บทที่ 186 ทำเรื่องให้ยาก
ซูเฉินกำลังนั่งใกล้ลำห้วยเล็ก ๆ นอกเมืองทองทมิฬ มือถือเบ็ดตกปลาสบาย ๆ
ที่ปลายเบ็ดนั้นไม่มีเหยื่อ แค่ลอยไปบนน้ำอย่างนั้น
แต่ไม่นานปลาก็เพิ่งขึ้นมาติดเบ็ดไม่ยอมปล่อย ,
แม้ปลาจะกินเบ็ดแล้ว ซูเฉินก็ไม่ได้ตกมันขึ้นมา มองดูมันดิ้นไปอย่างนั้น
“หากไม่จับขึ้นมาตอนนี้ มันจะหนีเอานะ” ตานปาพูดพลางเดินออกมาจากป่าด้านหลัง
ซูเฉินตอบ “ก็ช่างมันปะไร ไม่ได้อยากจะกินปลาอยู่แล้ว เพียงแต่อยากเห็นมันตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดก็เท่านั้น”
พูดจบก็โบกมือ เจ้าปลาจึงหลุดออกจากเบ็ด
แต่มันไม่ได้พยายามจะหนี กลับยังว่ายวนรอบเบ็ด ราวกับมีเหยื่อแสนโอชะติดอยู่ที่เบ็ดก็มีปาน
ตานปามองปลาแหวกว่ายนี่เงียบ
ผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้น “ในสายตาเจ้า ข้าก็เป็นปลาอีกตัวสินะ ? แค่เหยื่อมายาก็มากพอจะหลอกให้ข้าวิ่งไปมาตามเบ็ดเพื่อความสนุกสนานของเจ้าแล้วงั้นหรือ ?”
“ไม่หรอก เจ้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าปลาบื้อนี่มาก ส่วนเหยื่อที่ให้ไปก็เป็นของจริง” ซูเฉินตอบแล้วก็เก็บเบ็ดตกปลากลับไป
เมื่อเจ้าปลาไม่เห็นเหยื่อแล้ว มันจึงสะบัดครีบหางหลายครั้ง ก่อนว่ายน้ำจากไปด้วยความผิดหวัง
“แต่มันก็ยังไม่มากพอ ข้าตรวจสอบเขาแล้ว วิชาที่เจ้าสอนเขาทำให้คนเถื่อนสามารถคุมพลังต้นกำเนิดได้ก็จริง แต่ก็ยังมีข้อเสียใหญ่อยู่ 2 ข้อ หนึ่งคือต้องใช้ยาเสริม สองคือไม่อาจใช้กับนักรบอารามได้ เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ?”
ซูเฉินตอบ“เรื่องแรกไม่คิดว่าเจ้าจะสนใจ การที่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีมานับหมื่นปีของคนเถื่อนได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงข้าจะมีคำตอบให้ แต่จะไม่ให้มีตัวช่วยอย่างอื่นเลยก็เป็นไปไม่ได้ การใช้ยาเป็นตัวเลือกที่ง่ายที่สุด วิชาใช้ได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ? อีกทั้งก็เหมือนเป็นการประกันตนไว้ เจ้าหาของที่ข้าต้องการได้เมื่อไหร่ ข้าย่อมมอบยาและวิธีทำยาให้”
“เช่นนั้นข้อที่สอง ?” ตานปาถาม สำหรับเขาเรื่องนี้สำคัญที่สุด
ซูเฉินตอบ“มันย่อมใช้ไม่ได้ผลกับนักรบอาราม หากสามารถใช้ได้ผลจริง เช่นนั้นแล้วพวกแม่ทัพคนเถื่อนคงจะสามารถทะลวงผ่านการเจิมน้ำมนต์ 6 คราได้แล้วกระมัง ? เราลืมเรื่องนี้ไปเสียตานปา ตอนนี้นอกจากข้าจะไม่สามารถทำอะไรล้ำหน้าเช่นนั้นได้แล้ว และถึงทำได้ข้าก็ไม่ทำ วิชาบ่มเพาะสามารถทำให้คนเถื่อนที่ยังไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดในปัจจุบันให้มีพลังเทียบเท่าด่านก่อเกิดลมปราณได้เท่านั้น หากสูงกว่าด่านก่อเกิดลมปราณก็จะไร้ผล อีกครั้งวิชานี้ยังนับว่าเป็นการเจิมน้ำมนต์ครั้งหนึ่งจากอารามพลังต้นกำเนิด ดังนั้นคนที่ฝึกวิชาจะสามารถเจิมน้ำมนต์ได้ลดลง หรือก็คือข้าไม่ได้อยากทำให้มีใครที่จะแกร่งขึ้นไปกว่ามนุษย์ด่านมหาราชันได้”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ตานปาไม่ประหลาดใจ
หากการเจิมน้ำมนต์จากอารามพลังต้นกำเนิดของคนเถื่อนสามารถควบรวมกับวิชาบ่มเพาะของซูเฉินได้แล้วล่ะก็ คนเถื่อนก็จะสามารถแข็งแกร่งขึ้นเหนือกว่าขีดจํากัดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายไม่อาจยอมรับได้
“เช่นนั้นแล้วหากมันไม่ใช่วิธีที่คนเถื่อนทุกคนสามารถทำได้เล่า ?” ตานปาถาม
ซูเฉินหยุด “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
ตานปาเดินเข้ามานั่งด้านข้าง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการอะไร ซูเฉิน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าร้องขอจากข้ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ? อย่างน้อยอีก 100 ปีข้าก็ยังทำไม่สำเร็จ”
“อีก 100 ปี……” ซูเฉินพึมพำ ครุ่นคิดถึงความหมายเบื้องหลังคำพูด “เจ้าหมายความว่า……”
“ความแข็งแกร่ง !” ตานปาตอบ “ความแข็งแกร่งของข้า ความแข็งแกร่งของคนเป็นหัวหน้าเผ่า ! เจ้าก็รู้ว่ามีสมองอย่างเดียวไม่พอที่จะเปลี่ยนใต้หล้านี้ได้ มีแต่พลังอำนาจเท่านั้น !”
