ตอนที่ 144 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 144 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (1)

             อี้เป่ยซีคิดไม่ถึงว่าร่างกายที่ต่อต้านความเย็นของตัวเอง จะป่วยอย่างลึกลับเพียงแค่จากการตากฝนในวันฤดูร้อน เมื่อวานก็ยังดีๆ อยู่เลย วันนี้ทันทีที่ลุกจากเตียงก็รู้สึกว่าตัวเองลอยได้ซะแล้ว

            “ฮัลโหล”

            “เป่ยซี?”

            อี้เป่ยซีนวดคลึงจมูกที่ติดขัด “อืม ฉันเอง มีอะไรเหรอ?”

            “ป่วยเหรอ?”

        “อืม ฉันกินยาแล้ว ตอนนี้อยากนอนสักหน่อย ไม่คุยกับนายแล้ว บาย” หลังจากวางสาย มือก็ร่วงลงบนผ้าห่มอย่างแรง เธอพ่นลมออกทางจมูกอย่างอึดอัด ห่อตัวตัวเองไว้ในผ้าห่ม ทั้งคอแห้งทั้งเจ็บคอ จมูกก็หายใจไม่โล่งเลย อีกทั้งยังรู้สึกหนาวเล็กน้อยด้วย

            ลั่วจื่อหาน คราวหน้าอย่าพาฉันตากฝนอีกนะ เป็นหวัดนี่มันทรมานเกินไปแล้ว

            เปลือกตาปิดลงด้วยความหนักอึ้ง แต่ว่านอนไม่หลับ ไม่รู้ว่านอนอยู่นานแค่ไหน ระหว่างที่กำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเข้าสู่อ้อมกอดที่แข็งแรงของใครบางคน เธอซุกตัวแล้วก็ผล็อยหลับไปด้วยความซึมกะทืออีกครั้ง

            ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม อี้เป่ยซีจึงลืมตาขึ้น รู้สึกว่าดวงตามีอาการระคายเคือง ตอนที่กำลังจะยื่นมือออกไปก็รู้สึกว่ามีเข็มที่หลังมือ

            “ตื่นแล้วเหรอ? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?” ลั่วจื่อหานช่วยเธอห่มผ้าห่ม ถามอย่างห่วงใย

            “ฉันไม่ชอบโรงพยาบาล” เธอพูดเสียงเบา จมูกก็ย่นตามไปด้วย

            ลั่วจื่อหานยื่นมือจิ้มแก้มของเธอเบาๆ “ได้ คราวหน้าไม่มาแล้ว”

            “ฉันต้องให้น้ำเกลืออีกนานแค่ไหน ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองหายแล้ว” เธอมองขวดที่ห้อยอยู่ที่มุมขวาบนของเธอ ของเหลวในขวดใบใหญ่นั้นลดลงไปมากแล้ว เธอจ้องเขม็งฟองน้ำขนาดใหญ่ที่ปุดออกมาก “ลั่วจื่อหาน เหลือแค่นิดหน่อยแล้ว พวกเราไม่เจาะเข็มแล้วได้ไหม”

            “เป่ยซี ไม่ดื้อนะ”

            “หึ” เธอเบะปาก ไม่ได้พูดอะไรกับลั่วจื่อหานอีก ลั่วจื่อหานหยิบเอกสารด้านข้างขึ้นมาอ่านต่อ

            ‘ใกล้จะจบแล้ว ใกล้จะจบแล้ว’…อี้เป่ยซีท่องอยู่ในใจตลอดเวลา เห็นพี่สาวพยาบาลที่เข้ามาในห้องผู้ป่วยของเธอ ดวงตาก็เป็นประกายทันที “พี่สาวคะ พี่สาว ฉันเอาเข็มออกได้แล้วยัง?”

