ประชันขันแข่ง

 

หลังจากที่ทุกคนได้เห็นหลิวฉิงเข้าไปนำของบางอย่างมามอบให้ผู้อาวุโสเซี่ยเพื่อร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งขอให้เขาช่วยบอกรายละเอียดของของที่เขานำมามอบให้นั้น

ทุกคนในตอนนี้ต่างหันไปดูพร้อมรู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นแน่ๆ หลิวฮงเองในตอนนี้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย

เขาไม่คิดว่าหลิวฉิงจะเตรียมอะไรมาด้วยเพราะตอนที่เขาบอกหลิวฉิงไปเห็นทำท่าไม่อยากจะมาซักเท่าไหร่

เขานั้นรู้สึกมีความสุขอยู่บ้างที่เจ้าหนูตระกูลของเขาเริ่มทำตัวเป็นผู้เป็นคนซักที

แต่ก็แอบเสียใจเล็กๆอยู่เหมือนกันที่หลิวฉิงไม่ได้เอาของที่จะมอบให้มาให้เขาดูก่อน

ใครจะรู้จักหลิวฉิงดีไปกว่าเขาว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ดีซักเท่าไหร่ เขาอาจนำของปลอมมาร่วมงานก็ได้ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อหลิวฉิงเลยซักนิด

 

ผู้อาวุโสเซี่ยยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองหลิวฮงและหันกลับมามองหลิวฉิงพร้อมพูดขึ้นมาว่า “งั้น ฉันขอดูหน่อยก็แล้วกันนะ”

หลิวฉิงค่อยๆเปิดกล่องออกช้าๆ ข้างในเป็นหยกสี่ชิ้น สามชิ้นเป็นหยกรูปร่างประหลาดแต่ก็ดูดีไม่เลว ส่วนอีกชิ้นนั้นดูเหมือนจะเป็นรูปกบสามขาที่ทำมาจากหยก หยกทุกชิ้นนั้นดูๆไปแล้วช่างดูสว่างไสวและมีสีผิวที่สวยงาม และดูเหมือนมาว่าจะเก่าพอสมควร

 

ผู้คนที่เห็นต่างทำตาลุกวาวแม้แต่หลิวฮงและเต๋าฉินจูก็ไม่เว้น

ของเก่าของสะสมที่เป็นหยกนั้นถือได้ว่าเป็นที่นิยมเลยทีเดียว นั่นก็เพราะหยกชั้นดีจะมีราคดีตามไปด้วย และหากหยกชิ้นนั้นเป็นงานแกะสลักหรือมีอะไรซักอย่างที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวได้ราคาของมันก็จะสูงขึ้นไปอีก

เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปหินที่หนุ่มหล่อคนก่อนหน้านำมาแล้วถือได้ว่าหยกสี่ชิ้นนี้สำหรับนักสะสมมีคุณค่ามากกว่า

 

ผู้อาวุโสเซี่ยหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาดูพร้อมพิจินพิเคราะห์ก่อนจะถามออกมาว่า “ฉิงน้อย เจ้ารู้รึไม่ว่าพวกมันคืออะไร”

 

เขานั้นเป็นเพื่อนกับหลิวฮงมานาน เคยเห็นหลิวฉิงมาตั้งแต่เล็กย่อมรู้จัดเด็กคนนี้ดีพอสมควร

 

หลิวฉิงเองก็ได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า “แน่นอนครับ พวกมันเรียกว่า “ยูไค”(เหรียญตราที่ทำจากหยก)”

 

“แล้วนายรู้รึเปล่าว่ามีของในสมัยใดกัน” ผู้อาวุโสเซี่ยถามออกมา

 

หลิวฉิงจึงตอบไปว่า “ราชวงศ์ชางรึเปล่าครับ”

 

“โฮ่ ดูเหมือนจะทำการบ้านมาพอสมควรนะ มันก็จริงที่ตราหยกพวกนี้เริ่มใช้กันแพร่หลายในช่วงราชวงศ์ชาง แต่ที่ฉันมีนั้นมันมีขนาดเพียง 6.5 ซม. โดยขนาดของเหรียญพวกนี้เท่าที่รู้จะอยู่ระหว่าง 1.2 ซม. – 17.8 ซม.”

“ยิ่งไปกว่านั้น ตราหยกส่วนใหญ่จะทำมาจากหยกฮิเตียน ซึ่งมีความเหมาะสมในการนำมาทำตราพวกนี้มากที่สุดแล้ว พวกมันถูกเรียกว่า จิซินเป่ย

ในช่วงต้นของราชวงศ์ชางนั้น ยูไคเหล่านี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการดึงสายธนูและหน้าไม้ทำให้พวกมันค่อนข้างหนา

ต่อมาใจช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นทางตอนใต้และตอนเหนือได้นิยมใช้หยกพวกนี้กันอย่างแพร่แหลายเช่นกันจนทำให้เริ่มมีการใช้ในการยิงธนูน้อยลงแต่นำไปใช้ในงานแกะสลักมากยิ่งขึ้น

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ราคาของยูไคมีราคาสูง แต่เมื่อเห็นของเจ้านำมาแล้วเมื่อลองพิจารณาในเรื่องของคุณภาพหยก ความหนา และรวดลายการแกะสลักแล้ว มันช่างดูไม่สอดคล้องกันเลยซักนิด”

 

“ในเรื่องของรูปร่างนั้น ตราหยกทั้งหมดนั้นมีลวดลายแกะสลักอยู่ทั้งสองข้าง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยวิธีการที่เอาเนื้อหยกออกมาจนทิ้งล่องลอยไว้โดยรอบในช่องว่าง ปกติควรจะต้องเรียบเนียนไม่ตะปุ่มตะปั่มแบบนี้ ซึ่งทั้งสามตรานี้เป็นเหมือนกันหมด

ถึงแม้หยกนี้จะดูสวยงามและสว่างสดใสแต่พอพูดถึงว่ามาจากยุคราชวงศ์ชางแล้วมันก็ดูจะขัดๆกันไปซะหน่อยเพราะผิวหยกไม่ควรจะสดใสขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะรมควันเคมีเพื่อที่จะกลบผิวตอนซื้อเพื่อไม่ให้สว่างมากเกินไปแต่ตอนนี้เคมีพวกนั้นสมควรหลุดออกหมดแล้ว”

 

“พอหันมามองดูเจ้ากบสามขาหยกตัวนี้ มันถูกเรียกว่าหลิวไฮ่เรียกทรัพย์(ทอง)

มันเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง และยังคงเป็นที่นิยมต่อไปล่วงเลยไปถึงราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ฉิง

แต่ลวดลายของเจ้ากบนี่บ่งบอกว่ามันกำลังเล่นอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยใบไม้ทั้งๆที่ควรจะเป็นกองเงินหรือกองทอง

การแกะสลักให้ฐานเป็นรูปใบไม้หรือสวนแบบนี้ได้รับความนิยมในยุคอื่น มันก็เหมือนกับว่ามีผู้ชายใส่สูทยืนอยู่ในตลาดยุคราชวงศ์ฮั่นนั่นแหล่ะจะเป็นไปได้อย่างไร

 

พอถึงตรงนี้แล้ว หลิวฉิงเริ่มประมวลผลตามไม่ทันแล้ว แต่เขาก็พอเลาๆได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของปลอมที่เขาจ่ายไปกว่าสองแสนหยวนอีกด้วย

ตอนนี้หน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสีรู้สึกอายจนแทบจะมุดดินหนีไปซะพ้นๆ นั่นก็เพราะว่าเขาถูกหลอกด้วยการตบตาง่ายๆเพียงเท่านั้น

 

หลิวฮงเองก็แทบจะอยากยิงหลิวฉิงทิ้งซะตรงนั้นเลย หลิวฉิงนั้นมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนทำให้เขาคิดว่าเขาศึกษาของเก่าและเครื่องลายครามมากพอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะหยิบมาแม้กระทั่งหยกที่แกะสลักห่วยซะจนเป็นรูเต็มไปหมดมาซะได้ ถ้าเขาเรียนรู้เพิ่มอีกสักนิดหล่ะก็คงไม่ถูกหลอกง่ายๆแบบนี้หรอก

 

หนุ่มหน้าหล่อเองก็ได้ยิ้มและถามออกมาว่า “หยกสี่ชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่หรอ”

 

หลิวฉิงหันไปยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่ได้มากมายอะไรหรอกแค่ไม่กี่พันหยวนเอง”

 

หนุ่มหน้าหล่อทำเพียงหัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คนอื่นที่ได้ยินเองก็มีน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าซื้อมาไม่กี่พัน นั่นก็เพราะว่าถ้าเขาอยากจะขายหยกโบราณไม่มีทางที่จะตั้งไว้หลักพันแน่นอน อย่างน้อยๆก็ควรจะหลักแสนไม่ก็สองแสนแน่ๆ

 

“ตอนฉันเป็นหนุ่มเองก็เคยเจอแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ก็เลยไม่พลาดน่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมา

 

“นั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าจะศึกษาสิ่งต่างๆมาดีแค่ไหน จนถูกนับถือมากมายเพียงใดก็ไม่เคยเพียงพอสินะ หากไม่อยากถูกหลอกอีกก็ต้องใฝ่เรียนรู้ให้มากขึ้น ไม่ก็ยอมให้เขาหลอกต่อไป หรือไม่ก็เลิกสนใจไปเลย มีตัวเลือกอยู่แค่นี้เท่านั้นเอง”

 

