ต่อมา โม่เทียนเกอหยิบพืชวิญญาณจากคุนอู๋และแลกเปลี่ยนมันทีละชิ้นกับแกนปีศาจและวัตถุดิบบางอย่าง ซึ่งหลายอย่างนั้นมีคุณภาพที่ดี
ในที่สุดหญิงสาวที่ดื้อรั้นแซ่หวาก็หยุดรบกวนนาง นางเพียงแค่นั่งลงอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางที่ไม่พอใจบนใบหน้าและจ้องมองมาที่โม่เทียนเกอบ้างเป็นครั้งคราว
โม่เทียนเกอทำเป็นมองไม่เห็นนาง นางไม่เคยมีนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโตมาก่อน ดังนั้นนางจะทนอยู่กับการโต้เถียงกับหญิงที่ไม่เคยเห็นว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไรได้อย่างไรกัน
และเป็นที่แน่นอน “ศิษย์น้องถัง” นั้นถูกห้อมล้อมด้วยหญิงผู้ฝึกตนผู้ซึ่งยินดีที่จะแลกเปลี่ยนยาวิเศษของตัวเองกับเขา โม่เทียนเกอสังเกตว่ายาวิเศษที่เขาได้รับมานั้นเยอะมากกว่าคนอื่นเสียอีก และชายผู้ฝึกตนคนอื่นก็ดูไม่ยินดีนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้ที่โดนชื่นชอบอยู่ดี
ไม่นาน งานชุมนุมแลกเปลี่ยนก็จบลง โม่เทียนเกอกล่าวอำลาหญิงผู้ฝึกตนบางคนที่นางคุ้นหน้าคุ้นตาด้วยหลังจากนั้นจึงก้าวลงบันไดไป
อี้หลิ่วรอนางอยู่ที่ชั้นล่าง เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเดินลงมา นางเดินตรงมาหาพร้อมทักทาย “ศิษย์พี่เยี่ย”
โม่เทียนเกอพูด “กลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” อี้หลิ่วตอบหลังจากนั้นจึงนำทางนางไป
ขณะที่โม่เทียนเกอมองอี้หลิ่วที่อยู่ด้านหน้า นางถามในทันที “กลุ่มของเจ้ามีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานแซ่ถังด้วยหรือ”
อี้หลิ่วหันกลับมาพร้อมพูดตอบ “ศิษย์พี่เยี่ย ถังเป็นแซ่ของปรมาจารย์ชิงซีของพวกเรา จึงส่งผลให้มีผู้ฝึกตนแซ่ถังมากมายในกลุ่มของเราเจ้าค่ะ ผู้ใดคือคนที่ศิษย์พี่เยี่ยพูดถึงเจ้าคะ”
“โอ้” หรือศิษย์น้องถังนั้นจะเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสชิงซี “คนที่ข้าพูดถึงเป็นผู้ฝึกตนชาย ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในขั้นต้นของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เขาเป็นคนที่มางานชุมนุมช้าไปสองชั่วโมงเมื่อครู่นี้”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งอี้หลิ่วแอบเหลือบมองนาง หลังจากนั้นจึงพูดต่อด้วยความระมัดระวัง “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านกำลังพูดถึงท่านอาจารย์ลุงถังเซิ่นอย่างนั้นหรือ ท่านอาจารย์ลุงถังเซิ่นเป็นเหลนของเหลนท่านปรมาจารย์ชิงซีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเอง” ไม่น่าแปลกใจที่สถานะของเขาไม่ได้ดูต่ำต้อยในการเป็นผู้ฝึกตนชายแม้แต่น้อย เหล่าผู้ฝึกตนหญิงที่เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ถังน่าจะต้องมีครอบครัวคอยหนุนหลังเหมือนกันเป็นแน่ จริงไหม “เขาไม่มีผู้ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ด้วยอย่างนั้นหรือ”
อี้หลิ่วจ้องมองนางด้วยความระมัดระวังหลังจากนั้นจึงครุ่นคิดคำตอบของตัวเองชั่วครู่ “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านอาจารย์ลุงถังยังไม่มีคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ในตอนนี้ แต่งานแต่งงานของเขาได้ถูกพูดถึงบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ถูกจัดขึ้นเท่านั้น”
จากคำตอบของนาง โม่เทียนเกอรู้ทันทีว่าอี้หลิ่วจะต้องเข้าใจนางผิด อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้อธิบายอะไรและเพียงแค่พยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่านางเข้าใจเท่านั้น
อี้หลิ่วยังคงดูเหมือนมีปัญหาอยู่เล็กน้อยหลังจากนึกถึงเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงอธิบายเพิ่มเติม “ท่านปรมาจารย์ชิงซีของพวกเราเอ็นดูศิษย์พี่ถังอย่างมาก ท่านอาจารย์ลุงถังเติบโตมาภายใต้การดูแลของท่านปรมาจารย์ชิงซี ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนชาย แต่สถานะของเขานั้นนับได้ว่าสูงในกลุ่มของเรา”
ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะตาบอด นางก็ยังมองเห็นในสิ่งนี้ นางจึงถามกลับด้วยรอยยิ้ม “หลายคนชอบเขาสินะ”
อี้หลิ่วค่อนข้างตกใจกับคำถามที่ตรงไปตรงมา นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ท่านอาจารย์ลุงถัง… นั้นสง่างาม และเขาเป็นผู้สืบทอดที่เป็นที่รักของปรมาจารย์ชิงซี ดังนั้นทุกๆ คนถึงชอบเขาเป็นธรรมดา”
เหตุผลนี้… โม่เทียนเกอยังรับได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเหตุผลตื้นๆ แต่มันก็คือความเป็นจริง มีศิษย์ผู้หญิงของโรงเรียนเสวียนชิงหลายคนที่ชอบศิษย์พี่โส่วจิ้งของนาง และหลายคนก็ชอบเขาเพราะเหตุผลเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นใบหน้าของอี้หลิ่วแดง นางก็รู้สึกสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็ชอบเขาเช่นกันรึ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ อี้หลิ่วตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นนางก็มองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้นก่อนที่จะกระซิบกับนาง “ศิษย์พี่เยี่ย ท่านอย่าได้พูดเล่นไป เรื่องคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของอาจารย์ลุงถังนั้นก่อให้เกิดการต่อสู้ระหว่างอาจารย์ลุงหลายคนในกลุ่มทีเดียวเจ้าค่ะ ท่านจะฆ่าข้าทางอ้อมด้วยการพูดเช่นนั้น!”
“พวกเขาต่อสู้กันบ่อยอย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอประหลาดใจอย่างช่วยไม่ได้ จากการที่เห็นเหตุการณ์ที่งานชุมนุมแลกเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดังนั้นนางจึงไม่ประหลาดใจที่ผู้หญิงเหล่านั้นต่อสู้กัน แต่ความจริงที่ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง… แล้วผู้อาวุโสของพวกเขาไม่สนใจเลยหรือ
