บทที่ 143 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 143 เรื่องกวนใจรอบสอง (12)

             รถขับจากชานเมืองเข้าสู่ตัวเมืองช้าๆ อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง มองดูรถที่ผ่านไปมาตรงหน้า กุมเสื้อของตัวเองไว้แน่น ราวกับจะหายใจไม่ออกในวินาทีต่อมา ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางเธอแบบนี้แล้วปวดใจเล็กน้อย เหยียบคันเร่งพุ่งทะยานออกไป ร่างกายของอี้เป่ยซีเกิดอาการเกร็ง

            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน มัน อัน ตราย”

            “หืม?”

            “อันตราย นาย เร็ว”

            “เป่ยซี เธอพูดกับฉันให้มันดีๆ”

            อี้เป่ยซีกลืนน้ำลาย คำพูดที่เปล่งออกมาติดๆ ขัดๆ เธอขมวดคิ้ว รอบเล่ารอบเล่า ก็ยังคงไม่สามารถพูดได้อย่างไหลลื่น

            “รังแก นาย ฉัน”

            ลั่วจื่อหานหัวเราะ “อืม ฉันรังแกเธอ” เขาเปิดเพลง เสียงดนตรีที่สบายและอบอุ่นดังขึ้นภายในรถที่คับแคบ มันทำให้เส้นประสาทรู้สึกผ่อนคลาย มือของอี้เป่ยซีคลายลงเล็กน้อย แต่สายตายังคงจ้องอยู่เบื้องหน้า

            ลั่วจื่อหานเร่งความเร็วขึ้นอีก อี้เป่ยซีคว้าเข็มขัดนิรภัย ตะโกนด้วยความตกใจ “นาย เร็ว ฉัน”

            “เร็วอีกเหรอ?” พูดจบ ลั่วจื่อหานก็เหยียบคันเร่งอย่างแรง อี้เป่ยซีสงสัยว่าความเร็วแบบนี้ รถคันนี้จะระเบิดหรือเปล่า

            “ฉันหยุด นาย หยุด กลัว”

            “อืม” เขายังคงไม่ลดความเร็ว จู่ๆ อี้เป่ยซีหลับตา หดตัวร้องไห้สะอื้นอยู่บนเก้าอี้

            ลั่วจื่อหานเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอก็จอดรถข้างทาง อี้เป่ยซีอาศัยจังหวะนี้เปิดประตูรถแล้วพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางสายฝนเพียงลำพัง

            “เป่ยซี!” เสียงรถที่เบรกเอี๊ยดกะทันหันทำให้ทุกอย่างเงียบสงบ สายฝนก็ตกลงมาเงียบๆ กว่าเมื่อครู่ รถผ่านไปด้านข้างอย่างเงียบๆ อี้เป่ยซีคุกเข่าอยู่ด้านหน้ารถ กอดตัวเองแน่น

            อีกแค่นิดเดียว นิดเดียว อี้เป่ยซีกำเสื้อร้องไห้ ลั่วจื่อหานรีบพุ่งไปด้านหลังของเธอ กอดเธอด้วยตัวสั่นเทิ้ม “เป่ยซี ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว” เธอกำแขนเสื้อของเขา สั่นไปทั้งตัว

            “ลั่วจื่อหาน”

            “อืม ฉันอยู่นี่”

            “พวกเรากลับไปดีไหม”

            “ได้ พวกเรากลับบ้านกัน”

            ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น ก้าวเดินมั่นคง ฝีเท้าส่งเสียงในแต่ละย่างก้าว เขาพาอี้เป่ยซีเข้าไปในรถ เพิ่มอุณหภูมิภายใน ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเธออย่างระมัดระวัง อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ปล่อยตัวไปตามการกระทำของเขา ริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อย

            เขาพาเธอกลับบ้านอีกครั้ง เมื่อคุณแม่อี้เห็นสภาพสะบักสะบอมของอี้เป่ยซีแล้ว คิ้วก็ขมวดกันแน่น แววตาที่มองลั่วจื่อหานแย่ลงเล็กน้อย

            ลั่วจื่อหานยักไหล่อย่างจนใจ “คุณป้าครับ ผมจะส่งเป่ยซีขึ้นไป”

            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ อย่าลืมดื่มน้ำขิง อย่าเป็นหวัดซะล่ะ” เธอกุมมือใหญ่โตของลั่วจื่อหาน “ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก”

            “โอเค คุณป้า ลาก่อนครับ”

            คุณแม่อี้พยักหน้าให้เขา แม้จะอนุญาตกับพฤติกรรมของเขาแต่ก็ลากอี้เป่ยซีมาอยู่ข้างตัวเองทันที “โธ่ เป่ยซีเอ๊ย นี่เขาพาลูกไปทำอะไรมากันแน่?”