            “ค่ะ ใกล้แล้วยังเหลือขวดเล็กอีกขวด”

            “……”

            ใครจะบอกเธอได้บ้าง ว่าอี้เป่ยซีอย่างเธอทำไมต้องโง่ถึงขนาดออกไปตากฝนกับลั่วจื่อหานด้วยนะ

            “รบกวนพี่พยาบาลแล้ว”

            สายตาของพยาบาลไม่ได้มองที่อี้เป่ยซี แต่เหมือนใจลอยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เปลี่ยนยาดวงตาทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่ามองไปที่ไหน การเคลื่อนไหวก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า อี้เป่ยซีมองไปตามสายตาของเธอ ก็พบว่าความห่วงใยที่ควรจะมีให้เธอนั้นตอนนี้มันไปอยู่ที่ไหน

            “คุณอาคะ อาคิดว่าถ้าพี่สาวคนนี้มาเป็นอาสะใภ้ฉันจะเป็นยังไง?” อี้เป่ยซีหันไปหาลั่วจื่อหาน ทำสีหน้าไร้เดียงสา เมื่อพยาบาลที่อยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็ตื่นเต้นจนมือสั่น บนใบหน้ามีรอยยิ้มดีใจที่ได้เป็นที่ยอมรับ

            เธอก็บอกแล้วว่าตัวเองหน้าตาสละสวยหุ่นก็ดี เป็นไปไม่ได้ที่คนจะไม่ชอบ ต่อให้พวกเขาบอกว่าเป็นท่านประธานที่ต้องละเว้นแล้วยังไงเหรอ ตอนนี้ก็มองเธออย่างไม่ละสายตาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

            ลั่วจื่อหานมองอี้เป่ยซี เห็นแววตาขี้เล่นของเธอ ถอนหายใจ “หลานสาวลืมไปแล้วเหรอ? อาอยากอยู่กับหลานแค่คนเดียวนะ หรืออยากให้คุณอาพิสูจน์ให้เธอเห็นต่อหน้าคนอื่นล่ะ?”

            “คุณอา พ่อหนูต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ!” เธอมองพยาบาลที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าน้อยๆ ที่ตึงเครียดเพื่อขอความช่วยเหลือ พยาบาลที่แสดงอาการยั่วยวนนั้น หลังจากเห็นสายตาเตือนของลั่วจื่อหานแล้ว ก็รีบเก็บของทันที ยิ้มแล้วจากไป

            “พี่สาว พี่ต้องช่วยฉันนะ” อี้เป่ยซียังคงตะโกนตามหลังเธอ ราวกับว่าอี้เป่ยซีในขณะนี้คือเด็กสาวผู้บริสุทธิ์ที่ถูกอาของตัวเองกักขังไว้จริงๆ เธอตัวสั่น ผลักรถไปข้างหน้าต่อ

            อี้เป่ยซีเห็นเธอปิดประตู ส่ายหน้า “ไม่สนุกเลย ทำไมไม่ยั่วต่อไปล่ะ ฉันจะได้เรียนรู้สักครึ่งนึงก็ยังดี”

            “หลานสาวนอนอยู่ตรงนี้ก็เป็นความยั่วยวนแล้ว ยังต้องเรียนอะไรอีก?” เขาเลิกคิ้ว เข้าใกล้อี้เป่ยซี

            “ฉันป่วยอยู่นะ” มือข้างหนึ่งของอี้เป่ยซีผลักอยู่บนหน้าอกของเขา เอ่ยปากอย่างเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ลั่วจื่อหานจูบปากของเธออย่างระมัดระวัง

            “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ป่วย”

            “แต่…อืม…”

            ลิ้นของลั่วจื่อหานกวาดอยู่บนเพดานปากของเธอเป็นครั้งคราว อี้เป่ยซีอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวอยู่ใต้ร่างของเขา อาจเป็นเพราะมีไข้ ลั่วจื่อหานรู้สึกว่าร่างที่อยู่ภายใต้เขานั้นร้อน ร้อนจนอุณหภูมิร่างกายของเขาเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกะทันหันขัดจังหวะทั้งสองคน อี้เป่ยซีผลักเขาออกด้วยความตกใจ ค้อนมองเขา ลั่วจื่อหานช่วยเธอจัดเสื้อผ้าอย่างไม่รีบเร่ง แล้วเดินไปเปิดประตู

