หลีผีเท่อไม่เข้าใจว่ารั้วไฟฟ้าเสียหายได้อย่างไร แต่เขาไม่เชื่อเรื่องบังเอิญ จางจื่ออันปรากฏตัวพร้อมกับช่วงที่รั้วไฟฟ้าตัดไฟพอดี แถมยังแอบเข้าไปขโมยโน้ตบุ๊กในห้องสำนักงาน จะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร
โรงฆ่าสัตว์เป็นหนึ่งส่วนสำคัญในแผนการของเขา สิ่งอื่นแทนที่ได้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ไม่สามารถแทนที่ได้ ก็คือไม่สามารถกลับสู่วงโคจรเดิมได้ภายในเวลาสั้นๆ
บุญคุณความแค้นส่วนตัวของเขากับจางจื่ออันเริ่มต้นที่ห้องสุสานในมหาพีระมิดแห่งกีซาของอียิปต์ ตอนนั้นเขาแอบรู้สึกว่าคนคนนี้น่าสนใจ และอยากดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่คนคนนี้โง่เง่า เขาจึงเลิกสนใจไป ต่อมาเพราะวาสนาตรงกันถึงได้ร่วมเดินทางไปตามหาพีระมิดสีทองที่สาปสูญ สุดท้ายเขากับทีมของเขาเจออุปสรรคแปลกๆ ตอนนั้นเขาก็สงสัยเรื่องประหลาดที่ซ่อนอยู่ในนั้น
ครั้งนี้บังเอิญมาพบกันที่ซานฟรานซิสโก แต่น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เขาสงสัยมากว่าทำไมจางจื่ออันคนนี้จัดการผู้คุมมากมายขนาดนั้นได้ หรือว่าปืนเทเซอร์ของพวกผู้คุมจะใช้ไม่ได้?
สรุปว่าเรื่องจางจื่ออันลึกลับซับซ้อนเกินไปแล้ว ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ นี่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้
สายตาของหลี่ผีเท่อค่อยๆ รวมตัวกันเป็นเส้น เงาของจางจื่ออันปรากฏตรงหน้าราวกับเข็มทิ่มเข้ามาในดวงตา
ครั้งนี้ต้องจัดการบุญคุณความแค้นยาวนานให้จบสิ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาไม่ถูกถ่วงเวลาจนตายก็คงโมโหจนตาย
เขากระแอมครั้งหนึ่ง โบกมือให้ผู้คุมถอยไป ความหมายคือเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
หลังจากผู้คุมออกไป เขาก็วางแก้วไวน์แดงเต็มแก้วกลับไปบนโต๊ะ “ทุกท่าน!”
เจ้าภาพกับแขกมีความต่างกัน พวกแขกผู้มีเกียรติล้วนเป็นพวกสง่าผ่าเผยและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เห็นผู้คุมแอบรายงานเรื่องส่วนตัวกับเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าคงจะไม่ดีแน่ถ้าแอบฟัง จึงทำเป็นพูดคุยกัน พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นระลอก
หลี่ผีเท่อที่เป็นเจ้าภาพพูดขึ้นมาแล้ว พวกแขกผู้มีเกียรติถึงจะวางแก้วไวน์แดงลง ทำหน้าตาจริงจังขึ้นมา มองหน้าหลี่ผีเท่อกันโดยพร้อมเพรียง
ข้างๆ โต๊ะจัดเลี้ยงตัวยาวปูผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาดมีแขกนั่งอยู่น้อยมาก ห้องจัดเลี้ยงว่างมาก ทั้งยังเงียบมากด้วย
“ข้างล่างเกิดเรื่องนิดหน่อย” หลี่ผีเท่อยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม “มีคนก่อความวุ่นวาย แต่ผู้คุมไม่ได้เรื่องพวกนั้นจัดการไม่ได้ ผมจึงต้องขอตัวชั่วคราว เพื่อลงไปจัดการสักหน่อย”
น้ำเสียงของเขาสบายมาก แต่พวกแขกไม่ได้หลอกง่าย พวกเขาสังเกตเห็นสีหน้ากังวลของผู้คุมหลังจากรายงานข่าวให้หลี่ผีเท่อฟัง ก็รู้ว่าเรื่องไม่ได้ง่ายเหมือนที่หลีผีเท่อแสดงออก