            “นั่งรถสายมรณะ” เธอหัวเราะ “แม่คะ หนูอยากไปอาบน้ำก่อน แม่ช่วยอุ่มน้ำขิงให้ลูกสาวสุดที่รักของแม่ได้ไหมคะ?” พูดพลางกระพริบตา คุณแม่อี้มองดูเธอ เมื่อมั่นใจว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แล้วจึงพยักหน้า เข้าห้องครัวไป

            อี้เป่ยซีกำหมัด ขึ้นชั้นบนเข้าห้องน้ำไป เธอห้อมล้อมตัวเองด้วยน้ำอุ่ม นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้

            มีเพียงเวลาที่กำลังจะสูญเสียมันไปเท่านั้น จึงจะรู้ว่ามันมีค่าแค่ไหน

            ฉะนั้น ก่อนที่ลู่เยี่ยหวาจะจากไปเขาไม่ได้คิดถึงตัวเองแต่คิดถึงเธองั้นเหรอ? เธอมีความดีอะไรมีความสามารถอะไรกันที่คุ้มค่าแก่ความไว้วางใจจากคนที่สง่างามเช่นนี้ อี้เป่ยซีหัวเราะ ‘ลู่เยี่ยหวา ฉันจะติดตามนายและใช้ชีวิตอย่างสวยงาม ในที่สุดฉันก็เข้าใจความปรารถนาสุดท้ายในสายตาของนายแล้ว’

            เป่ยซี จงใช้ชีวิตต่อไปให้ดี

            เธอส่ายหัว ‘ลู่เยี่ยหวา หวังว่าชาติหน้า นายจะไม่ต้องมาเจอฉันอีก ฉันนี่มันตัวซวยของนายจริงๆ’          ทุกนาทีที่คุณแม่อี้อยู่ชั้นล่างคือความทรมาน กลัวว่าลูกสาวของตัวเองจะทำอะไรโง่ๆ อยู่ชั้นบน เธอยกนาฬิกาขึ้นมาดูแทบจะทุกวินาที สุดท้ายก็ขึ้นชั้นบนไปอย่างหมดความอดทน เคาะประตูแต่ไม่มีคนตอบ เธอก็เคาะประตูห้องน้ำอีกครั้งด้วยความร้อนรน

            “เป่ยซี เป่ยซี ลูกอยู่ข้างในหรือเปล่า?”

            อี้เป่ยซีเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองอาบน้ำนานเกินไปแล้ว ตอบคนที่อยู่หน้าประตู “อยู่ค่ะแม่ หนูจะออกไปแล้ว”

            “อ้อ โอเค งั้นลูก เร็วหน่อย ไม่สิ ช้าหน่อย เฮ้อ แล้วแต่ลูกจะเอายังไงเถอะ”

            อี้เป่ยซีคว้าเสื้อผ้าแล้วหัวเราะ แต่งตัวปล่อยผมแล้วเดินลงไปข้างล่าง เธอโอบเอวคุณแม่อี้ “แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หนูดีขึ้นเยอะแล้ว”

            “ใครจะรู้ว่าลูกแสดงออกแบบนี้ ในใจจะคิดยังไง เป่ยซี ถ้าลูกยังมีอะไรที่คิดไม่ตกจริงๆ จะต้องบอกแม่นะรู้ไหม แม้ว่าแม่จะช่วยอะไรลูกไม่ได้ ลูกพูดออกมาก็จะสบายใจขึ้นมาบ้าง รู้หรือเปล่า?”

