บัญชามังกรเดือด บทที่ 949 เกาะหวัง
สือซินรีบมุ่งหน้าไปทางห้องโดยสารของเรือทันที
ฉินเทียนเหลือบมองไปยังประตูห้องโดยสารที่ปิดไว้อย่างสนิท หน้าประตูมีชายชุดดำสองสามคนยืนคุมอยู่ แววตาที่ดูสว่างสดใสและมีไหวพริบ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นผู้มีฝีมือตัวจริง
ไม่เพียงเท่านี้ รอบๆ ตัวเรือรวมถึงด้านบนของเรือ ทุกสามก้าวมีหนึ่งคนคุม ทุกห้าก้าวมีหนึ่งป้อมยาม โดยรวมแล้วบนเรือนี้มีบอดี้การ์ดชุดดำทั้งหมดไม่น้อยกว่าห้าสิบคน ที่คอยคุมกันอยู่อย่างรัดกุม
ดูจากสไตล์ของราชาจั่วเจียน แล้ว เขาต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างมาก
ฉินเทียนไม่เคยพบกับราชาจั่วเจียน มาก่อน ผู้บริหารระดับสูงของตงไห่กรุ๊ปผู้นี้ เพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงขึ้น ฉินเทียนจึงไม่อยากพบกับเขาในตอนนี้
เขากับหูเถิง นั่งดื่มน้ำอัดลมกันอยู่บนดาดฟ้าด้านท้ายเรือ มองดูเรือสำราญค่อยๆ เคลื่อนห่างออกจากท่า และเร่งความเร็วมุ่งหน้าสู่ทะเลอันกว้างใหญ่
จากท่าทางประหม่าของราชาจั่วเจียนและคนอื่นๆ การเดินทางมาขอแต่งงานของตระกูลเซี่ยตอนเหนือนั้น ดูจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิดเอาไว้
แม้ว่าเขาจะไม่เคยพบกับเซี่ยหมิงมาก่อน และไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นคนยังไง แต่เมื่อนึกถึงหวังตัวยวี่ แล้ว จู่ๆ ในใจของฉินเทียนกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริงแล้ว เขาเองก็ไม่อยากให้หวังตัวยวี่ แต่งงานกับเซี่ยหมิงเหมือนกัน
หรือว่าตัวเขาเองอิจฉาหรือกำลังหึงหวงอยู่นะ? เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉินเทียนจึงรีบยับยั้งความคิดในใจของเขาทันที
หากการแต่งงานเกี่ยวดองสำเร็จจริงๆ เช่นนั้นตอนเหนือกับตงไห่คงจะร่วมมือกัน เปลี่ยนโครงสร้างตระกูลใหญ่ในปัจจุบันของอีกฝ่ายเป็นแน่
และจะต้องเกิดผลเสียต่อทางตอนใต้รวมถึงตระกูลซีเป่ยของเขาอย่างแน่นอน
เขาคิดว่า นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาถึงไม่อยากเห็นการแต่งงานนั้นประสบความสำเร็จ
แต่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องคิดเรื่องนี้อีกแล้ว ฉินเทียนในตอนนี้ คิดอยู่เสมอว่า ขอให้ได้พบกับหวังตัวยวี่ ขอให้ได้หลินจือเลือดอย่างราบรื่น และออกจากสถานที่อันวุ่นวายนี้โดยเร็วที่สุดก็พอ
สำหรับเขาในตอนนี้ ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร การแข่งขันของเหล่าผู้กล้าจะเป็นเช่นไร ล้วนแต่ไม่ได้สำคัญอะไรกับเขาอีกแล้ว
มีแค่เพียงซูซูกับลูกในท้องของเธอเท่านั้น ที่สำคัญที่สุด
เมื่อเห็นฉินเทียนจิตใจเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหูเถิง เลยตบไปที่ไหล่ของเขา และพูดเบาๆ ว่า “ชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนูใหญ่ เลื่องลือไปทั่วทั้งตงไห่”
“เธอไม่ใช่คนแรกหรอก ที่คิดว่าตัวเองมีธุรกิจ แถมยังหน้าตาไม่เลว บวกกับความคิดเพ้อฝัน ที่อยากจะปีนขึ้นไปให้สูงกว่านี้”
“แต่ฉันขอบอกตามตรงนะน้องชาย คุณหนูใหญ่สวยมากแค่ไหน ความฮอตก็มีมากแค่นั้น ยิ่งรวมกับสถานะอันสูงส่งในตงไห่ด้วยแล้ว เธอยิ่งไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยซ้ำ”
“ต่อให้เป็นเธอ เธอก็เอาไม่อยู่หรอก”
“ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆ ก็รีบล้มเลิกความตั้งใจนั้นซะ”
ฉินเทียนพลั้งปากพูดไปว่า “ขอบคุณ พี่เถิง ที่เป็นห่วง ตอนนี้จะว่าไป คุณหนูใหญ่กับคุณชายแห่งตระกูลเซี่ย ถึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน”
“ครั้งนี้ ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีงานหมั้นของเขากับคุณชายเซี่ย ถือว่าคุ้มกับการเดินทางแล้ว ฉันเองก็จะได้ล้มเลิกความตั้งใจจริงๆ เสียที”
หูเถิงมองซ้ายมองขวา และกระซิบเบาๆ ว่า “แต่เรื่องนี้ เกรงว่าจะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด”
“หากเป็นการเฉลิมฉลองให้กับคุณหนูจริงๆ หล่ะก็ ทำไมราชาจั่วเจียน ของพวกเราถึงต้องระดมผู้คนมากมายขนาดนี้ด้วยหล่ะ?”