“พีท ฉันว่าเธอบอกความจริงมาก็ได้นะ” ชายชราไว้หนวดสีดอกเลาสวมชุดคลุมยาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างใจเย็น “แม้พวกเราจะเห็นต่างกัน เคารพพระผู้เป็นเจ้าคนละองค์กัน และโต้เถียงเรื่องนี้กันมาหลายครั้ง แต่พวกเราเป็นพันธมิตรกัน ความจริงเรื่องนี้ไม่เปลี่ยนแปลง เป้าหมายของพวกเราก็คือทำลายชาวอเมริกาที่โง่เขลา เรื่องของเธอก็คือเรื่องของพวกเรา ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็อย่าเกรงใจ ขอแค่เอ่ยปากบอกเท่านั้น”
ภาษาอังกฤษของชายชราไม่ใช่สำเนียงแท้ มีสำเนียงท้องถิ่นแอฟริกันแฝงอยู่เล็กน้อย บวกกับสีผิวดำมืด เหมือนจะเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังดึงดูดสายตาคนได้ไม่เท่าเหยี่ยวเพเรกรินที่ยืนอยู่บนแขนของเขา
“ถูกต้อง! พีท นายก็ได้ยินอาจารย์พูดแล้ว พูดมาเลยไม่ต้องเกรงใจ! ใครมาก่อกวนล่ะ ใช่คนเดียวกับที่ทำลายโรงฆ่าสัตว์หรือเปล่า”
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมแบบเดียวกันอีกคนตะโกนเสียงดังลั่น
ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี ไว้หนวดเคราและจอนผมดกหนา รูปร่างอ้วนเตี้ย พุงพลุ้ย แต่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว นับเป็นคนอ้วนที่ปราดเปรียวคนหนึ่ง
ชายอ้วนวัยกลางคนกับชายชรามีสีผิวใกล้เคียงกัน พูดภาษาอังกฤษติดสำเนียงแอฟริกันเหมือนกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างกันสุดขั้ว เขาวางโทรศัพท์มือถือฝังทองแท้ลงบนโต๊ะเสียงดังปังอย่างโมโห แล้วลุกขึ้นมาในทันใด เกือบจะชนเข้ากับแก้วไวน์บนโต๊ะแล้ว
แขกคนที่สามกลับไม่แสดงท่าทีอะไร จิบไวน์แดงคำหนึ่งอย่างสงบ
ด้วยเสียกำลังผู้คุมส่วนใหญ่ไปแล้ว ตอนนี้หลีผีเท่อจึงรู้สึกถึงอุปสรรคที่ขัดขวางทางของเขา ไปไกล่เกลี่ยในต่างถิ่นก็เหมือนน้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้ และเขายังต้องการความช่วยเหลือจากพลังเหนือธรรมชาติ ฉะนั้นตอนแรกเขาจึงคิดจะบอกให้ถอยก่อนเตรียมบุก ไม่ได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่รอให้พวกเขาเสนอความช่วยเหลือเอง
“เฮ้อ! ในเมื่อทุกคนมีน้ำใจช่วยเหลือ งั้นก็ยากจะปฏิเสธแล้ว ผมก็จะพูดตามความจริง” หลีผีเท่อถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ถ้าผมเดาไม่ผิด จะต้องเป็นคนที่ทำลายโรงฆ่าสัตว์แน่นอน! ทั้งที่ผมใจกว้างกับเขาขนาดนี้ แต่เขากลับตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ครั้งก่อนผมอาจจะเปิดโลงศพหินของพระนางคลีโอพัตรา แล้วเอาเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตออกมาได้ก็ได้”
ชายชราตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ “สิ่งของนอกรีตแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร”
เหยี่ยวเพเรกรินบนแขนของเขาสบตาที่โกรธเคืองของหลี่ผีเท่อตามการเคลื่อนไหวของเขา
หลี่ผีเท่อหัวเราะ “คุณต้องดูถูกอยู่แล้ว แต่ดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตมีราคาแพงมาก ผมอ่านวรรณกรรมโบราณมาแล้วไม่น้อย รู้สึกว่าเครื่องรางนี้อาจจะยังมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญมากกว่านั้น…เผลอๆ อาจจะมีประโยชน์กับคนอื่นด้วย”
ขณะพูด เขามองแขกคนที่สามครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังยังคงไม่มีท่าทีอะไร แต่ก็ไม่ได้จิบไวน์ต่อแล้ว
ชายชราครุ่นคิดเล็กน้อย “เธอกล้ายืนยันไหมว่าในโลงศพหินมีเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ต?”
