บทที่ 1906 - การเตรียมตัว

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้เป็นคนที่สังหารผู้นำเทวะสูงสุดแต่การที่ผู้นำเทวะสูงสุดถูกฆ่าก็ยังเป็นเรื่องดีกว่าพวกเธอเองที่เป็นฝ่ายถูกฆ่า ชิงสุ่ยและทุกคนร่วมกันทำอาหารหลังจากกลับเข้าสู่หอคอยจักรพรรดิ แม้ว่ามื้ออาหารมื้อนี้จะเป็นมื้ออาหารที่ค่อนข้างครบครันและพูดคุยได้อย่างมีความสุข แต่ลึกๆในใจของทุกคนก็ยังมีเรื่องทุกข์ เพราะท้ายที่สุดต่างไม่มีใครยืนยันได้ว่าความเดือดร้อนจะไม่มาเยือน
  อดีตผู้นำเทวะเลือกที่จะยืนเคียงข้างทุกคนเธอต้องการกลับไปที่พระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะอันแสนห่างไกลเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ช่างน่าเสียดายที่การเดินทางมันต้องใช้เวลานาน และเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะกลับมาได้ทันเวลาหรือไม่
  สำหรับราชันย์มังกรพิษได้กินผลผลอสูรบรรพกาลและยาเม็ดโชคชะตาทองความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ก่อนหน้านี้หากนับด้านพลัง ราชันย์มังกรพิษก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มโดยมีพลังมากถึง 40 ล้านเต๋า แต่ก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าเมื่อมีระดับพลังสูง เพดานของความแข็งแกร่งก็จะลดต่ำลง จนสุดท้ายโอกาสในการพัฒนาไม่ต่างจากการหาเข็มในมหาสมุทร
  หรือจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรากฐานพลังของราชันย์มังกรพิษได้แข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัวแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นมากถึง 10 ล้านเต๋า แต่ในภายภาคหน้าหากเขายังไม่หาวิธีพัฒนาพลังความก้าวหน้าก็คงจางหายไปตามกาลเวลา
  แต่พลังที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้ความสามารถในการทำลายของพิษเพิ่มขึ้นเช่นกันราชันย์มังกรพิษมีความสุขที่เห็นพลังของตนเองแข็งแกร่ง มันเป็นเพราะความช่วยเหลือของชิงสุ่ย และเขาเองก็รู้สึกพึงพอใจในตัวเจ้านายคนใหม่ เจ้านายที่ไม่ได้เรียกเขาออกมาเฉพาะตอนเวลาต่อสู้ ดังนั้นเวลาที่เขาอยู่บนโลก เขาจะใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาและได้รับการปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากแขกผู้มาเยือน
  แน่นอนว่าเขาคงไม่ใช้ร่างมังกรยักษ์ในการอยู่ร่วมกับทุกคนเมื่อเขาแปลงร่างกลายเป็นผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดำ เขายังได้พบเจอเพื่อนที่อยู่ในร่างจำแลงมนุษย์ชายหญิงไม่ว่าจะเป็นวิหคอัคคีทมิฬ เต่าเฒ่าโบราณ แมงมุมอสูรเศียรมังกร มังกรไอยราเกล็ดทองคำ จนกลายเป็นสมาคมขนาดใหญ่
  เมื่อบนโต๊ะอาหารถูกเติมเต็มไปด้วยอาหารประนึ่งโต๊ะราชาราชันย์มังกรพิษแสดงสีหน้าประหลาดใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นของอาหารอันโอชะ และเป็นอาหารที่เจ้านายของมัน ชิงห่านอีเป็นผู้ปรุง
  เหล่าหคอัคคีทมิฬแมงมุมอสูรเศียรมังกร มังกรไอยราเกล็ดทองคำที่อยู่ในร่างจำแลงมนุษย์ เคยกินอาหารเหล่านี้นับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะแมงมุมอสูรเศียรมังกร เธอมีรูปร่างเหมือนเด็กสาวและแสดงตัวเหมือนเด็กน้อยที่จ้องมองอาหารเหมือนรอคอยผู้ปกครองอนุญาต ชิงสุ่ยเป็นคนป้อนอาหารให้กับเธอด้วยตัวเอง ในขณะที่เขาค่อยๆลูบหัวเด็กสาวตัวน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม
  แม่นางตงฟ่างจ้องมองชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มเธอค่อนข้างตกตะลึงกับวิธีปฏิบัติของชิงสุ่ยที่มีต่อแมงมุมอสูรเศียรมังกร มันเหมือนกับเขากำลังปลอบโยนเด็กสาวไม่ต่างอะไรจากลูกของตัวเอง มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าชายคนนี้มีเสน่ห์ในแบบที่อธิบายไม่ได้
  ชิงสุ่ยหยิบสุราชั้นเลิศขึ้นมาวางบนโต๊ะ
  ”เหตุการณ์วันนี้ก็ผ่านไปเราค่อยกลับมาพูดถึงมันในวันหลัง วันนี้เราควรจะฉลอง!! อยากได้รีรออีกเลย!!”ชิงสุ่ยหยิบไหสุราและเติมลงในจอกก่อนจะแจกจ่ายให้กับทุกๆคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร
  ดวงตาของราชันย์มังกรพิษเปล่งประกายมือข้างหนึ่งถือจอกสุราส่วนอีกข้างถืออาหาร เขาเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับขุมทรัพย์อาหารขนาดใหญ่ แต่ก็พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง
  ทุกคนต่างรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยจนกระทั่งราชันย์มังกรพิษยอมพ่ายแพ้ในความยั่วยวนของอาหาร และเริ่มเคลื่อนไหวด้วยท่าทางตลก แต่เขาก็แก้เขิน ก่อนจะกลืนอาหารคำโตพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า “อาหารมื้อนี้ ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอาหารมื้อใดๆที่ข้าเคยกินมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้ยินข่าวลือว่าหอคอยจักรพรรดิคือแหล่งอาหารมากกว่าสถานพยาบาล ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
  ”จริงๆมันก็ไม่ผิดเลยในเมื่อกระเพาะของคนเรารองรับอาหารได้มาก อาหารทุกชนิดที่กินเข้าไปจึงต้องเป็นอาหารชั้นเลิศ ข้าเลยสงสัยว่าอาหารที่ข้าทำตอนนี้มันดีมากพอหรือยัง เพราะแม้แต่อาหารบนเพราะอาหารตอนนี้ ข้ายังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ที่สุดของอาหาร แต่อย่างน้อยผลจากการรับประทานอาหารก็ช่วยส่งเสริมร่างกายให้แข็งแรง”  ”ใช่แล้วล่ะอย่างน้อยเพราะอาหารที่พวกเรากิน พวกเราเลยไม่รู้สึกเจ็บป่วย…..”
  หลายๆคนช่วยยืนยันว่าอาหารก็เป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาจากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนประเด็นไปพูดคุยเรื่องอื่น
  ”สหายสุ่ยข้าต้องรีบบอกเรื่องราวทั้งหมดให้พระราชวังหมากรุกสวรรค์อมตะรับรู้ให้เร็วที่สุด แต่กว่าที่พวกเขาจะมาถึง ข้ากลัวว่ามันจะสายไป” แม่นางตงฟ่างกล่าว
  ”อืมแต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดมากหรอก ข้าไม่อยากรบกวนเจ้า และตอนนี้ทุกอย่างก็อย่างสงบดี”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
  ”พวกเราออกมาจากพระราชวังอมตะเบญจพิษโดยลำพังกว่าพระราชวังอมตะเบญจพิษจะรับรู้ถึงปัญหาคงต้องใช้เวลานาน ปัญหาหลักของพวกเราตอนนี้คือมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ต่างหาก”ราชันย์มังกรพิษกล่าว
  ”สหายมังกรเจ้าเองก็อยู่ในมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์มายาวนานหลายปี เจ้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาคิดหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
  ”ชิงสุ่ยเจ้าพูดจาไม่เพราะเอาซะเลย”ชิงห่านอี้จ้องมองชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยถึงกับงง”อะไรกัน?”