            “ค่า โอเคๆๆหนูรู้แล้ว แม่วางใจเถอะ ถ้าหนูมีอะไรจะบอกคุณแม่คนแรกเลย แบบนี้โอเคไหมคะ”

            คุณแม่อี้จิ้มๆ หน้าผากของอี้เป่ยซี “ลูกน่ำ ทุกครั้งก็รับปากเร็วแบบนี้ ถึงจะไม่พูดกับแม่ พูดกับลั่วจื่อหานก็ได้นะ”

        “อืมๆๆ ต่อไปลั่วจื่อหานก็จะเป็นถังขยะทางอารมณ์ของหนู ทิ้งของที่แย่ๆ ให้เขา ของดีๆ ก็พูดกับแม่ แม่ว่าดีไหมคะ”

            “พอได้แล้ว ดื่มแกงเถอะ”

            “รับทราบ” อี้เป่ยซีดื่มน้ำขิงถ้วยใหญ่รวดเดียวหมด เพราะฝนตกไม่สะดวกที่จะออกไปข้างนอก อี้เป่ยซีจึงอยู่ดูซีรี่ย์โทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณแม่อี้ ทั้งสองคนพูดคุยเอะอะกันอยู่หน้าจอโทรทัศน์ สุดท้ายก็ไม่เข้าใจว่าซีรี่ย์เรื่องนี้พูดเกี่ยวกับอะไร

            “ฮูหยินอี้ได้เวลาทำกับข้าวแล้วหรือเปล่า”

            “คุณหนูอี้ ฉันปรนนิบัติเธอมานานขนาดนี้ วันนี้ไม่ใช่เวลาที่ลูกควรตอบแทนหรือ”

            “เอ๋ ฮูหยินอี้ไม่รังเกียจฝีมือทำกับข้าวแย่ๆ ของอีกาน้อยตัวนี้เหรอ?”

            คุณแม่อี้ดื่มน้ำ ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรที่ยิ่งใหญ่ “แม่จัดการเอง”

            “หนูจะเป็นผู้ช่วย”

            อี้เป่ยซีล้างผักอยู่ข้างๆ คุณแม่อี้มองผักบนเขียงที่ถูกหั่นแล้วอย่างครุ่นคิด “เรียกแม่บ้านก่อนหน้านี้กลับมาเถอะ พอแม่ไปแล้ว ก็ไม่สะดวกดูแลพวกลูกแล้ว ลูกก็ทำกับข้าวไม่เป็น เป่ยเฉินเด็กคนนั้นก็เอาแต่ทำโอที”

            “เมื่อก่อนมีแม่บ้านด้วยเหรอคะ? หนูนึกว่าพี่ชอบอยู่คนเดียวซะอีก ก็เลยไม่ได้จ้างใคร”

            มือของคุณแม่อี้หยุดอยู่บนผักสีเขียว จากนั้นก็หั่นต่อด้วยความชำนาญ ผักที่หั่นแล้วราวกับผ่านการวัดขนาดมาอย่างดี ทั้งแม่นยำและสม่ำเสมอ เธอเอาผักที่หั่นเสร็จแล้ววางไว้อีกทาง ตั้งไฟ เติมน้ำมัน ใส่วัตถุดิบ ทุกขั้นตอนนั้นเรียบง่ายและถูกจัดระเบียบอย่างดี

            “เป่ยซี บางทีแม่ก็คิดว่า ถ้าแม่ไม่ได้เอาลูกกลับมาที่บ้านอี้มันจะเป็นยังไง ลูกจะเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทำเรื่องธรรมดาเรียบง่ายที่ตัวเองชอบ หรือจะมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้วลงแรงไปกับมันอย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่เป็นแบบนี้ ที่มีหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนรับมือไม่ทัน”

            “แม่คะ หนูต้องขอบคุณที่แม่พาหนูกลับมาบ้าน ไม่อย่างนั้นหนูก็คงไม่สามารถจะมีความสุขไปกับความรักของทั้งสามบ้านได้หรอก หนูมีความสุขมากจริงๆ แม้จะมีสิ่งรบกวนเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ แต่ว่ารวมๆ แล้วก็เยี่ยมมากนะคะ หนูชอบชีวิตแบบนี้มาก แม่ก็อย่าไปคิดเรื่อง ‘ถ้าหาก’ นั่นอีกเลย”

        “ได้ แม่จะเชื่อเรา ไม่คิดๆ”

————