“ไม่แน่ใจ” หลีผีเท่อตอบอย่างไม่ปิดบัง “แม้แต่ในโลงศพหินมีมัมมี่ของพระนางคลีโอพัตราหรือเปล่าก็ยังสงสัยอยู่เลย แต่นี่เป็นสถานที่ซ่อนเครื่องรางดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตที่สุดท้ายที่ผมนึกออก…”
“มัมมี่ของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น แล้วจะอยู่ที่ไหนได้อีก เธอคิดมากเกินไปแล้ว ต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ” น้ำเสียงของชายชราไม่ค่อยแน่ใจกับการตัดสินของหลี่ผีเท่อนัก จึงส่ายหน้าเล็กน้อย
หลี่ผีเท่อไม่ได้วุ่นวายกับปัญหานี้มาก ขั้นตอนการตายของพระนางคลีโอพัตราเป็นแค่ประโยคหนึ่งในหน้าหนังสือเล่มหนึ่ง มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าในหนังสือมีคนเติมแต่งเพิ่มหรือเปล่า…แต่นั่นแทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอน
นักเขียนหนังสือทำอย่างนี้ อาศัยจินตนาการบรรยายออกมาน่าจะมีความลับหรือเรื่องลี้ลับที่อาจจะไม่มีคนอื่นรู้ แต่นักวิชาการประวัติศาสตร์ยุคหลังทำได้แค่ยอมรับเพราะไม่มีการอ้างอิงอื่นหรือไม่มีการอ้างอิงอื่นที่น่าเชื่อถือมากกว่า จึงยึดถือตามนั้นเป็นมาตรฐาน
เขาถอนหายใจ “น่าเสียดาย ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุที่อธิบายได้ยากเล็กน้อย บวกกับการก่อกวนของคนคนนั้น ผมเพิ่งเหยียบเข้าไปในพีระมิดสีทองก็ถูกบีบให้ถอยกลับ แม้แต่ห้องสุสานราชินีก็ยังไปไม่ถึง ไม่ได้เห็นโลงศพหินของพระนางคลีโอพัตราด้วยตาตัวเอง แน่นอนว่าไม่ได้เปิดโลงศพหินด้วยมือตัวเอง ย่อมไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระนางคลีโอพัตรา น่าเสียดายมากจริงๆ…สองสามวันก่อน ทีมเล็กที่ผมส่งกลับไปทางเดิม กลับหาสถานที่ที่เคยไปไม่เจอ ตามรายงานบอกว่าภูมิประเทศตรงนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ฉะนั้นผมจึงหวังว่าดวงตาแห่งเทพีวัดเจ็ตจะไม่ได้อยู่ในโลงศพหิน เพราะอย่างนี้อาจจะหามันเจอเข้าสักวัน…”
“เอาล่ะๆ! ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่านายกับคนคนนั้นมีความแค้นฝังลึกกันมามาก นายเลยต้องเสียหน้าหลายครั้ง พวกเราก็จะช่วยนายจัดการเขา เอาให้สิ้นซากเป็นศพลอยอืดในทะเลไปเลย!” ชายอ้วนวัยกลางคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง