บทที่ 184 ราชาผู้บ้าคลั่ง
ปราการกู่หลาน
สองหมื่นปีที่แล้ว มันเป็นเพียงที่ว่างบนที่รกร้างเยือกแข็ง ไร้สิ่งใดตั้งอยู่
ในปี 4189 ของยุคดาราใหม่ สัมพันธมิตรเสรีภาพของเผ่ามนุษย์ถูกกวาดล้าง ราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ขึ้นเรืองอำนาจ
ราชาเหล็กฮั่นต้วน ทรราชกระหายเลือดฉวยโอกาสนำทัพคนเถื่อนเข้าปะทะราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ที่เพิ่งตั้งหมายชิงเครื่องมือสกัดสายเลือด ก่อนได้พบกับกู่โยวหวงที่ลอบโจมตีจนสูญเสียใหญ่หลวง จึงได้แต่ถอยไปทุ่งหญ้าฮาเหวยหลังเสียทหารไปกว่า 8 ใน 10 ส่วน กู่โยวหวงนำทัพไล่ตามไป ตีป้อมพายุไว้ได้ คนเถื่อนถูกบีบให้ต้องยอมทิ้งทุ่งหญ้าฮาเหวยและถอยไปจนสุดทางเหนือ
คนเถื่อนตอนนั้นหลังชนฝา อยู่ในแดนย่ำแย่ที่สุด กระทั่งคนเถื่อนเองยังหมดหวังในการรอดชีวิต
ในช่วงเวลาวิกฤตินั้น ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
ทหารคนเถื่อนคนหนึ่งบังเอิญไปเจอห้องใต้ดิน หลังเดินผ่านถ้ำยาวที่ถูกซ่อนเร้น ก็พบดินแดนที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต
ท้องฟ้าสีน้ำเงิน ธารน้ำใส ผืนดินเต็มไปด้วยพืชพันธุ์และสิ่งมีชีวิตประหลาด ราวกับสวรรค์บนดิน
จากนั้นมา ชะตาของคนเถื่อนก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
พวกเขาตั้งชื่อให้ที่นั่นว่ากู่หลาน ในสำเนียงโบราณของคนเถื่อน มีความหมายเหมือนกับ ‘บริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์’
จากนั้นมา ปราการกู่หลานจึงกลายเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของคนเถื่อน สถานที่แห่งความสุขนิรันดร์ เมื่อมาถึงกู่หลาน คนเถื่อนจึงเริ่มกระบวนการอันยาวนานในการสร้างเมืองหลวงของอาณาจักร
ระยะเวลาการก่อสร้างกินเวลาประมาณ 1800 ปี การรัฐประหาร การแย่งชิง และการนองเลือดต่าง ๆ สุดท้ายได้ทำให้เมืองหลวงสงบลง ในที่สุดก็ได้เมืองอันรุ่งโรจน์ที่ถูกขนานนามว่าปราการกู่หลาน
ในปี 4212 ของยุคดาราใหม่ แม่ทัพคนเถื่อนนามถาหลี่เค่อแห่งขวานสังหารได้สังหารราชาเหล็กแห่งปราการกู่หลาน ก่อนขึ้นครองบัลลังก์ ภายหลังนักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘เหตุการณ์กู่หลาน’