“ดูคนพวกนี้สิ เขาพาคนสนิทและแกนนำสำคัญที่อยู่ในมือทั้งหมดมาด้วย แล้วนี่จะเรียกว่าไปแสดงความยินดีได้ยังไงกันเล่า เห็นชัดๆ ว่าเป็นท่าทีของการไปปะทะกันซะมากกว่า”
ฉินเทียนแสร้งถามด้วยความประหลาดใจ “มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงเล่า?”
“หรือว่าราชาจั่วเจียน ไม่อยากเห็นคุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายเซี่ยอย่างนั้นหรือ? หรือเป็นเพราะว่าคุณชายเซี่ยเองก็ไม่คู่ควรกับคุณหนูใหญ่?”
“มันไม่ได้ติดที่คู่ควรหรือไม่คู่ควรหรอก…”หูเถิง ยิ่งทำท่าทีลึกลับมากขึ้น เขาพูดเบาๆ ว่า “ในสายตาของคนอื่น องค์กรตงไห่มีขนาดใหญ่ มีความเจริญรุ่งเรือง แนบแน่นสามัคคี”
“แต่จริงๆแล้ว ภายในไม่ลงรอยกันและแบ่งแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่ายมานานแล้ว ฉันบอกเธอไว้ก่อนนะ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ เธอห้ามแพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นหัวหลุดออกจากบ่า อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน”
“นี่เป็นเพราะว่าฉันเป็นพลขับของราชาจั่วเจียนหรอกนะ อ่อ เป็นผู้ช่วย น้ำตาลใกล้มด เลยได้ยินได้ฟังความลับพวกนี้มาไงหล่ะ”
ฉินเทียนทำเป็นคล้อยตามหูเถิง เลยยิ่งทำตัวลึกลับเข้าไปใหญ่ เขาพูดว่า “สมแล้วที่เป็น พี่เถิง น้องขอเลื่อมใสจริงๆ”
“ถ้างั้นทำไมพวกเขาถึงไม่ลงรอยกันหล่ะ? แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณหนูใหญ่จะแต่งงานด้วยไหม?”
ท่าทางของหูเถิง ดูเหมือนจะคันปากเต็มที่แล้ว เขากัดฟัน และเล่าเรื่องราวออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจจนหน้าบานเป็นชามกระด้ง
ฉินเทียนถึงได้รู้ว่า หลังจากที่อดีตผู้นำเกาะเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เขาได้ทิ้งลูกสาวกับลูกชายไว้อย่างละหนึ่งคน
ลูกสาวคนนั้นก็คือหวังตัวยวี่ เป็นลูกแท้ๆ เป็นสายเลือดโดยตรงแท้ๆ
ส่วนลูกชายชื่อหวังหลี จริงๆแล้วเป็นบุตรบุญธรรม ไม่ทราบประวัติอันแน่ชัด
เหตุการณ์สำคัญที่ตงไห่ในครั้งนี้ มีจินยีโหวหวังเหมี่ยนเป็นผู้จัดการ หวังเหมี่ยนและราชาจั่วเจียนหวังเจี่ยน ล้วนแต่หวังอยากจะให้คุณหนูใหญ่สืบทอดตำแหน่งผู้นำเกาะต่อไป
แต่เนื่องจากคุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาว จึงติดปัญหามากมายกับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตงไห่ถูกแยกออก พวกเขาเลยไม่อยากให้หวังตัวยวี่ ต้องแต่งงานออกไป
หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากให้หวังตัวยวี่ หาผู้ชายคนหนึ่งแล้วแต่งลูกเขยเข้าบ้านเสียมากกว่า เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล
เนื่องจากตามกฎแล้ว หากหวังตัวยวี่ แต่งออก เขาจะไม่มีวันได้เป็นผู้นำเกาะอีกตลอดไป
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะมีที่ว่างให้กับหวังหลี
“คุณชายหวังหลีผู้นี้ จะพูดยังไงดีหล่ะ อายุยังน้อย แต่ดูจืดชืดน่าเบื่อกว่าชายวัยหกสิบเสียอีก พูดให้ดีหน่อยก็คือ เขาดูแก่เกินอายุ ดูประสบการณ์เยอะ”
“แต่ฉันไม่ชอบเขาหรอกนะ และคนบนเกาะล้วนแต่ไม่ชอบเขากันทั้งนั้น”
เมื่อเอ่ยถึงหวังหลีหูเถิง ก็ขมวดคิ้วและทำหน้าราวกับอมทุกข์