“ใช่เจ้าค่ะ” บางทีหัวข้อนี้อาจไปกระตุ้นความอยากนินทาของนาง แต่นางพิจารณารอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวังในขณะที่นางพูด “อาจารย์ลุงหลายคนที่อยู่ภายใต้การสั่งสอนของท่านปรมาจารย์สามคนต่างมีความรู้สึกให้ท่านอาจารย์ลุงถัง! ผู้ที่อยู่ภายใต้ปรมาจารย์ชิงซีคือ อาจารย์ลุงหยาง และอาจารย์ลุงเหวิน ผู้ที่อยู่ภายใต้ปรมาจารย์ชิงเมี่ยวคือ อาจารย์ลุงหวา อาจารย์ลุงหมิง และอาจารย์ลุงอวิ๋น และยังมีอาจารย์ลุงหลิวผู้ซึ่งอยู่ภายใต้ท่านปรมาจารย์ชิงอี้อีก คนเหล่านั้นคือคนหลักๆ ที่ล้วนต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ก็ยังคงมีผู้ที่ไม่ได้แข็งแกร่งในการแข่งขันนี้เช่นกัน… มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่ได้มีผู้ฝึกตนชายระดับสูงมากนักในหลินไห่และยิ่งคนที่หน้าตาดีนั้นยิ่งมีน้อยเจ้าค่ะ”
โม่เทียนเกอเหลือบมองอย่างระส่ำระสายเมื่อนางได้ยินแซ่อวิ๋นและหลิว นั่นหมายความว่าสองคนนั้นเป็นศิษย์ของชิงเมี่ยวและชิงอี้งั้นหรือ แต่นี่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง นางตัดสินใจที่จะฝังเรื่องนี้ไว้ภายใน ดังนั้นนางจึงต้องเพียงแค่แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้รู้เกี่ยวกับพวกเขามาก่อน
สายตาระส่ำระสายของโม่เทียนเกอทำให้ดูเหมือนกับว่านางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ดังนั้นอี้หลิ่วจึงเรียกนางด้วยความลังเล “ศิษย์พี่เยี่ย…”
“อือ” โม่เทียนเกอตอบอย่างเลื่อนลอย
อี้หลิ่วยังคงนิ่งเงียบในขณะที่เม้มริมฝีปาก แต่สุดท้ายแล้วนางก็ตัดสินใจที่จะพูดออกมา “เกี่ยวกับอาจารย์ลุงถัง ท่านไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องจะดีกว่า… ท่านเป็นผู้ฝึกตนจากคุนอู๋และท่านปรมาจารย์คงไม่มีทางที่จะให้ท่านอาจารย์ลุงถังออกไปกับคนจากภายนอก…”
โม่เทียนเกอตะลึงงันแต่ไม่นานก็ระเบิดหัวเราะออกมา นี่อี้หลิ่วคิดว่านางชอบถังเซิ่นอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่านางจะยอมรับว่ารูปลักษณ์ของถังเซิ่นนั้นไม่ได้แพ้ฉินซี แต่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นก็ไม่ใช่ทุกอย่าง
“วางใจเถิด ข้าไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ชอบพออะไร” หลังจากที่นางพูดเช่นนั้น พวกนางก็เดินมาถึงที่พักแขก ดังนั้นนางจึงหยุดพูดและกลับเข้าไปในบ้านแค่นั้น
อี้หลิ่วมองไปรอบๆ ศิษย์นอกเวลาบางคนยังคงทำงานอยู่ในบริเวณบ้านพักแขก ดังนั้นนางจึงเลิกพูดถึงหัวข้อนั้นไป และตามโม่เทียนเกอเข้าไปในบ้าน “ศิษย์พี่เยี่ย”
“มีอะไรอย่างอื่นอีกหรือ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อี้หลิ่วจึงถาม “ศิษย์พี่เยี่ย ข้าได้ยินมาว่าท่านเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการปรุงยา ข้า… ข้าอยากถามท่านว่า พวกข้าจะสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของกับยาวิเศษของศิษย์พี่ได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
โม่เทียนเกอพูด “ข้าไม่มียาวิเศษของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานเหลือแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการยาวิเศษของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณข้ายังพอมีเหลืออยู่บ้าง”
“จริงหรือเจ้าคะ” อี้หลิ่วตื่นเต้น “ศิษย์พี่เยี่ย พวกข้าเพียงแค่ต้องการยาวิเศษของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณเท่านั้น ข้ามีแกนปีศาจและศิลาวิญญาณ และ… นี่”
