ตอนที่ 214 พบกัน

รักเล่ห์เร้นใจ

อินเสี่ยวเสี่ยวเอาชนะอี้อวิ๋นฉังแล้วรีบวิ่งหนีไป

 

 

อี้อวิ๋นฉังมองดูเงาหลังอินเสี่ยวเสี่ยวที่วิ่งหนีไป คิดจะไล่ตามไป แต่พอเธอลุกขึ้นยืน ก็สะดุ้งร้องซี้ดออกมา ที่แท้เมื่อครู่ตอนเธอล้มลงกับพื้น ข้อศอกกระแทกเป็นแผลเปิดนั่นเอง

 

 

ตอนนั้นเอง อี้อวิ๋นฉังได้ยินเหมือนเสียงร้องขอให้ช่วยดังมาจากห้องใต้ดิน เธอรู้สึกสงสัย ประกอบกับข้อศอกได้รับบาดเจ็บ จึงจำต้องเก็บมีดพกบนพื้นขึ้นมา มองอินเสี่ยวเสี่ยวหนีไปอย่างขัดใจ

 

 

พออินเสี่ยวเสี่ยวหนีออกจากห้องใต้ดินมาได้ ก็พบว่าที่นี่คือศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งจริงๆ เธอไม่กล้าออกไปทางประตูใหญ่ ด้วยเกรงว่า ‘หลินหว่าน’ จะยังมีพรรคพวกที่จะมาจับตัวเธอกลับไปอีก ดังนั้นเธอจึงมาที่มุมกำแพงแห่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะปีนกำแพงออกไป

 

 

ยังโชคดีที่เธอมือเท้ายังแข็งแรง บวกกับความกลัวทำให้เธอมีแรงฮึดและอึด เพียงครู่เดียวอินเสี่ยวเสี่ยวก็ปีนออกไปนอกกำแพง แต่เธอก็ล้มลงกับพื้น

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นบนร่างออก ลูบหน้าแล้วพบว่ามือเปื้อนเลือดเล็กน้อย พอเธอลูบหน้าอีกครั้งมีเลือดมากขึ้น ใบหน้าของเธอได้รับบาดเจ็บ คงเป็นตอนที่ต่อสู้กับอี้อวิ๋นฉังเมื่อครู่ อี้อวิ๋นฉังใช้มีดไล่แทงเธอ

 

 

แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้ว หนีให้รอดสำคัญที่สุด อินเสี่ยวเสี่ยววิ่งออกไปยังทิศทางตรงข้ามอย่างตื่นเต้นดีใจ วิ่งออกไปสักพักก็มาถึงเขตที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นแห่งหนึ่ง

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวถอนใจโล่งอก ที่นี่ต่อให้มีคนไล่ตามมาก็คงไม่กล้าจับตัวเธอไปต่อหน้าต่อตาผู้คนหรอกมั้ง

 

 

ตอนนั้นเอง อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าผู้คนรอบข้างต่างมองมาที่ตัวเธอ ชี้ชวนกันให้ดู เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าใบหน้าเธอได้รับบาดเจ็บอยู่ ในตอนนี้สภาพของอินเสี่ยวเสี่ยวกระเซอะกระเซิงไม่น่าดูนัก อยู่ท่ามกลางฝูงชนจึงดูแปลกประหลาดมาก

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจว่าจะติดต่อฮั่วเทียนอวี่ แต่เธอพบว่ามือถือของเธอหายไป หรือว่าจะถูก ‘หลินหว่าน’ เอาไป?