            สายตาของเยี่ยฉินหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของอี้เป่ยซีครู่หนึ่ง วางผลไม้ในมือที่โต๊ะชาด้านข้าง “เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”

            “เปล่านี่ แค่เมื่อวานใครบางคนใจดีพาฉันไปตากฝน ก็เลยเป็นหวัดนิดหน่อย ไม่มีอะไรร้ายแรง”

            “อืม” เยี่ยฉินนั่งลงข้างเธอ ในขณะนั้นเองไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร ลั่วจื่อหานอ้างว่าตัวเองจะออกไปจัดการธุระ ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากห้องคนไข้แล้ว

            อี้เป่ยซีชื่นชมที่เขารู้จักกาลเทศะ ยิ้มมองเยี่ยฉิน “เยี่ยฉิน มีอะไรเหรอ?”

            เธอขยับปาก ราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรที่ยิ่งใหญ่ รวบรวมความกล้า เปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยความหดหู่เล็กน้อย “เธอคือหลิงซีเหรอ?”

            “เธอรู้ได้ยังไง?”

            “คือว่า เรื่องที่เล่าหลังจากนั้น มันเหมือนกับเรื่องของเธอมาก ฉันก็เลยคิดว่าจะเป็นเธอหรือเปล่า?”

            อี่เป่ยซีรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง พยักหน้า “อืม ฉันเอง”

            “ใช่เธอจริงๆ ด้วย” เธอตื่นเต้นเล็กน้อย “จู่ๆ ก็เหมือนกับได้เจอกับไอดอลของตัวเอง”

            “ก็ไม่หรอก ฉันรู้สึกว่างานของฉันไม่ได้ดึงดูดคนมากขนาดนั้นมั้ง ฝีมือก็ยังต้องปรับปรุง”

            “ก็เพราะว่ามันยังมีข้อบกพร่อง บางจุดถึงทำให้คนประทับใจได้ เป่ยซี เธอเก่งมากเลย”

        เธอยิ้มอย่างถ่อมตัว “เธอก็เลยมาหาฉันเพราะเรื่องนี้เหรอ?”

            เยี่ยฉินพยักหน้า แล้วก็ส่ายหัว “เป่ยซี เธอกับลั่วจื่อหานเป็นอะไรกัน?”

            “ก็เป็นอย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ”

            “แล้วมู่ลี่ไป๋ล่ะ เธอวางเขาไว้ที่ตรงไหน เป่ยซี เธอกับเขาก็เป็น…” เยี่ยฉินยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็ถูกผลักออก มู่ลี่ไป๋ในชุดขาวดูไร้ความอดทน เขาก้าวเท้ายาวๆ มาหาเยี่ยฉิน มองลงมา

            “เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหนูเยี่ยนะ”

            มือของเยี่ยฉินที่กำชายเสื้อนั้นซีดขาวเนื่องจากออกแรง อี้เป่ยซีเงียบ ดวงตาใหญ่โตมองไปมาระหว่างคนสองคน

            “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูเยี่ยจะสนใจเรื่องของคนอื่นขนาดนี้ ทำไมล่ะ รู้สึกว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากคนที่ต่ำต้อยกว่าได้ ก็เลยอยากกลับมางั้นเหรอ?”

            “คุณหนูเยี่ยไม่พูดก็แสดงว่ายอมรับใช่ไหม คุณหนูเยี่ยนี่มีความมั่นใจในตัวเองจังเลยนะ ทำไมคุณถึงคิดว่าผมจะหวั่นไหวกับผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลยได้อีกล่ะ ตอนนั้นก็แค่หน้ามืดตามัวเท่านั้น แยกไม่ออกว่าอะไรคือโคลนตมอะไรคือทองคำ ตอนนี้คุณหนูเยี่ยก็อย่ามาใส่ใจผมอีกเลย”

        “หรือว่า…” เขาเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว “คุณหนูเยี่ย ต้องการมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับผม ถ้าอย่างนั้นผมก็พอจะสนใจอยู่บ้าง” พูดจบก็ยิ้มเย้ยหยันเธอ

————