ตอนที่ 216 สงสัย

รักเล่ห์เร้นใจ

เช้าวันต่อมา เมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องทำงานของเซียวจิ่งสือเข้าไป ถึงแม้จะมีมู่ลี่บังไว้บางส่วน แต่ยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายในห้องทำงานมีคนสองคนกำลังพูดคุยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนหนึ่งคือเซียวจิ่งสือ อีกคนหนึ่งคือหลินหว่านตัวจริง

 

 

อี้อวิ๋นฉังอดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้ หลินหว่านคงไม่บอกเรื่องทั้งหมดที่เธอทำในหลายวันนี้ให้เซียวจิ่ง

 

 

สือรู้หรอกมั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น เซียวจิ่งสือจะเชื่อใครนะ? อี้อวิ๋นฉังไม่รู้เลยว่าเซียวจิ่งสือจะเชื่อถือเธอทั้งหมด แม้ว่าตอนนี้เธอจะสวมรอยเป็นหลินหว่านได้อย่างแนบเนียนแล้วก็ตาม ก็เธอทั้งสามารถเลียนแบบกริยาท่าทางการพูดจาของหลินหว่าน ทั้งยังมีความทรงจำของหลินหว่านอีกด้วย

 

 

ถ้าหากเป็นหลินหว่านตัวจริง เจอกับสถานการณ์แบบนี้ จะทำอย่างไรนะ? อี้อวิ๋นฉังคิดใคร่ครวญดู ฮึ ด้วยนิสัยถือดีหยิ่งในศักดิ์ศรีของหลินหว่าน ต้องไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้แน่ ถึงกับไม่เสียเวลามาอธิบายเลยด้วย อย่างนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ยิ่งวางตัวให้เปิดเผยเป็นปกติ ก็ยิ่งเป็นการยืนยัน ‘ความบริสุทธิ์’ ให้กับตัวเอง

 

 

พอตกลงใจได้ อี้อวิ๋นฉังก็แสร้งทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เปิดประตูห้องทำงานเซียวจิ่งสือเข้าไปอย่างเปิดเผย คงต้องบอกว่าในเวลาเช่นนี้เธอแสดงได้ดีมากจริงๆ

 

 

“โอ๊ะ เสี่ยวเสี่ยว คุณก็อยู่นี่เหรอ? คุยอะไรกับจิ่งสือล่ะ”

 

 

อี้อวิ๋นฉังเอ่ยทักทายด้วยท่าทีเป็นปกติ เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

 

หลินหว่านจ้องอี้อวิ๋นฉังอยู่ครู่หนึ่ง อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ คนคนนี้กับหลินหว่านจากคำบอกเล่าของเซียวจิ่งสือ แตกต่างกันมากเกินไปหน่อยมั้ง เธอไม่เคยพบเจอคนหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลย

 

 

“คุยเรื่องงานนิดหน่อยน่ะ ทำไมคุณมานี่ได้ล่ะ”

 

 

เซียวจิ่งสือตอบแทนหลินหว่าน เขารู้ว่าหลินหว่านไม่ถนัดพูดโกหก จึงตอบให้ซะเอง

 

 

“อ้อ งั้นเหรอคะ งั้นพวกคุณคุยกันเสร็จหรือยังคะ? ไม่งั้นอีกเดี๋ยวฉันค่อยพูดธุระของฉัน”

 

 

อี้อวิ๋นฉังแกล้งพูดไปตรงๆ เธอต้องคิดหาวิธีดึงตัวเซียวจิ่งสือออกมาให้ได้

 

 

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่เป็นไร พวกคุณคุยกันเถอะ ธุระของเราคุยจบแล้ว”

 

 

หลินหว่านพูดเสียงเรียบ กับคนที่จับตัวเธอไปแล้ว หลินหว่านไม่อยากจะมีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากเกินไปนัก ราวกับว่าการอยู่ร่วมกันสักนาทีหนึ่ง เป็นการเพิ่มอันตรายให้กับตัวเธอเองแล้ว

 

 

“แต่ว่า ผมยังมีธุระบางอย่างที่ยังคุยไม่จบเลย”

 

 

เซียวจิ่งสือพูดเสียงเนิบกับหลินหว่านตัวจริง ต่อให้มีสองใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะอยู่ต่อหน้า เขาก็สามารถแยกแยะออกมาได้ในทันทีว่าใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอม และโดยจิตใต้สำนึกที่เขาไม่อยากไปจากหลินหว่านตัวจริงเลย

 

 

“อ้า แต่ว่า ฉันมีธุระสำคัญมากต้องการความช่วยเหลือจากคุณนะคะ คุณก็รู้ว่า ถ้าหากไม่มีเรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน ฉันคงไม่มาหาคุณแบบนี้หรอก เอาล่ะ เสี่ยวเสี่ยว ฉันขอตัวจิ่งสือไปก่อนนะ อีกเดี๋ยวค่อยกลับมาจัดการกับเรื่องของเธอทางด้านนี้นะ ธุระด่วนน่ะ ต้องขอโทษด้วยนะ”

 

 

