บทเสริม 2 ประสูติกาล

บัลลังก์พญาหงส์

อาจเป็นเพราะความเสียใจเรื่องลูกสองคนแรก หลี่เย่จึงคาดหวังกับลูกคนที่สามของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ลูกคนนี้จนกระทั่งท้องโต เขาก็คอยมาดูลูกทุกวัน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเขาดูตื่นเต้นกว่าปกติ 

 

 

ในช่วงเวลาใกล้คลอด ถาวจวินหลันรู้สึกเฉยๆ แต่หลี่เย่กลับตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับ 

 

 

ถาวจวินหลันก็ท้องใหญ่เกินไปจนนอนไม่ค่อยสบาย นอนหงายก็ปวดหลัง นอนตะแคงก็ปวดไหล่ปวดขา พลิกไปพลิกมาอย่างไรก็ไม่สบายตัวสักที 

 

 

มีอีกคนหนึ่งที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ซวนเอ๋อร์ตื่นเต้นกับ ‘น้องชาย’ คนใหม่มาก หมิงจูและเซิ่นเอ๋อร์ดูแปลกใจและตื่นเต้นว่าเด็กจะออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะเวลาที่เห็นท้องขยับ 

 

 

จากที่อยู่ด้วยกันมาช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เซิ่นเอ๋อร์ดูคุ้นชินมากขึ้น และร่าเริงกว่าเดิมไม่น้อย แม้ว่ายังสู้หมิงจูกับซวนเอ๋อร์ไม่ได้ แต่ก็นับว่าดีแล้ว อีกทั้ง เซิ่นเอ๋อร์กับถาวจวินหลันไม่ได้ผูกพันกันแต่แรก แต่ถาวจวินหลันก็ใจดีและอบอุ่นกับเขาตลอด 

 

 

ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลี่เย่ก็ลุกขึ้นกำลังจะไปว่าราชการตอนเช้า ถาวจวินหลันตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ แล้วถามเขา “จะไปว่าราชการแล้วหรือ?” 

 

 

หลี่เย่ตอบรับ ก่อนกระชับผ้าห่มให้ถาวจวินหลัน “ว่าราชการเสร็จข้าจะกลับมากินอาหารเช้ากับเจ้า เจ้านอนต่อเถิด” 

 

 

เป็นเพราะกลางคืนหลับไม่สบาย ถาวจวินหลันจึงตื่นสายกว่าปกติมาก แต่ก็ถึงเวลาที่หลี่เย่ว่าราชการเสร็จพอดี 

 

 

ถาวจวินหลันรับคำ “ช่วยหม่อมฉันพลิกตัวหน่อยเพคะ” 

 

 

หลี่เย่รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วประคองถาวจวินหลันพลิกตัว ท้องของนางใหญ่มาก หากจะพลิกตัวก็ยังลำบาก ดังนั้นจึงต้องให้คนช่วยประคอง 

 

 

หลังจากเปลี่ยนท่านอนแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย บวกกับตัวเองยังง่วงมาก ดังนั้นนางจึงหลับต่ออย่างรวดเร็ว 

 

 

หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันหลับแล้ว ก็รีบออกไปว่าราชการตอนเช้า 

 

 

หลี่เย่คิดว่าในวันนี้ก็เหมือนทุกวัน แต่พอว่าราชการเสร็จ โจวอี้กลับรีบวิ่งมาหา “ทูลฮ่องเต้ ฮองเฮาจะมีประสูติกาลแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

หลี่เย่ตกใจจ้องเขม็ง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” 

 

 

โจวอี้ตอบ “เมื่อสิบห้านาทีที่แล้วมีคนมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หลี่เย่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “ทำไมไม่บอกตั้งแต่เมื่อครู่?” แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก รีบมุ่งหน้าไปหาถาวจวินหลัน ครั้งนี้นางคลอดลูกเป็นครั้งที่สามแล้ว น่าจะคลอดได้รวดเร็ว หากเขายังไม่รีบไป เกรงว่าจะไปไม่ทันเวลาคลอดแล้ว 

 

 

แต่ถึงหลี่เย่จะรีบเดินไปอย่างเร็ว แต่ก็ยังไปไม่ทัน พอถึงหน้าตำหนักกานลู่ ยังไม่ทันได้ถามอะไร ก็ได้ยินว่าข้างในมีเสียงร้องไห้เสียงใส จากนั้นก็ได้ยินเสียงของหมอตำแยประกาศ “ฮองเฮาประสูติองค์ชายน้อยเพคะ!” 

