บทที่ 950 ล้วงคองูเห่า

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 950 ล้วงคองูเห่า

ฉินเทียนตกใจและรีบเงยหน้าขึ้น สุดปลายสายตาของเขาเห็นเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น

แม้จะอยู่ไกลมาก แต่เมื่อพิจารณาจากระยะทางแล้ว พื้นที่ของเกาะแห่งนี้ อย่างน้อยต้องใหญ่กว่าสองถึงสามเท่าของเกาะจั่วเจียน

ขนาดพอพอกับเหนือฟ้าที่เขาอยู่ในต่างประเทศเลยก็ว่าได้

อะไรจะเกิด ยังไงมันก็ต้องเกิด

ฉินเทียนถอนใจ คุมความรู้สึกของตัวเองให้สงบลง

แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์อันซับซ้อนวุ่นวายที่หูเถิง เล่ามาเมื่อครู่นี้ สิ่งที่เขาเห็นตรงเบื้องหน้านี้ แม่ว่าจะเป็นผืนน้ำผืนหนึ่ง แต่ราวกับจะเห็นว่าเป็นการปะทะกันระหว่างเลือดกับไฟ

ส่วนตัวเขาเป็นคนนอกที่บุกเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาอยากจะนำหลินจือเลือดออกไปจากท่ามกลางข้อพิพาทของผลประโยชน์กับอำนาจต่างๆซะ นั่นคือการล้วงคองูเห่าโดยไม่ต้องสงสัยเลย

……

ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว ที่ฉินเทียนถูกหวังตัวยวี่ แกล้ง ตอนที่เขาถูกเตะตกจากวาฬหัวทุยนั้น

อีกเกาะเล็กๆ ลักษณะยาวๆ เหมือนผมเปีย บริเวณด้านข้างของท่าเรือราชาเปี้ยนและคนสนิทของเขากลุ่มหนึ่งเฝ้ามองดูด้วยความตื่นเต้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเรือสำราญสุดหรูลำนั้นที่ค่อยๆ แล่นเข้ามาอย่างช้าๆ

บริเวณกาบหัวเรือ มีชายร่างกำยำล่ำสันยืนอยู่แปดคน แม้ว่าบริเวณหัวเรือจะถูกกระแทกด้วยแรงลมของคลื่นทะเล ถ้าเป็นคนธรรมดาคงจะยืนทรงตัวไม่ไหวแล้ว แต่ชายฉกรรจ์ทั้งแปดคนนั้น กลับยืนตัวตรงได้อย่างมั่นคงไม่สั่นคลอนแม้แต่นิด

ราวกับหอกแปดด้าม ที่ถูกเชื่อมติดไว้บนหัวเรือ

“ดูนั่นสิ สมแล้วที่เป็นคุณชายตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของตอนเหนือ แม้แต่บอดี้การ์ดที่ติดตามมาด้วยยังไม่ธรรมดาเลย”

“ว่ากันว่าทางตอนเหนือมีศิลปะการต่อสู้ ตามแบบฉบับพื้นบ้านอันแข็งแกร่ง วันนี้ได้มาเห็นกับตา มันไม่ธรรมดาจริงๆ อ่ะ!”

“พวกเธอกระปรี้กระเปร่ากันหน่อยนะ เดี๋ยวต้องต้อนรับพวกเขาให้ดีที่สุด ยังไงก็ห้ามขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด เข้าใจไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดของ ราชาเปี้ยนแล้ว ฝูงชนที่อยู่ด้านหลังต่างขานรับตามกันอย่างครึกโครม ใบหน้าแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความประจบสอพลอ

ก่อนหน้านี้ พวกเขาติดตามราชาเปี้ยนผู้นี้ เขาได้รับการต่อต้านและดูถูกเหยียดหยามจากภายในองค์กรของตงไห่ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ตราบใดที่ได้แต่งงานดองกับตระกูลเซี่ย ภายใต้ความช่วยเหลือของตระกูลเซี่ย ลำพังแค่จินยีโหวกับราชาจั่วเจียน ก็ไม่เท่าไรแล้วหล่ะ? จากนี้การตัดสินใจทุกอย่างในตงไห่ ก็จะกลายเป็นหน้าที่ของพวกเขาแล้ว!

ไม่นานนัก เรือสำราญสุดหรูก็ค่อยๆ จอดเทียบท่าอย่างช้าๆ

ราชาเปี้ยน สีหน้าแสดงความเคารพ เขาดูความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้ง ก่อนก้าวไปข้างหน้าสองก้าวพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าน้อยหวังซ่างชิง ราชาโย่วเจียนแห่งตงไห่ อีกทั้งผู้ติดตามทั้งหมดสามสิบหกคน ยินดีต้อนรับคุณชายเซี่ยครับ!”