  ”เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าเรียกผู้อาวุโสคนนี้ว่าท่านลุงแต่ทำไมเจ้าถึงเรียกผู้อาวุโสคนนี้ว่าสหาย แล้วยังใช้แทนสรรพนามเจ้า ข้าไม่ให้ความเคารพกันเอาซะเลย…..”ชิงห่านอี้กล่าว
  ชิงสุ่ยได้แต่ยิ้ม”มันไม่ดีหรือไง คำพูดของข้ามันทำให้พวกเราดูใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น”
  การต่อล้อต่อเถียงของชายหญิงทั้งสองคนทำให้ภาพบรรยากาศเติมเต็มไปด้วยความสุข ลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
  ”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์คืออาณาจักรที่คอยกลืนกินจักรวรรดิข้างเคียง นั่นก็หมายความว่าขุมกำลังของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ย่อมต้องเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ผู้นำเทวะสูงสุดที่ท่านฆ่าไปไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงเพราะความสามารถในการใช้พิษต่างหากที่ผู้อื่นยอมรับและยอมรับเป็นหนึ่งในผู้นำเทวะสูงสุด เหนือผู้นำเทวะสูงสุดยังมีอาจารย์ของผู้นำเทวะ แน่นอนว่าพวกเขาหลายๆคนแข็งแกร่งพอจะฆ่าเจ้าได้เป็นสิบๆรอบ”ราชันย์มังกรพิษกล่าวเช่นนี้เพราะความเป็นห่วง
  ”เจ้ารู้สึกกลัวใช่หรือไม่?ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าจากที่แห่งนี้ไป อย่าได้กังวล ข้าพูดจริงจัง ข้าพูดคำไหนก็คำนั้น”ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
  ราชันย์มังกรพิษไม่เข้าใจความหมายของชิงสุ่ยแต่เขารับรู้ได้ถึงความผันผวนของอารมณ์ และพอจะอนุมานความรู้สึกที่แท้จริงของชายคนนี้ได้
  ”เจ้าไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าแม้ว่าสิ่งที่จะพูดจะเป็นความจริงจากใจของเจ้า แต่คนอย่างข้าไม่มีอะไรต้องกลัว แม้ว่าข้าจะไม่ได้ถูกยอมรับให้เป็นแนวหน้าของเผ่ามังกร แต่สายเลือดมังกรที่แท้จริงยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวของข้า”ราชันย์มังกรพิษกล่าวด้วยความเคร่งขรึม
  ชิงสุ่ยยิ้ม”การที่เจ้าอยู่ที่นี่ มันเหมือนกับการที่พวกเรามีกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งคอยช่วยเหลือ”
  ”ถ้าเช่นนั้นทุกคนก็จงรอคอยอยู่ที่นี่ เราจะคอยเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ รอดูว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองกลับมาอย่างไร ส่วนข้าจะเป็นคนออกไปจัดการพวกมันเอง”
  ชิงสุ่ยนำบางสิ่งบางอย่างออกมามันคือค่ายกลที่เป็นตัวช่วยเหลือสำคัญ ในเมื่อทุกคนมารวมตัวกันในหอคอยจักรพรรดิ หากทุกคนไม่สามารถเอาชนะศัตรูได้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการซ่อนตัวอยู่ภายในหอคอยจักรพรรดิ และรอเวลาหลบหนีโดยอาศัยทักษะย่างก้าว 9 เทวา
  รูปแบบผังแปดทิศ
  ชิงสุ่ยหยิบเอาค่ายกลหนึ่งในค่ายคนที่ดีที่สุดออกมามันคือประตู 8 ทิศที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้นและมีพลังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเมื่อผสานรวมกับหินปราณจิต
  รูปแบบค่ายกลหินปราณจิตปัจจุบันพัฒนามาถึงระดับที่5 ผลของมันคือการส่งเสริมพลังค่ายกล เสริมพลังความทนทาน และพลังป้องกันอีก 5 เท่า
  ชิงสุ่ยใช้เวลาจัดตั้งค่ายกลทั้งหมดประมาณ4 ชั่วโมง แต่เขาก็ยังไม่ได้เปิดใช้งานค่ายคน สิ่งที่เขาทำคือการบอกจุดหลบซ่อนให้กับทุกคนได้รับรู้ เพื่อที่จะได้เข้าออกตามความต้องการของตน และใช้งานได้อย่างปลอดภัย
  กระบวนการจัดตั้งค่ายกลกินเวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงดึกมันเป็นวันที่ชิงสุ่ยมีความกังวลมากที่สุด แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้ม
  แน่นอนว่าตอนกลางคืนชิงสุ่ยยังคงกลับไปที่ห้องของอีเย่เจี้ยนเก้อ และโอบกอดหญิงสาวโฉมงามจนร่างกายกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว ชิงสุ่ยค่อยๆบรรจงจูบร่างกายสีขาวหิมะอย่างบ้าคลั่ง โดยที่อีเย่เจี้ยนเก้อก็ตอบสนองความรู้สึกร้อนรุ่ม และค่อยๆขึ้นคร่อมเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  หญิงสาวร่างกายขาวนวลขยับเขยื้อนร่างกายขึ้นลงอย่างช้าๆพร้อมกับส่งสายตายั่วยวนจิตใจชิงสุ่ย