ในปี 7900 ของยุคดาราใหม่ ซาเอ่อน่าแห่งอินทรีแดงสังหารอูเท่อเหลยเต๋อแห่งขวานสังหาร ประกาศตนขึ้นเป็นราชาหญิงคนเถื่อน ตระกูลกระดูกเหล็กเป็นตระกูลแรกที่ก่อกบฏ และปาน่าเต๋อแห่งกระดูกเหล็กนำทัพออกจากปราการกู่หลาน เข้าที่รกร้างโลหิต กวาดล้างชนพื้นเมืองที่นั่นแล้วตั้งเผ่ากระดูกเหล็กขึ้น
ภายหลังชนพื้นเมืองรู้จักกันในชื่อเผ่าชาวป่า
ไม่นาน แม่ทัพคนเถื่อนอื่น ๆ ก็เริ่มแยกตัวมาตั้งเผ่าเอง
เผ่าหัตถ์เลือด เผ่าดาบสายฟ้า เผ่าค้อนแห้ง เผ่าตะวันทมิฬ เผ่าขวานสังหาร เผ่าราชาเหล็ก และอื่น ๆ ต่างถูกตั้งขึ้นในช่วงนี้
ในปี 8400 ของยุคดาราใหม่ ซาเอ่อน่าแห่งอินทรีแดงได้พบกับราชาเม่ยจู๋
ในปี 8500 ของยุคดาราใหม่ ซาเอ่อน่าแห่งอินทรีแดง เริ่มต้นสงครามเชื้อชาติครั้งที่สองเพื่อรวมคนเถื่อนเป็นหนึ่ง รวมกำลังกับพวกเม่ยจู๋
ในปี 8800 ของยุคดาราใหม่ ซาเอ่อน่าแห่งอินทรีแดงเอาชนะเผ่าค้อนแห้ง เผ่าตะวันทมิฬ เผ่าขวานสังหาร เผ่าใหญ่ต่าง ๆ เริ่มร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่าอินทรีแดง
ในปี 8900 ของยุคดาราใหม่ เผ่าอินทรีแดงปะทะกับเผ่าที่รวมตัวกันหลายเผ่า เผ่าอินทรีแดงชนะ แต่เสียหายหนัก ซาเอ่อน่าบาดเจ็บสาหัส กองกำลังหลายเผ่าถอยไปยังที่รกร้างโลหิต
ในปี 9400 ของยุคดาราใหม่ ป๋อเป้ยเท่อแห่งเผ่าอินทรีแดงนำกองกำลังไปที่รกร้างโลหิต และถูกลอบโจมตี ก่อนถูกบีบให้ล่าถอย
ในปี 10000 ของยุคดาราใหม่ ถ่าจี๋เท่อแห่งเกราะเหล็กก่อตั้งเผ่าเกราะเหล็กขึ้น แยกตนเองออกจากเผ่าอินทรีแดง
ในปี 11000 ของยุคดาราใหม่ เผ่าที่รวมตัวกันบุกตีเมืองหลวงครั้งที่สอง เผ่าอินทรีแดงพ่ายแพ้ ป๋อเป้ยเท่อแห่งเผ่าอินทรีแดงตายในปราการกู่หลาน ราชวงศ์อินทรีแดงจึงจบลง เผ่าตะวันทมิฬ เผ่าขวานสังหาร เผ่าเกราะเหล็ก และเผ่าที่รวมตัวกันที่เหลือเริ่มสู้กันเองเพื่อครองปราการกู่หลาน เค่อหลี่ฉีนู่เหยียนเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด เริ่มต้นราชวงศ์นู่เหยียน
ในปี 11200 ของยุคดาราใหม่ คนเถื่อนหลุดจากความขัดแย้งภายใน ถูกรุกรานโดยเผ่าปักษาและพ่ายแพ้ ยังผลให้เกิดการร่วมมือกันของเผ่าใหญ่ทั้งหลายขึ้น
ในปี 12000 ของยุคดาราใหม่ เค่อหลี่ฉีนู่เหยียนนำเผ่าที่รวมตัวกันไปป่าฮัลมา สังหารนักล่าและหลายเผ่าที่นั่น ครองแดนเป็นของตนเอง