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง ในใต้หล้านี้ ไม่ว่าจะมีปัญญาฉลาดล้ำเลิศสักเพียงไหน หากไม่มีกำลังคอยหนุนก็ไม่อาจขึ้นสู่จุดสูงสุดได้
ตานปายังเด็กนัก ยังขาดความแข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่อีกมาก
แม้เขาจะมีสติปัญญาล้ำเลิศ ซึ่งนับว่าแปลกและแตกต่างในเผ่าคนเถื่อน แต่ตัวเขาเองก็ขาดซึ่งกำลัง นับเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด
นี่เป็นใต้หล้าที่เกิดมาเพื่อคนมีพลังอำนาจ หากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งที่จะต้องดูแลเผ่า ใช้เพียงมันสมองแล้ว ความสามารถของตานปาก็จะถูกจำกัด
ด้วยเหตุนี้ ตานปาจึงหมายมั่นว่าตนจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
“อารามพลังต้นกำเนิดอยู่ในปราการกู่หลาน ที่ซึ่งชนเผ่าเพลิงใช้ควบคุมชนเผ่าอื่น หากมีเผ่าใดแสดงเครื่องหมายไม่ภักดี ชนเผ่าเพลิงก็จะลดโอกาสหรือสั่งห้ามไม่ให้คนจับเผานั้นได้รับการเจิมน้ำมนต์” ตานปาเอ่ย “ถึงตอนนี้ข้าก็เจิมน้ำมนต์เพียง 2 ครั้งเท่านั้น หากต่อไปพึ่งพาแต่การบ่มเพาะพลัง ก็ทำได้เพียงปรับปรุงให้อักขระโทเทมเลื่อนระดับขึ้นเท่านั้น แต่ความสามารถในการใช้พลังต้นกำเนิดก็จะหยุดอยู่กับที่ หากไม่สามารถทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นได้ ก็อย่าหวังจะได้อะไรจากข้า เมื่อเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงเมื่อไหร่ ข้าก็ไม่สามารถเข้าอารามพลังต้นกำเนิดได้อีกต่อไป ! และด้วยกำลังของข้าในตอนนี้ ทำได้แต่รวบรวมเผ่าเล็กเผ่าน้อย ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถปะทะกับเผ่าขนาดกลางได้หรือไม่…… ถ้ายังมีกำลังที่จะทำทาคุชากับหัวหน้าเผ่าที่แข็งแกร่งไม่ไหว คงไม่ต้องให้ข้าอธิบายเรื่องทาคุชากระมัง ? เพราะอย่างไรมันก็เคยเป็นสิ่งที่เจ้าใช้เอาชนะพวกเราในอดีตมาแล้ว”
ซูเฉินชะงักไป
นี่เป็นปัญหาที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
ตานปาเผยรอยยิ้มมีชัยเมื่อเห็นหน้าตาตกตะลึงของซูเฉิน “อะไรกัน เจ้าไม่ได้คิดคำนวณไว้อย่างนั้นหรือ ? ต้องขอบอกไปว่าค่าชอบสีหน้าเช่นนี้ของเจ้านัก”
“อืม……” ซูเฉินยักไหล่ “ก็ได้ ข้ายอมรับว่าคำนวณผิดพลาดไป คาดการณ์ความสำคัญของปัญหาผิดไปสักหน่อย เช่นนั้นเจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่านอกจากจะได้ข้าช่วยแก้ปัญหาเรื่องขัดแย้งระหว่างวิชาบ่มเพาะและการเจิมน้ำมนต์ได้ ตัวเจ้าจะไม่สามารถแข็งแกร่งขึ้นเองได้ ?”