เมื่อนางพบว่ายังคงมียาวิเศษหลงเหลือสำหรับการแลกเปลี่ยนอยู่บ้าง อี้หลิ่วรีบดึงกระเป๋าเอกภพที่สะพายไว้ที่เอวออกมา นางเทบางอย่างออกมาหลังจากนั้นจึงพูด “โอ้! ศิษย์พี่โปรดรอก่อน มีบางอย่างอยู่ในมือของอี้ชิว “โดยที่ไม่รอคำตอบของโม่เทียนเกอ นางวิ่งออกไปจากห้องอย่างลิงโลด
โม่เทียนเกอส่ายหัวและหัวเราะ หลังจากนั้นไม่นาน นางจึงวางม่านพลังป้องกันอีกครั้ง
คนเราควรที่จะต้องระมัดระวังทุกอย่างถ้าพวกเขาเดินทางออกมาภายนอก โดยเฉพาะเมื่อผู้คนรอบด้านสามารถวางแผนต่อต้านพวกเขาได้ โม่เทียนเกอคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา นางอนุญาตให้ผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียนเข้าใจว่านางมีประโยชน์แต่ไม่ได้มีประโยชน์มากพอที่จะคิดว่ากักขังนางไว้ที่นั่นได้ อย่างไรก็ตาม การตื่นตัวอยู่ตลอดนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นม่านพลังป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ไม่นาน อี้หลิ่วก็กลับมา วิ่งอย่างรีบร้อนขณะที่ดึงอี้ชิวมากับนางด้วย ทั้งสองคนดูมีความสุขมาก เมื่ออี้ชิวมาถึง นางรีบหยิบกระเป๋าเอกภพและเทของทุกอย่างที่อยู่ภายในทั้งหมดออกมา “ศิษย์พี่เยี่ย โปรดลองดูก่อน พวกข้าสามารถแลกของเหล่านี้กับยาวิเศษของท่านได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอกวาดตามองสิ่งของเหล่านั้นคร่าวๆ ทั้งสองคนต่างมีศิลาวิญญาณประมาณหนึ่งถึงสองร้อยอัน แกนปีศาจระดับแรก และชิ้นส่วนวัตถุดิบบางอย่าง
สุดท้ายแล้ว พวกนางก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ทรัพย์สินของพวกนางย่อมด้อยกว่าผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเป็นธรรมดา
เมื่อคิดว่าโม่เทียนเกอไม่พอใจกับสิ่งที่พวกนางเสนอมา อี้หลิ่วพูดอย่างเขินอาย “ศิษย์พี่เยี่ย ระดับการฝึกตนของพวกข้ายังต่ำ ดังนั้นพวกข้าจึงไม่ได้มีของที่ดีนัก พวกข้าใช้เวลาอยู่นานในการเก็บสะสมศิลาวิญญาณเหล่านี้”
โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มเพื่อตัดบทอี้หลิ่ว “ตกลง ข้าจะแลกยาวิเศษของข้ากับเจ้า” หลังจากนั้นนางจึงหยิบขวดหยกสี่ขวดออกมาจากกระเป๋าเอกภพของนาง “สองขวดนี้เป็นยาวิเศษที่ใช้กันทั่วไปสำหรับผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณซึ่งคือยาบำรุงพลังจิตวิญญาณ มีทั้งหมดสามสิบเม็ดในแต่ละขวด ส่วนสองขวดนี้เป็นยาผสานพลังวิญญาณ ประสิทธิภาพของมันดีกว่ายาบำรุงพลังจิตวิญญาณสิบเท่า แต่ละขวดมีอยู่สิบเม็ด”
ขณะที่โม่เทียนเกอวางขวดยาสี่ขวดลงบนโต๊ะ ทั้งอี้หลิ่วและอี้ชิวตื่นเต้นไปด้วยความยินดี เทียบตามราคามาตรฐานในคุนอู๋ ของเหล่านี้สนนราคาอยู่ที่ประมาณห้าถึงหกร้อยศิลาวิญญาณ ในหลินไห่ ที่ซึ่งยาวิเศษนั้นยากที่จะหามาครอบครอง ราคาของพวกมันนั้นสูงกว่ามากมายนัก
ขณะที่ได้รับยาวิเศษ ทั้งสองคนรีบเปิดขวดออกดูและขอบคุณโม่เทียนเกอซ้ำไปมา “ขอบคุณท่านมากสำหรับรางวัลนี้ศิษย์พี่เยี่ย” พวกนางรู้ว่าค่าของยาวิเศษเหล่านี้นั้นมากกว่าศิลาวิญญาณและแกนปีศาจที่พวกนางแลกไปเสียอีก
