนกับล่ามพวกเขาด้วยปลอกคอสุนัข!
  พวกเขาโศกเศร้าและรู้สึกขยะแขยงราวกับต้องกลืนแมลงวัน
  กลับกันคนตำหนักโลหิตข้าง ๆ นั้นกระโดดโลดเต้น! ข้อตกลงนี้เหมือนกับไพ่ตายที่ทำให้พวกเขาทำอะไรก็ได้!
  ยอดฝีมือสองหมื่นคนในเหตุการณ์นี้จะได้แต่วิ่งหนีเมื่อถูกตำหนักโลหิตตามล่าพวกเขาโต้ตอบไม่ได้เลยเพราะไม่มีทางเลือก
  จากนี้ไปถ้าหากพวกเขาบังเอิญขุดเจอสมบัติ ใครก็ได้จากตำหนักโลหิตก็แค่ตามมาปล้นมันไป ไม่ว่าจะมาจากไหน พวกเขาก็ต้องหนีทันที!
  ‘อะไรนะ?เจ้ายังไม่ไปอีกเรอะ?’
  ‘ดีล่ะข้าจะหั่นเจ้าให้ขาดท่อนด้วยกระบี่ข้า!’
  ‘อะไรกัน?เจ้าโต้ตอบงั้นเรอะ?’
  ‘ดีนี่ไงปฏิญาณของพวกเจ้า!’
  ตราบเท่าที่พวกเขาไม่เจอกับยอดฝีมืออีกสองหมื่นคนในสวนอื่นตำหนักโลหิตก็นับว่าครองทั้งแดนมณี!
  พวกเรารู้สึกราวกับอยู่ในฝัน
  เหล่าคนตำหนักโลหิตมองแผ่นหลังซือหยูด้ววยความเคารพนับถือจนเกือบจะเป็นการเคารพต่อสวรรค์ทั้งเก้าเขาบูชาซือหยูราวกับองค์เทพ
  เมื่อปิงหวูชิงรู้ความตั้งใจจริงของซือหยูนางเองก็ตัวแข็งทื่อไปนาน
  การเป็น‘พันธมิตร’ ครั้งนี้แข็งแแรงมาก มันแข็งแรงจนพันธนาการคนอื่นได้ และจะทำทุกอย่างได้เท่าที่ต้องการ!
  “นี่ไม่ใช่การก่อตั้งพันธมิตรไม่ใช่รึ?”
  ปิงหวูชิงพูดอย่างไม่แน่ใจ
  “มันเหมือนกับการล่ามพวกเขามากกว่า…”
  ไม่ว่าจะตกตะลึงแค้นเคือง หรือโมโหมากเท่าใด พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
  และซือหยูเองก็สัญญาว่าจะไม่แตะต้องพวกเขาก่อนเกิดวิบัติวิชา
  ถ้าหากพวกเขามีโอกาสหนีหลังจากวิบัติตราบเท่าที่พวกเขาไม่โชคร้ายจนเจอกับพวกขี้โกง มันก็จะไม่มีปัญหาใหญ่
  “ย่อมได้ซือหยูเซี่ยน เจ้าอย่าลืมเรื่องนี้ก็แล้วกัน! ข้ายอมรับข้อเสนอ!”
  “ข้าไม่ยอมรับเจ้า!
  ซือหยูปัดมือ
  “ทำไมกัน?”
  คนที่ถูกปฏิเสธไม่พอใจ
  “เพราะเจ้าไม่รู้สำนึกข้าคือคนที่ให้โอกาสเจ้า เจ้าไม่แสร้งทำหน้าสำนึกดูสักหน่อยรึ?”
  “คนต่อไป!”
  “ข้าคืออู๋หลงอวี่จากเกาะทรายใต้น้องซือ ขอบคุณมากที่ให้โอกาสพวกเราเข้าหอคอย พวกเราซึ้งใจยิ่งนัก นี่ปฏิญาณ โปรดอ่านดู”
  “ท่าทางแบบนี้แหละถูกต้องเข้าไปได้”
  …
  ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้คนต้องฝืนยิ้มแม้จะถูกเขากลั่นแกล้ง พวกเขาต้องสาบานก่อนเข้าหอคอย
  พวกที่ไม่สาบานคือกลุ่มยอดฝีมือระดับพลังน้อยที่รู้ดีกว่าคนอื่นว่าไม่มีโอกาสไปหอคอยชั้นสูงๆ พวกเขาเห็นว่าการสาบานนั้นไม่คุ้ม และจากไป
  สุดท้ายก็เหลือเพียงคนคุ้นหน้านั่นคือตำหนักเมฆาม่วง! ศิษย์ตำหนักเมฆาม่วงเกิดความรู้สึกมากมาย พวกเขารวมตัวกันมาดูตำหนักโลหิตกลั่นแกล้งดินแดนพรสวรรค์อย่างรุนแรงและต้องฝืนยิ้ม มันเพิ่งจะผ่านเวลามาไม่นาน แต่ตำหนักโลหิตก็ได้พบกับโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่สิ พวกเขากำลังจะได้ทะยานขึ้นฟ้า!
  พวกเขาโกงโดยใช้สำนักอสูรสวรรค์และได้กุมชีวิตของยอดฝีมือไปมากกว่าครึ่ง!
  ตำหนักเมฆาม่วงคงจะโกหกหากไม่พูดว่าพวกเขาไม่อิจฉา
  และก็มีอีกปัญหาที่พวกเขาต้องคิดนั่นคือพวกเขาจะเข้าหอคอยหรือไม่?