“ถูกต้องแล้ว ไม่แน่ว่าอาจใช้ความหน้าไม่อายและเล่ห์ลวงเพื่อเอาชนะหัวหน้าเผ่าที่ทรงพลังกว่าได้ และจัดการพวกเผ่าขนาดกลาง แต่นั่นก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว และต่อไปจะสร้างปัญหามากขึ้น ด้วยคนเถื่อนไม่มีทางยอมก้มหัวให้กับคนอ่อนแอ มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถรวบรวมคนเถื่อนได้ อย่างที่ในประวัติศาสตร์นับหมื่นปีได้แสดงเอาไว้ ดังนั้นแม้ข้าจะสามารถกดพวกเขาไว้ได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป ในระหว่างนี้ เจ้าต้องช่วยข้าแก้ปัญหา”
“ต้อนข้าเสียจนมุมเลยนะ ?” ซูเฉินจ้องตานปาด้วยความประหลาดใจ
“ก็เหมือนกับที่เจ้าเคยทำกับข้า” ตานปาตอบเสียงหยาบคาย
ทั้งสองจ้องหน้ากันอยู่นานก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ผ่านไปนาน ซูเฉินจึงเอ่ย “น่าสนใจดีนี่ ! ข้าวางแผนใส่คนอื่นมาตลอด แต่ดูเหมือนตอนนี้จะมีคนเล่นแผนใส่ข้าบ้างแล้ว อีกทั้งยังเป็นเผ่าคนเถื่อนเสียอีก”
“หากข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ แล้วเจ้าจะหวังอะไรจากข้าได้งั้นหรือ ?” ตานปาตอบโต้
“ก็จริง” ซูเฉินเห็นด้วย “หากเจ้าไม่ใช่คนเช่นนี้ แล้วข้าจะลงทุนเสียแรงและเวลาไปกับเจ้าทำไม ?”
“เช่นนั้นเจ้าตกลงจะยอมช่วยแล้วใช่ไหม ?”
“ก็นะ” ซูเฉินไม่ได้ตอบตามตรง แต่เดินกลับไปกลับมาสองสามครั้ง มือไพล่หลัง
ครุ่นคิดอยู่นานจึงตอบว่า “แก้ปัญหาการขัดแย้งกันระหว่างการเจิมน้ำมนต์และวิชาบ่มเพาะต้องมีความเข้าใจเรื่องการทำงานของอารามพลังต้นกำเนิด หากไม่ได้ไปเห็นด้วยตนเอง ก็คงแก้ปัญหานี้ไม่ได้”
“เจ้าจะบอกว่าหากได้เห็นการทำงานของอารามพลังต้นกำเนิดแล้วจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้งั้นหรือ ?”
“ข้าก็พอมั่นใจอยู่ แต่ก็ยังไม่แน่นอน” ด้วยเครื่องคำนวณผลึกแก้ว ความสามารถในการทดลองของซูเฉินจึงเพิ่มสูงขึ้นมาก เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่การได้ไปเห็นการทำงานของอารามพลังด้วยตาตนเองเป็นสิ่งที่เขาจงใจทำให้ตานปายุ่งยากเสียมากกว่า
ทว่าเกินคาดนัก ที่ตานปากลับตอบคำสบาย ๆ “หากต้องการเช่นนั้น ข้าพาเจ้าไปปราการกู่หลานกับข้าก็ได้”
“ปราการกู่หลาน ? เจ้าพาไปได้งั้นหรือ ?” ซูเฉินอึ้งไป
“ใช่สิ เจ้าแปลงกายได้ไม่ใช่หรือ ? แปลงเป็นทหารเผ่ากิ้งก่ากรวดเสียสิ ข้าเป็นหัวหน้าชนเผ่ากิ้งก่ากรวด ดังนั้นทุกปีต้องจัดสรรจำนวนคนที่จะได้เข้าเจิมน้ำมนต์ จะแนะนำทหารสักหลายคนไม่เป็นปัญหา คำถามเดียวก็คือ…… เจ้าจะกล้าหรือไม่ ?”
ตานปาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
จนถึงตอนนี้ การสื่อสารระหว่างซูเฉินกับตานปาอยู่ในการควบคุมของชายหนุ่มมาโดยตลอด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้เล่ห์หรือกลใด เขาก็ยังสามารถเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้
แต่หากต้องเดินทางไปปราการกู่หลานกับตานปา……
ซูเฉินก็จะไม่อาจกำหนดชะตาตนเองได้อีก
เขาถูกโยนคำถามยากมาให้เสียแล้ว !