ในปี 17400 ของยุคดาราใหม่ แม่ทัพคนเถื่อน ปาเล่อมู่ค้อนคลั่งพยายามลอบสังหารอีตี๋เท่อนู่เหยียนแต่ไม่สำเร็จ
ในปี 19000 ของยุคดาราใหม่ มนุษย์ทำการรุกราน
เปิ่นเอินนู่เหยียนเสียชีวิตในการรบ
เค่อลีหลี่อ้าวโต้กลับจากทุ่งหญ้าอาบเลือด ร่วมมือกับเผ่าปักษา เพื่อโค่นมนุษย์
ในปี 19200 ของยุคดาราใหม่ เค่อลีหลี่อ้าวสังหารซาลี่เท่อนู่เหยียน ราชวงศ์นู่เหยียนสิ้นสุดลง
ในปี 20000 ของยุคดาราใหม่ เผ่าลาวาเหล็กและเผ่าจี่มู่พยายามก่อกบฏกับราชวงศ์จิ้งจอกดำ
ในปี 20800 ของยุคดาราใหม่ เผ่าหมาป่าแดงก่อกบฏ ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดเองก็เช่นกัน
ในปี 20900 ของยุคดาราใหม่ หม่าเค่อจิ้งจอกดำถูกวางยา เฟ้ยเท่อเผ่าเนตรน้ำเงินขึ้นเป็นราชาใหม่ จากนั้นไม่นาน ผ้าเท่อหลี่เค่อแห่งเผ่าเพลิงก็ก่อกบฏยกทัพต่อต้านเผ่ามนุษย์ ชิงแดนได้เป็นจำนวนมาก
ในปี 23900 ของยุคดาราใหม่ ย่าลี่ซานต้าเผ่าเพลิงนำทัพจากตะวันออกไปยังภาคเหนือ ท้าทายราชาคนเถื่อนในตอนนั้น เขาเอาชนะเผ่าเนตรน้ำเงินได้แล้วขึ้นเป็นราชาคนใหม่
ประวัติศาสตร์คนเถื่อนเต็มไปด้วยความเบาะแว้งภายใน การถูกรุกราน การก่อกบฏ และการปราบปราม
ไม่ว่าจะมีเผ่าคอยขึ้นปกครองคนเถื่อนแค่ไหน ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนเพียงไร แต่เมืองหลวงก็ยังคงเป็นที่ปราการกู่หลาน
มันเป็นตัวแทนประวัติศาสตร์และความหวังของคนเถื่อน เป็นสัญลักษณ์แห่งความงามที่ซ่อนเร้นลึก อันถูกครอบครองโดยเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อน
ที่ใจกลางของความเฟื่องฟูของปราการกู่หลาน ยังมีอาคารทรงกลมสีขาวอยู่ นั่นคือพระราชวังหลวงของคนเถื่อน วังเค่อเท่อหลู่
วังเค่อเท่อหลู่ยังรักษาอิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมขอคนเถื่อนไว้ ความสวยงามโดยรวมนั้นเรียบง่ายและสง่างาม แต่ก็มีส่วนเน้นและได้รับการตกแต่งมาจากเผ่าปักษาเป็นอย่างมาก รายละเอียดปลีกย่อยได้รับการปรับปรุงอย่างมาก เผยให้เห็นการออกแบบที่ซับซ้อนซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนเถื่อนจะสร้างขึ้นอีก ดังนั้นคนเถื่อนทั้งหลายจึงเห็นแล้วได้แต่มุ่นคิ้ว
อานู๋ปี่เผ่าเพลิงไม่ชอบวังเค่อเท่อหลู่เท่าไหร่ เป็นไปได้ก็อยากอยู่ในวังฟ่านเท่อมากกว่า
มันเป็นสถานที่เหมาะกับให้คนเถื่อนอาศัยกว่า