“แต่นั้นไม่ได้ทำให้ เจ้าเปี้ยนแก่ไม่ชอบเขา เจ้าเปี้ยนแก่ไร้ยางอาย เขาจะยกคุณหนูใหญ่ให้แต่งงานออกไป นัยหนึ่งเพื่อแก้แค้นคุณหนูใหญ่ ส่วนอีกนัยหนึ่ง เพื่อจะดันหวังหลี ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน”
“เมื่อถึงเวลานั้น ตงไห่ก็จะกลายเป็นดินแดนของพวกเขา”
“เธอว่า จินยีโหวกับราชาจั่วเจียนของพวกเราจะทำสำเร็จไหม? ดังนั้นครั้งนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเกิดการปะทะกัน”
“แต่เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะ ถึงเวลานั้นเธอคอยติดตามฉันให้ดี ต่อให้พวกเขาสู้ให้ตาย ยังไงก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้อยู่ดี”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
เมื่อได้ฟังคำพูดของหูเถิง แล้ว ฉินเทียนถึงได้เข้าใจว่ามันมีเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์อันซับซ้อนแบบนี้นี่เอง ตงไห่ทั้งสองฝ่าย ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจินยีโหวกับราชาจั่วเจียน จะได้เปรียบกว่า
อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ ทำให้ ราชาเปี้ยน จึงพยายามคิดหาวิถีทาง ตามความช่วยเหลือจากต่างแดนที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลเซี่ยแห่งตอนเหนือนั่นเอง
แม้ฉินเทียนจะไม่เคยได้ศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยมาก่อน แต่เขารู้ดีว่า หลายปีมานี้พวกเขาสะสมกำลังและอำนาจเอาไว้อย่างมหาศาล
ฉินเทียนยอมรับว่า แม้แต่ตระกูลฉินแห่งตะวันตกของเขา ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อกรของตระกูลเซี่ยด้วยซ้ำ
หากตระกูลเซี่ยแน่วแน่ที่จะร่วมมือกับราชาเปี้ยนแล้ว เช่นนั้นเกรงว่าความแข็งแกร่งของราชาเปี้ยนจะเหนือกว่าฝ่ายของหวังตัวยวี่
ตอนนี้แม้ว่าฉินเทียนจะไม่ชอบราชาเปี้ยนแต่กลับมีเรื่องต้องไปขอร้องเขา และคงต้องพูดดีดีกับเขาด้วย
ถ้าพูดตามหลักการ เขาโอนเอียงไปทางจินยีโหว หวังเหมี่ยนและราชาจั่วเจียน แต่เขาเคยต่อสู้กับหวังเหมี่ยนมาก่อน จนกลายเป็นความบาดหมางครั้งใหญ่
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าด้วยสถานะของเขารวมถึงสถานการณ์ต่างๆ มันช่างทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก เขาจึงแอบตัดสินใจไว้ว่า เมื่อถึงเวลานั้นคงทำได้แค่ย่อตัวให้เล็กลงและกลมกลืนไปกับฝูงชน ทำตัวโปร่งใสเป็นลมเป็นอากาศไปเลยก็แล้วกัน
เรื่องของตงไห่ ก็คงต้องให้ตงไห่เป็นคนจัดการ พูดให้ชัดเจนคือ ให้หวังตัวยวี่ จัดการเอาเอง
ทิ้งเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ และเรื่องของความรู้สึกไปซะหวังตัวยวี่ต้องเป็นคนจัดการเองทั้งหมด หากเธอชอบเซี่ยหมิงจริงๆ และยินยอมที่จะแต่งงานไปกับเขา พวกเขาก็ควรที่จะได้รับคำอวยพรนั้นไป
เขาหวังว่า ตระกูลเซี่ยและตงไห่จะสามารถจัดการเรื่องราวนี้ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด แล้วเขาค่อยออกหน้าเจรจาเรื่องหลินจือเลือดต่อ
เขากำลังก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ดีดี จู่ๆ แขนของเขาก็ถูกชนเข้าอย่างแรง
หูเถิงรีบพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ระวังหน่อย ถึงเกาะหวังแล้ว!”