“ไม่จำเป็นที่จะต้องขอบใจข้า คิดเสียว่าเป็นรางวัลที่คอยดูแลข้าในทุกๆ วันแล้วกัน” โม่เทียนเกอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับของที่มีค่าอะไรในการแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ไม่ว่าอย่างไร ยาวิเศษเหล่านี้ก็เป็นเพียงของที่หลงเหลือจากตอนที่นางปรุงยาวิเศษให้เจินจีอยู่แล้ว
นึกถึงเจินจีทำให้นางนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ตอนนี้เจินจีน่าจะเดินทางกลับไปที่ภูเขาไท่คังและเข้าร่วมในการทดสอบสำหรับยาสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว ใช่ไหม นางสงสัยว่าเขาจะผ่านการทดสอบหรือไม่ ถ้าเขาผ่าน เขาก็น่าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาแล้ว
ความจริงแล้ว นางไม่ได้กังวลว่าเจินจีจะทำพลาดในการสร้างฐานแห่งพลังงาน ผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จในการพยายามสร้างฐานแห่งพลังงานในครั้งแรก และอาจารย์ของนางผู้นั้นก็จะเป็นคนที่คอยดูแลเขา ถึงแม้ว่าเขาจะล้มเหลว เขาก็จะไม่เผชิญเข้ากับอันตรายใดใด อีกอย่าง ตอนที่นางจากมา นางได้แอบมอบยาสร้างฐานแห่งพลังงานและยาเพิ่มพลังการก่อเกิดไว้กับเจินจีจำนวนหนึ่ง นางใส่มันไว้ในกระเป๋าแยกกันและบอกเขาให้หยิบออกมาได้เมื่อเขาสร้างฐานแห่งพลังงาน ด้วยยาการสร้างฐานแห่งพลังงานเพิ่มเติมที่นางให้ไว้กับเขา เจินจีนั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังงานของเขามากขึ้น เพียงแค่นางไม่รู้ว่าเขาทำตามที่นางสั่งไว้หรือไม่เท่านั้น…
ขณะที่นางนึกถึงเรื่องทั้งหมดนี้ โม่เทียนเกออยากจะกลับไปในทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่หนึ่งปีที่นางจากมา นางก็รู้สึกว่ามันช่างนานเสียเหลือเกิน ส่วนเล็กๆ ของนางก็คิดถึงเจินจี ท่านอาจารย์ และถ้ำเซียนเล็กๆ ถ้ำนั้น… อีกไม่นานก็จะครบยี่สิบปีแล้วที่นางเข้าร่วมโรงเรียนเสวียนชิง และในตอนนี้นางก็มีครอบครัว ท่านอาจารย์ และสหาย นางคิดว่าโรงเรียนเสวียนชิงนั้นคือบ้านของนางในตอนนี้ไปแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้… เป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยตอนที่นางบาดเจ็บหรือเมื่อนางเหนื่อย นางก็ยังมีที่ให้กลับไป
อี้หลิ่วและอี้ชิวออกจากบ้านไปในขณะที่ขอบคุณโม่เทียนเกอเรื่อยๆ หลังจากนั้นโม่เทียนเกอชี้ไปที่หว่างคิ้วของนางและเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เมื่อนางเข้าไปด้านใน โม่เทียนเกอก็จมเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดว่าควรจะทำอะไรต่อ
มันรู้สึกเหมือนว่านางจากมาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้นนางควรกลับไปที่โรงเรียนเสวียนชิง
พูดง่ายๆ แม้กระทั่งคนที่มีการฝึกตนที่ราบรื่นยังใช้เวลาสามสิบถึงห้าสิบปีในการก้าวจากขั้นสุดท้ายไปสู่ขั้นสูงสุดของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนของโม่เทียนเกอในตอนนี้นั้นยอดเยี่ยม บวกกับความจริงที่ว่ายาวิเศษของนางนั้นดีกว่าของคนทั่วไป นางคาดการณ์ว่าจะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้นได้ไม่มากก็น้อยกว่ายี่สิบปี สำหรับการก่อแก่นขุมพลังของนาง นางน่าจะใช้เวลาอีกหลายสิบปี ตราบใดที่โชคของนางไม่ได้แย่นัก โอกาสที่นางจะประสบความสำเร็จในการก่อแก่นขุมพลังไม่น่าต่ำเกินไป นางอายุเพียงแค่สามสิบแปดปีในตอนนี้ ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี นางก็จะสามารถลองก่อแก่นขุมพลังของนางได้ตอนที่นางอายุประมาณเจ็ดสิบปี