พูดจบ ก็ก้มศีรษะอันหงอกขาวโพลนลงเพื่อแสดงความเคารพ

“ยินดีต้อนรับคุณชายเซี่ย!”

คนสนิททั้งหมดสามสิบหกคนที่อยู่ด้านหลังของราชาเปี้ยนพร้อมใจกันตะโกนสุดเสียง และโค้งคำนับอย่างสุดตัว

บนหัวเรือ บอดี้การ์ดทั้งแปดนั้นแบ่งออกเป็นสองแถว ที่ด้านหลัง มีชายหนุ่มชุดดำสิบกว่าคน เคลื่อนไหวอุ้มพรมสีแดงและปูยาวลงมาจากดาดฟ้าถึงที่ท่าเรืออย่างเป็นระเบียบ

ที่ท่าเรือ ทุกคนรวมถึงราชาเปี้ยนล้วนแต่ตะลึงงันกันไปหมด ในความคิดของพวกเขา สถานะของคุณชายตระกูลเซี่ยดูสูงศักดิ์มากอยู่แล้ว พวกเขาเลยใช้มารยาทขั้นสูงสุดในการต้อนรับด้วยเช่นกัน

คิดไม่ถึงเลยว่า มันยังดูด้อยเกินไป

คุณชายเซี่ยลงจากเรือ ต้องปูด้วยพรมสีแดง

ราชาเปี้ยนรู้สึกเสียใจมาก เขาคิดว่าตัวเองสะเพร่ามากเกินไป เรื่องแค่นี้ทำไมยังคิดไม่ได้

“น้อมต้อนรับคุณชายเซี่ย” ครั้งนี้ เขาไม่เพียงแค่ก้มศีรษะลงเท่านั้น แต่เขายังโค้งตัวคำนับลงอีกด้วย

บนเรือสำราญนั้น ในที่สุดประตูห้องโดยสารก็เปิดออก ชายหนุ่มท่าทางหยิ่งผยองคนหนึ่งเดินออกมา

สีหน้ายะโสโอหังของเขา เขาเดินเยื้องก้าวออกไปข้างหน้าบนพรมแดงนั้น และเดินลงเรือไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“เธอคือราชาเปี้ยนหรือ?” ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองหวังซ่างชิง และเอ่ยถามขึ้น

หวังซ่างชิง ตกใจไปชั่วขณะ และรีบตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยหวังซ่างชิง น้อมต้อนรับคุณชายเซี่ย”

“ได้ยินชื่อเสียงอันเก่งกล้าของคุณชายเซี่ยมานานแล้ว วันนี้มีโอกาสได้มาพบ ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง!”

“คุณชายเซี่ย____”

สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเต็มไปด้วยความภูมิใจ เขาโบกมือและพูดว่า “ท่านอาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ใช่คุณชายเซี่ย ฉันชื่อถงอาน เป็นข้ารับใช้ร่วมชั้นเรียนของคุณชายเซี่ยต่างหากเล่า”

ข้ารับใช้?

หวังซ่างชิง ชะงักไปชั่วขณะ เขาถามกลับด้วยความประหม่าไปว่า “แล้วคุณชายเซี่ยหล่ะ?”

“เดิมทีคุณชายเซี่ยบอกว่าจะมาด้วยตัวเองมิใช่หรือ_____”

จู่ๆ เขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา หากคุณชายเซี่ยไม่มา แต่กลับส่งข้ารับใช้คนหนึ่งมาเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นเรื่องมันก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้แล้วหล่ะ

ถงอานยิ้มยิงฟันและตอบว่า “คุณชายอยู่บนเรือ ราชาเปี้ยน คุณชายให้ฉันมาเรียนเชิญคุณเข้าไปพูดคุยกันบนเรือ”

“พรมแดงผืนนี้ คุณชายให้ปูไว้เพื่อรอรับคุณโดยเฉพาะเลยนะ”

วุ่นวายไปครึ่งค่อนวัน คุณชายก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา แต่กลับเตรียมรอพบหวังเปี้ยนจื่อในห้องโดยสารเรือแทน

ไม่เข้าใจเลยว่าคุณชายเซี่ยคิดจะทำอะไรกันแน่หวังเปี้ยนจื่อรู้สึกลังเลขึ้นมา และมีสีหน้าแสดงออกถึงความลำบากใจ