หลิวฉิงพูดออกมาด้วยความอ่อนใจ เขานั้นไม่มีหน้าเหลือในพื้นที่แห่งนี้อีกแล้ว เขาได้มองไปที่ซูจิ้งอย่างหมดแรงใจ เขาเองก็อยากเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเลยถามซูจิ้งไปว่า “ตอนนี้ผมเซ็งมากเลยล่ะ พี่จิ้งเองก็เอาสมบัติมาใช่รึเปล่า ผมขอดูหน่อยสิ”

 

ซูจิ้งยิ้มออกมา ซูจิ้งเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นที่ทั้งสองพยายามทำตัวให้หยินหนิงสนใจจนต้องมีเหตุให้ปะทะกัน พวกเขาต่างก็ชอบเฉียนหยินหนิงทั้งคู่

ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะหยินหนิงนั้นถือได้ว่าสวยทีเดียว ผู้คนล้วนแต่ชอบสิ่งสวยงามกันอยู่แล้ว

เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่มหาลัยนั้น เด็กมหาลัยแทบจะทุกคนต่างก็ตกหลุมรักเธอ

แม้แต่หลินเฮาที่เป็นเพื่อนร่วมห้องก็ยังหลงหยินหนิงหัวปักหัวปำ ถึงขนาดส่งจดหมายรักให้

แต่จดหมายรักนั้นก็ไม่ได้รับความสนใจ เหมือนส่งจดหมายไปกลางทะเลซะอย่างนั้น

เขาเลยถอดใจเพราะคิดว่าไม่มีโอกาสแล้ว

 

ซูจิ้งไม่ได้สนใจความขัดแย้งระหว่างหลิวฉิงและหนุ่มหล่อนั่นหรอกแต่เขาก็ตั้งใจนำสมบัติมาแสดงอยู่แล้ว ก็ถือได้ว่าได้จังหวะพอดี หลิวฉิงเองในตอนนี้ก็อายจนพูดอะไรไม่ออกแล้วถือว่าเป็นการช่วยเขาไปละกัน

 

ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็ได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาจิ้ง ไหนขอดูหน่อยสิว่านายเตรียมอะไรมา พวกเราอยากจะเห็นมันแล้วล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับก่อนพูดออกมาว่า “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดู”

 

ผู้คนในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่รู้จักซูจิ้ง โดยเฉพาะผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน เฉียนไจบิง เฉียนหยินหนิง เต๋าฉินจู หลิวฮง และคนอื่นๆเองต่างก็ตามซูจิ้งไปในทันที ส่วนไคจิ้งนั้นได้กระซิบกับตัวแทนของเขาบางอย่างก่อนที่จะเดินตามไปดูเช่นกัน

หลิวฉิงเองเมื่อเห็นทุกคนเดินตามซูจิ้งก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว ก่อนที่จะหยิบยกสี่ก้อนนั้นกลับลงไปในกระเป๋า

หลิวฮงสังเกตุเขาทุกรายละเอียดด้วยสายตาที่เฉือดเฉือน บ่งบอกได้เลยว่าโกรธมาก

เขาตั้งใจที่จะเรียกหลิวฉิงมาคุยเป็นการส่วนตัวทีหลัง ถ้าหลิวฉิงฉลาดกว่านี้ก็ควรจะเอามาให้เขาดูซะก่อนจะได้ไม่ขายหน้าขนาดนี้

 

“ซูจิ้งคนนั้นคือคนที่คุณเฉียนพูดถึงบ่อยๆครับ” ชายคนหนึ่งเข้ามากระซิบข้างหนุ่มหล่อ

 

“รู้แล้วล่ะ ฉันเองก็รู้จักเขามานานพอสมควรแล้วแต่ไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่แล้วเหมือนกัน วันนี้สมควรเป็นวันแห่งการคืนชีพสินะ ได้เวลาที่เราจะได้พบกันอีกแล้ว” หนุ่มหล่อพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

 

ต่อหน้าสาธารณะชนในตอนนี้ ซูจิ้งได้เดินไปยังพื้นที่จัดแสดงสามจุด โดยด้านซ้ายมือเป็นจุดจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดโดยมีผ้าสีดำคลุมทับไว้ มันสูงจนรู้ได้เลยว่าของที่ซูจิ้งนำมาต้องขนาดใหญ่มากแน่ๆ ซูจิ้งได้ดึงผ้าผืนนั้นออกไปเพื่อให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ถูกปกคลุมไว้

 

หลังจากเห็นสมบัติชิ้นแรก ทุกคนต่างตกตะลึงในทันที เมื่อทุกคนได้สติมันเหมือนดั่งเขื่อนทำนบที่แตกแล้วน้ำไหลพวยพุ่ง ทุกคนเหมือนจะพบยายามรีบเข้าไปหาสมบัตินี้ให้ใกล้ที่สุด แม้แต่ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็ไม่เว้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เต๋าฉินจูพุ่งไปก่อนใครเพื่อนด้วยท่าทีสุดแสนจะตื่นเต้น