แต่ก็เหมือนกับที่เขาไม่อาจเลือกเมืองหลวงเองได้ เขาก็ไม่สามารถเลือกวังที่จะอยู่ได้เช่นกัน
“ข้าควรจะขยะเผาที่นี่ให้วอด จะได้ไปหาที่อยู่ใหม่เสีย” อานู๋ปี่บ่นพลางเคาะนิ้วบนศีรษะตน เขาเอนร่างอยู่บนเตียงแคบที่ทำขึ้นจากขนของราชันพยัคฆ์หัวขาว
“ฝ่าบาทย่อมสามารถทำได้ ก็ท่านเป็นราชาที่ไม่อาจหาใครเทียบนี่นา……” หญิงงามชาวคนเถื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้างอานู๋ปี่เอ่ยขึ้น มองดูแล้วร่างนางเปลือยเปล่า สวมเพียงผ้าแถบหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้กำลังใช้นิ้ววาดรูปวงกลมบนอกอานู๋ปี่
นางมีคอยาวบางและนิ้วที่เพรียวบาง ดวงตาเอียงเล็กน้อย ทำให้ดูมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้ มีจุดสีแดงระหว่างคิ้ว การเคลื่อนไหวทั้งหมดมีเสน่ห์อย่างง่ายดาย
มีหญิงสาวอีกเจ็ดหรือแปดคนซึ่งแทบไม่ได้นุ่งห่มผ้าอยู่ข้างหลังหรือนอนอยู่ข้างๆ อานู๋ปี่ บางครั้งพวกนางก็จะครางเสียงเย้ายวนออกมา ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูลามกนัก
อานู๋ปี่กินองุ่นที่นางป้อนให้แล้วถอนใจ “ถ้าทำอย่างนั้น ข้าคงเป็นผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถสิ”
“แล้วไง ? ท่านจะเป็นอะไรก็ได้ที่ชอบ ตราบใดที่มีความสุขก็พอแล้ว” หญิงเจ้าเสน่ห์พูดอย่างเย้ายวน
อานู๋ปี่หัวเราะ “อาเลี่ยวซาของข้า ถ้าพวกทาสที่ภักดีของข้าได้ยินคำพูดของเจ้า คงได้บอกว่าเจ้าเป็นนางมารล่อลวงราชา ทำชีวิตประชาชนตกอยู่ในอันตราย ให้ข้าแขวนคอเจ้าแน่ ได้ยินว่าพวกมนุษย์ชอบทำกันเช่นนั้น”
“อย่างแรก ข้าต้องเป็นชายาหรือนางสนมที่ท่านโปรดปรานที่สุดก่อน แต่ข้ายังไม่ได้เป็นสักอย่าง ข้าเป็นแค่ภรรยาแม่ทัพ ไม่มีสิทธิ์ล่อลวงราชาไร้ความสามารถหรอก” อาเลี่ยวซายกมือปิดปากหัวเราะ
“แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในอ้อมแขนข้า” อานู๋ปี่ลูบไล้ร่างกายส่วนล่างของหญิงสาวอย่างซุกซน
อาเลี่ยวซา ส่ายหน้า “นั่นก็หมายความว่าข้าเป็นแค่สตรีไร้เดียงสาน่าสงสารที่ถูกบีบบังคับ”
นางเผยสีหน้าน่ารักน่าสงสาร
อานู๋ปี่หัวเราะลั่น “ข้าชอบเวลาเจ้าเป็นเช่นนี้ ! งดงามและยั่วยวน แต่ยังเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและเสน่ห์ ช่วงล่างเจ้าแผ่เสน่ห์เย้ายวนชั่วร้ายออกมาจริง ๆ!”
“ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอไร้ทางสู้……” อาเลี่ยวซา ‘บ่น’ ออกมาแล้วซุกตัวลงบนอกอานู๋ปี่
อานู๋ปี่รู้สึกถึงกำหนัดที่ไม่อาจหักห้าม ยกร่างอาเลี่ยวซาขึ้นแล้วโยนนางลงบนเตียง ก่อนจะรุกรานเรือนร่างนางอย่างรุนแรง
อาเลี่ยวซาตอบกลับด้วยความตื่นเต้นพอกัน นางกัดไหล่อานู๋ปี่อย่างแรงไม่ระงับใจ เขี้ยวแหลมที่กัดทะลุเหล็กจมลงในเนื้ออานู๋ปี่ได้อย่างง่ายดาย แต่มันกลับยิ่งทำให้อานู๋ปี่ส่งเสียงครางด้วยความสำราญใจ
เขากระแทกร่างใส่นางอย่างดุดัน พลังต้นกำเนิดในร่างพลุ่งพล่านจนโอบล้อมคนทั้งคู่ไว้ ทั้งห้องสว่างจ้า ค่ายกลทั้งหลายเริ่มทำงาน ค่ายกลเหล่านี้จะตั้งได้ใช้ทรัพยากรมากมาย มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลมากมายถูกบังคับให้มาตั้งค่ายกลที่นี่ จุดมุ่งหมายใช้เพียงเพื่อเพิ่มความสำราญใจให้ราชา และช่วยป้องกันไม่ให้พลังระเบิดออกจนทำลายทั้งปราสาท
แต่เมื่ออานู๋ปี่กำลังจะถึงจุดสุดยอด ข้ารับใช้คนเถื่อนก็รุดเข้ามา
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ไม่สนใจภาพเบื้องหน้า “รายงานด่วนจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ !”
“ว่ามา !” อานู๋ปี่แผดเสียงเหมือนขาดอากาศหายใจ
“ป้อมสุดทิศทักษิณแตกแล้ว ฝ่าบาทซ่าเค่อเอ่อร์…… ตายในสนามรบขอรับ !” ข้ารับใช้กล่าวร่างสั่นน้อย ๆ
อานู๋ปี่หยุดการเคลื่อนไหว
เขาตัวแข็งเหมือนรูปปั้นหิน
ผ่านไปนานจึงถอนร่างออกจากอาเลี่ยวซาอย่างไม่เต็มใจ
จากนั้นลุกขึ้นนั่ง
เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้”
คนรับใช้จากไป ยังดูมึนงงนัก
อานู๋ปี่วางข้อศอกไว้บนเข่า ก้มลงและจ้องมองไปไกลแสนไกล
จากนั้นเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ไป๋เยี่ย เจ้าว่าอย่างไร ?”
น้ำเสียงเอ่ยขึ้นจากเงามืด “แม้ขบวนอสูรจะดุดัน แต่ก็ไม่ได้นำโดยจักรพรรดิอสูรกายหลายตัว มีเพียงใจสีเลือดที่บ้าคลั่งเท่านั้น และแม้จะโจมตีรุนแรง แต่ก็รั้งอยู่ได้ไม่นาน ป้อมสุดทิศทักษิณจะกลับมาอยู่ในมือเราในอีกไม่นาน”
“ถูก ป้อมสุดทิศทักษิณแตกเพราะการโจมตีขบวนอสูร ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ส่วนข้ากลับใช้ชีวิตอย่างหรูหรา คงมีอะไรผิดปกติกระมัง ? ข้าควรจะทำอย่างอื่นอยู่ไม่ใช่หรือ ?”
น้ำเสียงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ท่านสังหารลูกน้องสักหลายคนเพื่อปลดปล่อยก็ได้”
“อ้อ เป็นความคิดที่ดี อาเลี่ยวซา เจ้าเลือกให้ข้าคนหนึ่ง” อานู๋ปี่กล่าว
หญิงงามบนเตียงชี้นิ้วไปยังข้ารับใช้สตรีที่หน้าตางดงามเป็นพิเศษ “นางเป็นอย่างไร ?”
“ไม่นะเจ้าคะ ! ฝ่าบาท !”
ปึง !
อานู๋ปี่กระแทกฝามือปะทะนาง สังหารในทันที
จากนั้นเก็บฝ่ามือกลับมาแล้วถอนใจ “รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”
อาเลี่ยวซากอดคออานู๋ปี่ไว้ “เช่นนั้นฝ่าบาทอยากต่อหรือไม่ ?”