อย่างไรก็ตาม นางยังคงลังเลเล็กน้อยกับแผนการนี้ ถ้านางกลับไปและเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ความตั้งใจที่จะระงับกระบวนการฝึกตนของนางจะไร้ซึ่งจุดหมายอย่างนั้นหรือ
สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป ยิ่งพวกเขาสามารถก่อแก่นขุมพลังได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ในสภาวะการฝึกตนในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกตนที่จะก้าวสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่อายุร้อยปี ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามฝึกตนอย่างหนักแค่ไหนก็ตาม นั่นคือเหตุผลว่าทำไมขั้วแห่งท้องฟ้าจึงมีคำพูดที่ว่า “ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอายุร้อยปีนั้นแทบจะไม่มีให้เห็นในสหัสวรรษ” สำหรับคนที่สามารถทำได้นั้นได้ถูกตีตราว่าเป็นอัจฉริยะ มันเป็นเพราะเหตุนั้นเช่นกันที่ศิษย์พี่โส่วจิ้งกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ต้นทุนของเขาไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร แต่เขาสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ก่อนที่เขาจะอายุร้อยปี
ในทางกลับกัน สิ่งต่างๆ ไม่ได้ง่ายเช่นนั้นสำหรับโม่เทียนเกอ นางฝึกตนในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับยุคสมัยอดีตอันไกลโพ้น นางมีทรัพยากรจากยุคอดีตอันไกลโพ้นซึ่งทำให้นางกลายเป็นอัจฉริยะได้ และนางมียาวิเศษนับไม่ถ้วน พลังวิญญาณของนางสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และมันยากสำหรับนางที่จะติดอยู่ในคอขวดระหว่างการข้ามผ่านดินแดน ดังนั้นการก้าวสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังก่อนที่นางจะอายุหนึ่งร้อยปีจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วนี่ก็ไม่ใช่ยุคอดีตอันไกลโพ้น ดังนั้นนางจึงจะต้องเผชิญกับปัญหาที่คนทั่วๆ ไปไม่เจอ
อาจารย์ขี้เหนียวของนางเคยคร่ำครวญเป็นการส่วนตัว เขาพูดว่าศิษย์พี่โส่วจิ้งก่อแก่นขุมพลังของตัวเองเร็วเกินไป เขายังเด็กนักและฐานแห่งพลังของเขายังไม่คงที่ โชคดีที่เขาชอบเดินทางท่องโลกไปทั่วคนเดียว ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์ที่เข้มข้น ทำให้เขาสามารถผ่านมันมาได้โดยที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ของนางพร่ำบอกนางมาตลอดว่าจิตใจของนางจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับระดับการฝึกตนก่อนที่นางจะก่อแก่นขุมพลังของตัวเอง เพราะการเพิ่มระดับการฝึกตนของนางเร็วเกินไปนั้นไม่ดี
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้โม่เทียนเกอลังเลอีกครั้ง หนึ่งปี… เวลาที่นางใช้ในการท่องไปทั่วนั้นยังไม่มากพอ…