 

 

“หลินหว่าน?” ขณะที่อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น พลันก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังใกล้เข้ามา “คุณมาอยู่นี่ได้อย่างไร”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวมองไปทางต้นเสียง เขาคือเซียวจิ่งสือ

 

 

เซียวจิ่งสือมาที่ตรงหน้าอินเสี่ยวเสี่ยว พอเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงของเธอแล้วก็ตกใจ ถามว่า “หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไป? ทำไมอยู่ในสภาพนี้ได้ เกิดเรื่องอะไรเหรอ”

 

 

เขาเห็นฉันเป็นหลินหว่าน ไม่ใช่สิ ในสายตาเขา ฉันเองก็เป็นตัวสำรองของหลินหว่านอยู่แล้ว อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกปวดร้าวอยู่บ้าง เธอพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “คุณจำผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ใช่หลินหว่าน”

 

 

“งั้นคุณเป็นใครกัน?” เซียวจิ่งสือถามโพล่งออกไปแล้ว ก็รู้สึกว่าเสียมารยาทอยู่บ้าง เขารีบอธิบายว่า “เอ้อ คุณอย่ากลัวไปเลยนะ เป็นเพราะผมรู้สึกว่าคุณเหมือนกับหลินหว่านแฟนผมมากๆ เลย จึงเข้ามาถามดูน่ะ”

 

 

แฟนของเขา? หลินหว่าน? หลินหว่าน…เป็นแฟนของเขา…อินเสี่ยวเสี่ยวพอได้ยินเซียวจิ่งสือยอมรับความสัมพันธ์ของเขากับหลินหว่านจากปากตัวเขาเอง ก็ตะลึงจนตัวแข็ง เธอรู้สึกสะเทือนใจมาก พร้อมกันนั้นก็เจ็บปวดมากด้วย เจ็บปวดใจราวกับถูกมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น

 

 

เซียวจิ่งสือพอเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่เอ่ยปากพูด ทั้งมีท่าทีเหม่อลอยเช่นนั้นก็ถามว่า “คุณเป็นอะไรไป? คุณไม่รู้จะไปที่ไหนหรือเปล่า? ต้องการให้ผมช่วยไหม?”

 

 

อินเสี่ยวเสี่ยวตั้งสติได้ ส่ายหน้าพลางปฏิเสธว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องให้คุณช่วยหรอก ขอบคุณนะคะ”

 

 

“แต่สภาพคุณแบบนี้ต้องไปหาหมอนะครับ ให้ผมส่งคุณไปโรงพยาบาลเถอะ นะครับ” เซียวจิ่งสือพูดขึ้นอีก

 

 

จู่ๆ เซียวจิ่งสือก็เกิดใจดีขึ้นมา นึกอยากช่วย ‘คนแปลกหน้า’ ที่ตรงหน้า ก็เพราะเขารู้สึกว่าเธอคล้ายกับหลินหว่านมาก ไม่ใช่แค่หน้าตาเท่านั้น แต่เป็นความรู้สึกตอนที่เธอเข้าใกล้เขาก็เหมือนมากด้วย

 

 

“ฉันไม่ต้องไปโรงพยาบาล…เอ๊ะ คุณทำอะไรน่ะ…” อินเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันแล้ว เซียวจิ่งสือคว้าข้อมือเธอลากมาที่หน้ารถของเขาซะก่อน

 

 

เซียวจิ่งสือยัดตัวอินเสี่ยวเสี่ยวขึ้นรถ แล้วตัวเองก็ตามขึ้นมา พอขึ้นรถ เซียวจิ่งสือเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวมีท่าทางตึงเครียดก็พูดปลอบว่า “คุณไม่ต้องกลัวนะ ผมชื่อเซียวจิ่งสือ ผมไม่ใช่คนร้าย ผมแค่รู้สึกว่าสภาพของคุณแบบนี้อยู่ข้างนอกคนเดียวอันตรายเกินไป”

 

 

“ขอบคุณค่ะ…” อินเสี่ยวเสี่ยวยังจมอยู่กับความเจ็บปวดที่เซียวจิ่งสือยอมรับความสัมพันธ์กับหลินหว่าน เธอพูดเสียงเรียบ

 

 

“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ บาดแผลที่หน้าคุณได้มาอย่างไรครับ? ทำไมคุณจึงอยู่ในสภาพนี้ มาอยู่ที่นี่ในเวลากลางค่ำกลางคืนแบบนี้คนเดียว?” เซียวจิ่งสือถามอีก

 

 

“ฉัน…” อินเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะตอบอย่างไร ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้นบ้างว่า “ฉันขอถามบ้างได้ไหมคะ หลินหว่านกับคุณเป็นแฟนกันจริงเหรอคะ?”