“ไม่แล้ว” อานู๋ปี่ส่ายหน้า “มันแก้ได้แค่เรื่องป้อมสุดทิศทักษิณแตกเท่านั้น แต่เรื่องการตายของท่านลุงข้ายังไม่ได้จัดการ”
“เช่นนั้นฝ่าบาทก็สังหารอีกสักหน่อย ?” อาเลี่ยวซาพูดพลางมุ่ยปากสีแดง
“สังหารอีกสักหน่อย ? เท่านั้นจะพอได้หรือ ?” อานู๋ปี่ตอบเสียงเรียบ
เขาไม่สนพวกข้ารับใช้ที่กำลังตัวสั่นอยู่เบื้องล่าง “นั่นเป็นลุงสายเลือดเดียวกับข้า เทพสงครามของชนเผ่าเพลิง เขาดูแลข้ามาตั้งแต่เด็ก สั่งสอนข้ามาโดยตลอด เป็นคนที่ใช้เวลาบ่มเพาะข้าให้กลายเป็นนักรบผู้กล้าหาญในวันนี้ เป็นคนที่ดูแลเรื่องการเรียนของข้า บังคับให้เรียนไม่ใช่แค่วิชาต่อสู้ แต่รวมถึงวัฒนธรรมและภาษาด้วย เป็นผู้ยืนหยัดต่อต้านความเห็นของมหาชน เปลี่ยนข้าให้กลายเป็นผู้ครองอาณาจักร เป็นเขาที่คอยดูแล ให้ข้าไม่ได้กลายเป็นทรราช ทุกวันข้าต้องคอยดูแลเรื่องในอาณาจักรอยู่ตลอด……”
อานู๋ปี่ยืนขึ้นแล้วเอ่ยเสียงดัง ยกมือขึ้นสูง “เขาเป็นคนที่มอบทุกอย่างที่ข้ามีในตอนนี้ให้ ! ตอนนี้เขาตายเสียแล้ว ! จะหวังให้ข้า……”
อานู๋ปี่หยุดคำ
ก่อนจะแหงนหน้า จองท้องฟ้าผ่านเพดานผลึกแก้ว แล้วตะโกนดังสุดเสียง “จะหวังให้ข้าไม่ดีใจได้อย่างไร !”
“……จะหวังให้ข้าไม่ดีใจได้อย่างไร !!!”
“……จะหวังให้ข้าไม่ดีใจได้อย่างไร !!!”
“……จะหวังให้ข้าไม่ดีใจได้อย่างไร !!!”
เสียงก้องดังสะท้อนลั่นราวกับฟ้าผ่า
จากนั้นอานู๋ปี่ก็เริ่มหัวเราะ “ในที่สุดตาแก่นั่นก็ตายสักที ! เขาเป็นคนที่ทำให้ข้าทุกข์มามาก ! แม้ได้ขึ้นครองอาณาจักรแล้ว แต่ก็ยังต้องทำตามความคาดหวังของตาแก่นั่น จะเป็นทรราชก็ไม่ได้ ! ตอนนี้เขาตายแล้ว จะมีใครคอยควบคุมข้าได้อีก ?”
อาเลี่ยวซาค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง “ยินดีด้วยฝ่าบาท !”
“เฮ้อ !” อานู๋ปี่ถอนหายใจยาวแล้วคว้าคางนางไว้ “เพราะฉะนั้นจะฆ่าคนเดียวแล้วพอหรือ ? ต้องให้มากกว่านั้นสิ ! ทั้งยังต้องสังหารคนที่ปกติสังหารไม่ได้ด้วย !”
สีหน้าอาเลี่ยวซาเปลี่ยนไปทันที “ไม่นะ ฝ่าบาท !”
กร๊อบ ! อานู๋ปี่หักคออาเลี่ยวซาทันที
ต่อมาฝามือทรงพลังก็พุ่งออกไป สังหารข้ารับใช้เบื้องล่างทั้งหมด
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
อานู๋ปี่สูดลมหายใจเข้าลึก “ดีเหลือเกิน !”
จากนั้นเขาก็ชูมือขึ้นแล้วร้องลั่น “ให้พายุคลั่งโหมกระหน่ำมากกว่านี้ !”