 

 

เสียงของหมอตำแยใสกังวาน น้ำเสียงแสดงถึงความยินดี ทุกคนต่างก็ดีใจไปด้วย 

 

 

แน่นอนว่าดีใจจนกระโดดโลดเต้น 

 

 

ตอนนี้วังหลังนอกจากจิ้งกุ้ยเฟยแล้ว ก็ไม่มีพระชายาหรือพระสนมคนอื่นอีก แม้แต่จิ้งกุ้ยเฟย ก็ได้รับการแต่งตั้งเพราะเคยรับใช้ฮ่องเต้มานาน ทั้งยังสนิทสนมกับฮองเฮา ถึงได้พระราชทานตำแหน่งให้ เนื่องด้วยมีพระสนมน้อย บรรดาองค์หญิงองค์ชายก็น้อยไปด้วย ดังนั้นการประสูติองค์ชายในครั้งนี้ ก็ยิ่งสร้าความมั่นคงขึ้น 

 

 

คนในวังหลวงดีใจ โดยเฉพาะหลี่เย่ เขาพยายามควบคุมแล้ว ก็ยังอดแย้มยิ้มไม่ได้ เขาเป็นฮ่องเต้ ไม่ว่าดีใจหรือเสียใจก็ห้ามแสดงอาการใดๆ ออกมา แต่เรื่องน่ายินดีขนาดนี้ เขาจะอดใจไหวได้อย่างไร? 

 

 

เรื่องลูกคนนี้เขาคิดไว้นานแล้ว หากเกิดมาเป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าพวกเขาต้องพยายามต่อไป แต่จะให้ดีก็ต้องเป็นผู้ชาย ในตอนนี้ลูกชายก็มีเพียงซวนเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น ดูแล้วไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร แบบนี้ต่อไปซวนเอ๋อร์จะได้มีน้องชายคอยช่วยเหลือ 

 

 

สมตามที่เขาหวังไว้ จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร? 

 

 

ไม่เพียงแค่เขา ซวนเอ๋อร์ก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ ซวนเอ๋อร์โตขนาดนี้แล้ว เขารู้ดีว่าถาวจวินหลันคลอดน้องชายแท้ๆ ให้เขา ส่วนหมิงจูกับเซิ่นเอ๋อร์ยังมีสีหน้างุนงง แต่ว่าเห็นทุกคนต่างดีอกดีใจ พวกเขาจึงพากันยิ้มตามไปด้วย 

 

 

หลี่เย่รับพระโอรสมาจากมือของหมอตำแย แล้วถามว่า “ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 

 

หงหลัวเดินออกมาด้วยท่าทางดีอกดีใจ แล้วก็ถวายความยินดีกับหลี่เย่ “ยินดีกับพระองค์ด้วยเพคะ วางใจเถิด ฮองเฮาทรงไม่เป็นอะไร เพียงแต่เหนื่อยและหิวเท่านั้น บ่าวจะไปยกอาหารจากห้องเครื่องมาให้ฮองเฮาเพคะ” 

 

 

ได้ยินว่าถาวจวินหลันหิวแล้ว หลี่เย่ก็รีบให้หงหลัวไป แต่ว่าเขาก็อารมณ์ดียิ่งขึ้น “คนของตำหนักกานลู่ ให้รางวัลเป็นเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน ส่วนคนที่ไม่ใช่คนของตำหนักกานลู่ ให้รางวัลเป็นเบี้ยหวัดครึ่งเดือน!” 

 

 

หากลูกคนนี้ไม่ใช่ลูกชายคนรอง หลี่เย่อยากจะประกาศอภัยโทษด้วย แต่ยังดีที่เขาคิดแล้วควบคุมตัวเองไว้ได้ 

 

 

หลี่เย่อุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน พูดจริงๆ แล้วเด็กเล็กขนาดนี้ดูอย่างไรก็ดูไม่ออก แต่เขากลับรู้สึกว่าลูกคนนี้น่ารักน่าชัง ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ ซวนเอ๋อร์รีบยื่นคอมาดูเด็กในอ้อมกอดของหลี่เย่ ปากก็พูดอย่างใจร้อนว่า “ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดูหน่อย” 

 

 

หลี่เย่ย่อตัวให้เขาดูอย่างระมัดระวัง 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นแล้ว ก็พูดอย่างผิดหวัง “น่าเกลียดจัง” ก่อนขมวดคิ้วทำหน้าบิดเบี้ยว 

 

 

หลี่เย่เพียงพูดว่า “ตอนเด็กๆ พวกเจ้าก็เป็นแบบนี้แหละ โตมาแล้วก็จะน่ารักเอง” 

 

 

ซวนเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ คล้ายไม่เชื่อ แต่ว่าเรื่องนี้เขาไม่เชื่อก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็ได้แต่พูดออกมาว่า “ช่างเถิด อย่างไรก็เป็นน้องของข้า” น่าเกลียดก็ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็รักน้องชายคนนี้  

 

 