 

 

“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ?” เซียวจิ่งสือตอบ

 

 

“ม…ไม่มีอะไรค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยตอบอย่างสิ้นหวัง

 

 

เดิมทีเธอตั้งใจว่าจะบอกเซียวจิ่งสือทั้งหมดว่า ‘หลินหว่าน’ จับตัวเธอไป และยังคิดจะใช้มีดฆ่าเธอ แต่ในเมื่อพวกเขาเป็นคู่รักกัน เธอรู้สึกว่าอย่าพูดเลยดีกว่า ต่อให้พูดไป เซียวจิ่งสือก็คงไม่ยอมเชื่ออยู่ดี คงเห็นว่าเธอกุเรื่องขึ้นเองมากกว่ากระมัง

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นอินเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไรอีก ก็เข้าใจว่าเธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้สาเหตุที่เธอรับบาดเจ็บ จึงไม่ได้ถามต่อ แต่ขับรถไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ละแวกใกล้เคียง

 

 

ภายในโรงพยาบาล ตอนที่หมอเห็นเซียวจิ่งสือกับอินเสี่ยวเสี่ยวมาด้วยกันนั้นยังเข้าใจว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันเสียอีก จึงพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิเซียวจิ่งสือว่า “คุณนี่ดูแลแฟนของคุณอย่างไรกัน? แฟนคุณบาดเจ็บขนาดนี้ ทำไมคุณไม่เป็นอะไรเลย? คุณไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง? ไม่รู้จักปกป้องแฟนตัวเองเลยหรือไง?”

 

 

“คุณหมอคะ คุณเข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่แฟนของฉันค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าหมอตั้งท่าจะร่ายยาวต่อไปอีก ก็รีบพูดขัดขึ้น

 

 

“งั้นเหรอ” หมอยังไม่ค่อยยอมเชื่อ

 

 

“จริงค่ะ พวกเรา…ไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ” อินเสี่ยวเสี่ยวพูด

 

 

ต่อจากนั้น หมอก็ใส่ยาที่แผลบนใบหน้าให้อินเสี่ยวเสี่ยวแล้ว ปิดผ้าก๊อซที่ปากแผล ป้องกันการติดเชื้อ และย้ำกับเธออย่าโดนน้ำ และให้ระวังเรื่องอาหารการกิน

 

 

ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาเซียวจิ่งสือเป็นคนจ่ายให้อินเสี่ยวเสี่ยว พอเขาจ่ายค่ารักษาเสร็จ อินเสี่ยวเสี่ยวก็ทำแผลเสร็จพอดี เขากับอินเสี่ยวเสี่ยวออกจากโรงพยาบาลด้วยกัน

 

 

“ขอบคุณนะคะ เซียวจิ่งสือ วันนี้เคราะห์ดีที่เจอคุณเข้า ส่วนค่าหมอฉันจะคืนให้คุณทีหลังนะคะ” พอออกจากโรงพยาบาล อินเสี่ยวเสี่ยวก็พูดกับเซียวจิ่งสือ

 

 

“ไม่เป็นไรครับ” เซียวจิ่งสือไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เขาถามอินเสี่ยวเสี่ยวอีกว่า “บ้านคุณอยู่ไหน? มืดค่ำขนาดนี้แล้ว ให้ผมไปส่งคุณเถอะนะ”

 

 

เซียวจิ่งสือเพิ่งพูดจบ ก็ได้ยินเสียงท้องของอินเสี่ยวเสี่ยวร้องจ้อกๆ ขึ้นมา อินเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกขายหน้ามาก หลังจากเธอถูกจับตัวไปแล้ว ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย โดยเฉพาะเมื่อครู่ต่อสู้กับ ‘หลินหว่าน’ หลบหนีออกจากศูนย์วิจัย เธอใช้เรี่ยวแรงไปมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ต่อหน้าเซียวจิ่งสือ

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นแล้วพูดต่อไปว่า “คุณยังไม่ได้ทานข้าวอีกเหรอครับ? งั้นพวกเราไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”