บทที่ 185 เพิ่มมา
เมืองทองทมิฬ
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางเขตแดนคนเถื่อน ถูกตั้งชื่อตามเหมืองใกล้เคียงกับที่ผลิต ‘ทองทมิฬ’ ออกมาเป็นส่วนใหญ่
ผู้พิทักษ์ของเมืองคือเผ่าค้อนแห้ง อาจไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับบรรพบุรุษแต่กาลก่อน แต่เมื่อพึ่งพาเหมืองทองทมิฬ อย่างน้อยก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เป็นส่วนใหญ่
หากแต่วันเวลาที่ดีก็กำลังจะถึงจุดจบ
นอกเมืองทองทมิฬ ปาหมี่ทัวจ้องหน้าจาเค่อพี่กำลังนั่งอยู่บนหลังแรดประหวั่นด้วยความโกรธ
“ท่านจาเค่อ มันหมายความว่าอย่างไร ?”
“ก็ชัดเจนดีอยู่แล้ว” จาเค่อตอบ “ขบวนอสูรมุ่งหน้าไปปราการกู่หลาน อาณาจักรกำลังตกอยู่ในอันตราย ตามฎีกาหลวงแล้ว เผ่าทั้งหมดต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือและปกป้องปราการกู่หลาน ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดก็ทำเช่นนั้น …เผ่าค้อนแห้งเอ็งก็ไม่ได้รับการยกเว้น”
“เรื่องของเผ่าค้อนแห้งไม่ใช่เรื่องของชนเผ่ากิ้งก่ากรวด !” ปาหมี่ทัวเอ่ยเสียงโกรธ
จาเค่อส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น”
เขาโบกมือ กลายเป็นแสงเส้นหนึ่ง เรืองอักขระคนเถื่อนที่เต็มไปด้วยเจตจำนงอันแรงกล้า
“อักขระเพรียกหาจักรวรรดิเพลิง ?” ปาหมี่ทัวอึ้งไป “มีเจ้านั่นได้อย่างไร ?”
“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ? หัวหน้าเผ่าของเราขอมันมาจากฝ่าบาท มีคำสั่งของฝ่าบาทแล้ว เราก็มีสิทธิ์เกณฑ์คนทุกเผ่าไปร่วมต้านสัตว์อสูร เผ่าค้อนแห้งยังคิดจะต่อต้านอีกหรือไร ?”
หลังจากหัวหน้าเผ่าตาย ตานปาก็ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ดังนั้นจึงไม่ถูกเรียกว่าประมุขน้อยอีก
ปาหมี่ทัวมองตาจาเค่อหาคำตอบ “เป็นเช่นนี้นี่เอง ท่านคิดจะยืมมือคนข้างอย่างอานู๋ปี่มากลืนเผ่าอื่นงั้นสินะ ?”
จาเค่อหน้าคว่ำ “กล้าเสียมารยาทกับฝ่าบาทหรือ !”
“แล้วท่านเล่า ? จาเค่อ ระหว่างท่านกับหัวหน้าเผ่าตานปาของท่าน มีใครคิดว่าราชาคลังนั่นจริงจังบ้าง ? พวกเราเป็นคนเถื่อน ไม่กลัวใครและบ้าบิ่น ชนเผ่าเพลิงไม่ได้มีอำนาจเหนือพวกเรา มีแต่ต้องเชื้อเชิญไปอย่างมีมารยาทเท่านั้น หากอานู๋ปี่ไม่ยอมให้ความเคารพที่เราควรได้รับ เราก็ไม่ยอมไปเป็นสุนัขรับใช้เขาหรอก ! หมายความว่าไม่ยอมเป็นสุนัขรับใช้พวกท่านด้วย” ปาหมี่ทัวตอบ
“น่าเสียดาย หัวหน้าเผ่าตานปาครั้งหนึ่งเคยพูดไว้ว่า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะแกร่งที่สุดในใต้หล้า อย่างไรก็กลายเป็นสุนัขของใครคนหนึ่งอยู่ดี ข้าก็เช่นกัน เจ้า และเขาด้วย กระทั่งอานู๋ปี่ ถึงข้าจะไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ข้าก็เชื่อว่ามันมีเหตุผล…… เขาเป็นคนที่ฉลาดล้ำเลิศอยู่เสมอมา” จาเค่อตอบยิ้ม ๆ