พอเก็บกวาดห้องคลอดเสร็จหมดแล้ว หลี่เย่ก็อุ้มลูกเข้าไปหาถาวจวินหลัน หมิงจูกับเซิ่นเอ๋อร์ยังเด็กจึงถูกกันออกไปก่อนแล้ว 

 

 

ส่วนซวนเอ๋อร์ยังเดินตามมาด้วย 

 

 

ถาวจวินหลันเหนื่อยจนไม่มีแรงพูด แต่พอเห็นลูกก็อยากลุกขึ้นมาดู หลี่เย่รีบพูดห้าม “เจ้าอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวข้าอุ้มเอาไปให้เจ้าดูเอง” 

 

 

ซวนเอ๋อร์เห็นแม่ก็รีบวิ่งเข้าไปข้างเตียง แล้วรีบฟ้องว่า “น้องน่าเกลียดมาก ไม่เหมือนข้าเลยสักนิดเดียว” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ บีบแก้มของซวนเอ๋อร์ “ตอนเจ้าเพิ่งเกิดน่าเกลียดกว่าน้องอีก” 

 

 

ซวนเอ๋อร์มีสีหน้าไม่เชื่อ คิดว่าแม่ต้องหลอกเขาแน่ๆ 

 

 

หลังจากคุยเล่นกับซวนเอ๋อร์แล้ว ถาวจวินหลันจึงหันไปมองลูกชายคนเล็ก มองแล้วก็พูดอย่างมั่นใจ “เหมือนซวนเอ๋อร์ตอนเด็กๆ เลย” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ได้ยินแบบนั้นยิ่งยกมุมปากขึ้นสูง 

 

 

หลี่เย่ยิ้มก่อนพยักหน้า “เหมือนกันมาก อย่างไรก็เป็นพี่น้องแท้ๆ” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ไปมองดูน้องชายอีกรอบ พอเห็นหน้าแดงๆ ย่นๆ นั้น ก็รู้สึกลังเล ถึงจะรังเกียจ นั่นก็น้องชายของตัวเองนะ แต่จะไม่รังเกียจ ก็รู้สึกว่าหน้าตาน่าเกลียดจริงๆ 

 

 

หลี่เย่กับถาวจวินหลันเห็นซวนเอ๋อร์มีท่าทางแบบนี้ก็หัวเราะยกใหญ่ 

 

 

หลังจากดูลูกอยู่สักพัก ถาวจวินหลันก็ให้แม่นมอุ้มลูกไปป้อนนม ซวนเอ๋อร์ตามแม่นมไปด้วยความสงสัย อยากเห็นว่าปากเล็กๆ ของน้องชายจะกินนมอย่างไร 

 

 

หงหลัวยกน้ำแกงไก่เข้ามา หลี่เย่หยิบมาป้อนถาวจวินหลันด้วยตัวเอง 

 

 

ถาวจวินหลันผลักเขาอย่างเขินอาย “มีคนอยู่ตั้งหลายคน” พูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นหงหลัวพาคนที่เหลือออกไปจนหมด นางจึงยิ่งรู้สึกเขิน 

 

 

หลี่เย่ไม่สนใจ “อยู่กันมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?” 

 

 

แต่ถาวจวินหลันรู้สึกไม่สบายใจ สุดท้ายก็แย่งชามมากินด้วยตัวเอง 

 

 

หลี่เย่มองถาวจวินหลันอยู่สักพัก แล้วพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบใจเจ้ามาก” 

 

 

ถาวจวินหลันชะงัก เงยหน้าขึ้นมองหลี่เย่ แล้วยิ้ม “มีอะไรน่าขอบคุณกัน? ท่านพูดเองว่า เราเป็นสามีภรรยากัน ข้ามีลูกให้ท่านก็เป็นเรื่องปกติ” 

 

 

“ไม่เพียงเท่านี้ ข้าอยากขอบคุณเจ้าที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมากับข้า” หลี่เย่พูดอย่างไม่สบายใจนัก จากนั้นก็กระแอมแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ทานเสร็จหรือยัง? เจ้าเหนื่อยมากใช่หรือไม่? รีบพักสักหน่อยเถิด ข้ายังมีงานราชการต้องทำ เดี๋ยวเจ้าหลับแล้ว ข้าก็จะรีบไป” 

 

 

ถาวจวินหลันทานน้ำแกงเสร็จก็รีบส่งชามคืนให้หลี่เย่ เช็ดปากตัวเองแล้วนอนลงไป นางรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ พอหลับตาลงครู่เดียวก็ผล็อยหลับไป 

 

 

หลี่เย่นั่งดูอยู่ข้างๆ สุดท้ายแล้วก็ลุกขึ้น โน้มตัวลงไปจูบถาวจวินหลัน พร้อมกับกระซิบว่า “พักผ่อนเถิด”