ถงอานพูดเบาว่า “คุณชายของพวกเรายุ่งมาก การเดินทางมาขอแต่งงานด้วยตัวเองในครั้งนี้ ถือว่าเป็นกรณีพิเศษจริงๆ”

“คุณชายบอกว่า เวลากระชั้นชิด ที่เขามาที่นี่เพื่อมารับท่านอาวุโส จากนั้นพวกเราจะเดินทางไปเกาะหวังด้วยกันเพื่อไปพบกับ คุณหนูหวัง แบบซึ่งๆ หน้า”

“มีเรื่องอะไรก็คุยกันบนเรือได้ เดินทางไปด้วย คุยกันไปด้วย”

“ราชาเปี้ยน หากคุณไม่ไว้ใจ จะพาคนของคุณทั้งหมดลงเรือไปด้วยก็ได้นะ”

ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง

ราชาเปี้ยนถอนใจ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตัดสินใจที่จะขึ้นเรือไปพบกับคุณชายเซี่ย ในขณะที่กำลังจะลงเรือไปนั้น เขาได้หันกลับไปมองภูเขาที่ไกลออกไปอย่างไม่ตั้งใจ เขาเห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหิน และกำลังโบกมือให้กับเขาอยู่

ในใจของเขาถึงได้สงบลง

มีหันหน้ามังกรซ่อนรูปทางเหนือคอยหนุนหลังอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกมั้ง

อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เขากับเฮยสุ่ยหารือกันไว้คือ หลอกใช้เห็ดหลินจือเลือดเพื่อดึงดูดฉินเทียนให้มาติดกับ และหลอกใช้ฉินเทียนจัดการกับศัตรูทั้งสองคนอย่างจินยีโหวกับราชาจั่วเจียน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะผิดแผนไปแบบนี้ ระหว่างที่ฉินเทียนกำลังเดินทางมา จู่ๆ ก็ถูกหวังตัวยวี่ ลักพาตัวไป ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ แม้แต่นายพลเกาคนของเขา ยังถูกขัดขวางโดยกองทัพอิสตรีของหวังตัวยวี่ ด้วยเลย จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว

เมื่อแผนมันเปลี่ยนไป เขาเลยทำได้แค่ทิ้งแผนเดิมนั้นไปซะ

แต่เขารู้สึกว่า เรื่องที่หวังตัวยวี่ ลักพาตัวฉินเทียนไประหว่างทางนั้น ต้องมีคนปล่อยข่าวออกไปอย่างแน่นอนหวังตัวยวี่ รู้ว่าตนจะใช้ประโยชน์จากฉินเทียนเพื่อจัดการกับเธอ ดังนั้นเธอจึงชิงลงมือเสียก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเปี้ยนจื่อรู้สึกว่าเรื่องมันเริ่มจะคับขันไปกันใหญ่แล้ว เขาใช้ไม้ค้ำยัน รีบจ้ำก้าวขึ้นเรือสำราญ และมุ่งไปทางห้องโดยสารเรืออย่างรวดเร็ว

ภายในห้องโดยสารเรืออันโอ่อ่า ในที่สุดหวังเปี้ยนจื่อก็ได้พบกับคุณชายอันดับหนึ่งแห่งตระกูลเซี่ยทางตอนเหนือ เซี่ยหมิง

เขาสวมใส่ชุดสูทสีขาว นั่งเคาะขาอยู่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ แววตาสุกใส รวมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ดูไปแล้วเหมือนจะเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย

“คุณชายเซี่ย!”หวังเปี้ยนจื่อเปล่งเสียงเรียกด้วยความดีใจ และตื่นเต้นจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปหา

ทันใดนั้น มีสายลมพัดมาจากด้านข้างของเซี่ยหมิงไม่รู้ว่าหูแว่วไปหรือเปล่า จู่ๆหวังเปี้ยนจื่อก็ได้ยินเสียงคำรามของเสือเบาๆ ดังมาจากสายลมนั้น

ช่วงเวลานั้น เขารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในขุนเขาท่ามกลางกลางคืนอันมืดมิด จนหลงเข้าไปในเขตสัตว์ป่าอันดุร้าย และเขากำลังจะถูกกินโดยสัตว์ป่าอันดุร้ายที่พร้อมจะกระโจนออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ความรู้สึกนี้มันช่างน่าหวาดกลัวเสียเหลือจริง!

หวังเปี้ยนจื่อใช้ชีวิตอยู่มานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย

“อย่านะ!” เขาหลับตาลงตามสัญชาตญาณและกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว

สายลมหยุดพัด เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นที่ข้างหู “คุณชายอยู่ตรงหน้า ห้ามเสียมารยาท!”