เขาจ้องปาหมี่ทัวแล้วพูดต่อ “หัวหน้าเผ่ายังบอกอีกว่าปาหมี่ทัวเป็นไอ้บัดซบหัวรั้น ใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมยากลำบาก เขาจึงไม่ได้มาด้วยตนเอง หากเขารู้สึกว่ากล่อมผ่านคำพูดได้แม้สักนิด เขาก็คงมาเองแล้ว แต่ในเมื่อไม่ใช่เช่นนั้น จึงส่งข้ามาแทน…… พร้อมกับทหารกลุ่มใหญ่”
ปาหมี่ทัวหน้าเข้มขึ้นทันที ไอสังหารเริ่มม้วนตัวออกจากร่าง “คิดจะปะทะกับพวกเรางั้นหรือ ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ? ถ้ามาพร้อมกับกองทัพและฎีกาหลวง มีทั้งกำลังและเหตุอันสมควร อย่างไรเราก็ไม่ได้มาเพื่อต่อรองอยู่แล้ว” จาเค่อตอบเสียงเบา “เพียงมาบอกว่าหากเจ้าไม่ยอมจำนน เจ้าก็จะตาย ฉะนั้นตอนนี้ตายเสียเถอะ”
จากนั้นเขาก็ยกแขน
ศรสัญญาณถูกยิงขึ้นฟ้า
“กรรร !”
เสียงคำรามเป็นระลอกดังก้องขึ้นจากทั่วทุกทิศ ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดเริ่มลงมือทันที
ทั้งหมดกระโจนเข้าสู่สนามรบโดยไร้ความลังเล
ปาหมี่ทัวคิดว่าเขาจะสามารถทำให้ตานปาลังเลได้ แต่เขาคิดผิดมหันต์
อย่างที่จาเค่อว่า พวกเขามาพร้อมเหตุผลที่ชอบที่ควรและกองกำลัง ไม่มีเหตุผลที่ตานปาต้องเสียเวลา…… เขาต้องรีบจัดการชนเผ่านี้เพื่อไปยังสนามรบอื่นต่อ
เวลาก็เหมือนกับเงิน ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับชีวิต ความเร็วจึงหมายถึงความสำเร็จ !
ครึ่งชั่วยามต่อมา การต่อสู้ก็จบลง
เผ่าค้อนแห้งถูกการรบครั้งเดียวกำจัดคราบคาบ ปาหมี่ทัวตายในสนามรบ พร้อมกับชนเผ่าอีกนับพัน จากนั้นคนที่เหลือจึงยอมแพ้
ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่านั้นเป็นเรื่องธรรมดาของคนเถื่อน ในเมื่อทุกคนต่างเป็นคนเถื่อน เปลี่ยนเผ่าก็เหมือนกับเปลี่ยนบ้าน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
คนเถื่อนส่วนมากเป็นพวกเร่ร่อน คอยปล้นชิงของจากคนอื่นเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์ที่มีการทำการเกษตรเป็นวัฒนธรรม แต่ละเผ่าไม่ได้ถูกจัดแบ่งอาณาเขตในหมู่คนเถื่อน แต่สร้างขึ้นจากคนที่มีพลังอำนาจคนหนึ่งต่างหาก
อาทิเช่น เผ่าดาบสายฟ้าตั้งขึ้นหลังถาหลี่เค่อเผ่าขวานสังหารครองหุบเขาฟ้าคะนอง และมอบชื่อดาบสายฟ้าแก่ปู้หลานฮั่ว ซึ่งเป็นคนนำเข้าหุบเขาไปเป็นคนแรก กลายเป็นเผ่าใหม่ขึ้น
เผ่าขวานสังหาร เผ่าอินทรีแดง เผ่ากระดูกเหล็ก เผ่าหัตถ์เลือด เผ่าค้อนแห้ง เผ่าพายุ เผ่าราชาเหล็กและเผ่านู่เหยียนก็เกิดขึ้นในทางเดียวกัน
เผ่าทั้งหลายเกิดขึ้นได้จากคนมีพลังอำนาจ เมื่อสิ้นคนคนนั้นแล้วก็สิ้นสุดเผ่า
ดังนั้นการที่เผามีการปรับโครงสร้างใหม่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในหมู่ชนเผ่าของคนเถื่อน
เผ่าค้อนแห้งล่มสลาย ดังนั้นจึงหายไป แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ชนเผ่าค้อนแห้งทุกคนจะยอมถูกกลืนหายไปเช่นนั้น มีหลายคนที่พยายามหลบหนี ต่อต้าน หรือใช้ชีวิตหลบซ่อน และหากวันหนึ่งแข็งแกร่งมากพอ ก็จะพยายามหาโอกาสตั้งเผ่าให้เรืองอำนาจขึ้นมาใหม่
เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์คนเถื่อน
ตานปาไม่รู้ว่าจะมีคนในเผ่าค้อนแห้งที่หลบหนีไปทำเช่นนั้นหรือไม่ แต่เขาเองก็ไม่สนใจ
สิ่งที่ต้องให้ความสนใจคือปัจจุบันมากกว่า
ภายในกระโจมหลักของกองทัพ ตานปากำลังอ่านรายงานการรบอย่างละเอียด พลันได้ยินทหารคนหนึ่งเข้ามารายงานผลจากสงคราม
“ศัตรู 1,024 ถูกสังหาร 8,432 ยอมจำนน เสียทหารไป 106 คน ประมาณ 300 ได้รับบาดเจ็บ ของที่ชิงมาได้คือขนสัตว์ 60 ลัง แร่ 3,600 ก้อน……”
“ได้ทรัพยากรจากที่อาศัยของปาหมี่ทัวมาเท่าไหร่ ?” ตานปาถามขึ้น
ทหารคนเถื่อนที่มารายงานชะงัก “อะไรนะขอรับ ?”
ซาหลัวที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงเอ่ย “เราตรวจสถานที่ดูแล้ว แต่ปาหมี่ทัวยากจนมาก หาของอะไรไม่ได้มากเลย”
“เช่นนั้นเอาของบางอย่างใส่หีบเขาไปด้วย ข้าอยากให้หัวหน้าเผ่าที่เราต้องสังหารเป็นพวกชั่วช้าไม่ซื่อสัตย์มากกว่า”
ซาหลัวพยักหน้า “ขอรับ !”
“แล้วก็ให้พวกทหารพักสักวัน จากนั้นเราจะเดินทางไปยังลุ่มแม่น้ำดำ”
“ท่านคิดจะตีเผ่าแม่น้ำดำด้วยงั้นหรือ ?” ซาหลัวตกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าพวกนั้นรับมือไม่ง่าย !”
“ไม่ต้องห่วง ข้ากล่อมฮาชื่อเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้จะไปสู้กับเขา แต่จะไปทำพันธมิตรกันต่างหาก”
“น่ายินดีนัก !” ซาหลัวเอ่ยเสียงตื่นเต้น
หากแต่สีหน้าของตานปาไม่ได้ยินดีนัก ด้วยกว่าจะได้แรงสนับสนุนจากเผ่าแม่น้ำดำมา เขาต้องเสียอะไรไปมาก
เป็นตอนนั้นเองที่ทหารอีกนายเข้ามาแล้วทำความเคารพ “รายงานหัวหน้าเผ่า ปู้เล่อกลับมาแล้วขอรับ”
“ปู้เล่อ !?” ตานปาผุดลุกขึ้นยืน
ซาหลัวเองก็ชะงักไป “ปู้เล่อ ? เขาออกไปกลับซูเฉินไม่ใช่หรือ ? หรือว่า……”
“ซูเฉินคงจะทำได้แล้ว” ตานปากล่าวคำ
“หัวหน้าเผ่ามั่นใจงั้นหรือ ?” ซาหลัวเองก็ตื่นเต้น “ไม่ใช่ว่าซูเฉินทำไม่สำเร็จหรอกหรือ ?”
ตานปาตอบ “หากทำไม่สำเร็จ ปู้เล่อคงไม่กลับมารวดเร็วเช่นนี้ แท้จริงแล้วอาจไม่ได้กลับมาเลยก็เป็นได้”