อี้อวิ๋นฉังขมวดคิ้วเล็กน้อย ดึงแขนเสื้อของเซียวจิ่งสือ เหมือนกับว่ามีสถานการณ์ฉุกเฉินที่สำคัญมากเกิดขึ้นจริงๆ จำเป็นต้องให้เซียวจิ่งสือไปจัดการเท่านั้น

 

 

“คุณนี่พูดแปลกนะ คุณจะขอตัวประธานเซียวไป ก็ไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอกค่ะ ท่านประธานเซียวไม่ใช่ของฉันซะหน่อย เขาตัดสินใจเองได้ว่าจะไปหรือไม่ไป”

 

 

หลินหว่านพูดเสียงเย็น พูดกันตามจริง ตอนนี้เธออยากจะเปิดประตูออกไปซะเลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม เหมือนกับตั้งใจจะอยู่ประชดซะอย่างงั้น ไม่อยากเป็นฝ่ายจากไปก่อนอี้อวิ๋นฉังที่เหมือนกับเธอทุกอย่าง

 

 

แต่ในตอนนั้นเอง เซียวจิ่งสือพอเห็นอาการเช่นนี้ของหลินหว่าน เขากลั้นหัวเราะไว้อย่างยากลำบาก ต้องบอกว่าหลินหว่านหึงโดยไม่รู้ตัวนี่ ช่างน่ารักซะเหลือเกิน

 

 

“งั้น จิ่งสือคะ พวกเราไปกันเถอะ เรื่องนี้น่ะ ถ้าหากไม่ใช่คุณแล้วล่ะก็ ไม่มีคนอื่นจัดการได้แล้ว จริงๆ ค่ะ”

 

 

อี้อวิ๋นฉังแกล้งทำท่าว่าไม่ได้คิดอะไรมาก ดึงมือเซียวจิ่งสือออกไปจากห้องทำงาน

 

 

หลินหว่านตามออกมาจากห้องทำงานด้วย กลับไปที่ห้องพักของตัวเอง ใจก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก

 

 

เมื่อหลินหว่านกลับมาถึงห้องพักของตัวเอง ฮั่วเทียนอวี่ก็กลับมาแล้ว เมื่ออยู่กับฮั่วเทียนอวี่ที่เคยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดี หลินหว่านตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเองในหลายวันนี้ กับทั้งที่เธอสงสัยอยู่ให้ฮั่วเทียนอวี่รู้

 

 

“พี่เทียนอวี่ พี่ว่างไหมคะ ฉันขอคุยด้วยหน่อยค่ะ ฉันมีข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด อาจต้องขอให้พี่ช่วยฉันคิดวิเคราะห์ดูสักหน่อยค่ะ”

 

 

หลินหว่านเรียกฮั่วเทียนอวี่ที่กำลังยุ่งอยู่ในครัวออกมา ให้เขานั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก

 

 

“ทำไมเหรอ เสี่ยวเสี่ยว หลายวันมานี้เธอไปถ่ายละครนี่นา ทำไมล่ะ มีอะไรติดขัดหรือเปล่า?”

 

 

ฮั่วเทียนอวี่นั่งลงที่ข้างกายหลินหว่าน ถามเสียงอ่อนโยน

 

 

หลินหว่านส่ายศีรษะ ถอนใจเฮือกแล้วพูดว่า

 

 

“ไม่ใช่เรื่องถ่ายละครหรอกค่ะ ฉันถูกจับตัวไปขังน่ะ”

 

 

“อะไรนะ? จับไปขัง? ใครทำ? เซียวจิ่งสือนั่นเหรอ? ไอ้สารเลวนั่น! เธอไม่เป็นอะไรนะ?”

 

 

ฮั่วเทียนอวี่พูดอย่างอารมณ์ขึ้น ราวกับอยากจะฉีกเซียวจิ่งสือเป็นชิ้นๆ

 

 

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่เขา เป็นหลินหว่านต่างหาก เธอจับฉันไปขังไว้ แล้วให้หมอด้านสมองคนหนึ่งมาเฝ้าฉันไว้ เหมือนกับสะกดจิตฉันค่ะ แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเขาสะกดจิตฉันแล้วทำอะไรไปบ้าง แต่เมื่อวานก่อน ฉันถูกหลินหว่านนั่นจับตัวไปขังไว้ค่ะ”

 

 

หลินหว่านตัวจริงรีบอธิบายแก้ความเข้าใจผิด คราวนี้ถึงคราวฮั่วเทียนอวี่เงียบไปบ้าง เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเหมือนกัน

 

 

“ฉันก็เลยสงสัยมาก ฉันรู้ว่าตอนนี้ในหัวสมองฉันมันว่างเปล่า จำเรื่องอะไรก็ไม่ได้เลยสักอย่าง ก่อนหน้านี้เคยเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่รู้ ต่อให้ครั้งนี้ถูกจับขัง หมอด้านสมองนั่นสะกดจิตฉันตั้งนานขนาดนั้น ฉันก็ยังจำอะไรไม่ได้อยู่ดี ความรู้สึกแบบนี้มันทรมานมากเลยจริงๆ นะ”

 

 

หลินหว่านพูดติดต่อกันรวดเดียว สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

 

 

“เสี่ยวเสี่ยว เธออย่าคิดมากไปเลย ความทรงจำที่ขาดหายไป ฉันเล่าให้เธอฟังก็ได้นี่ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ความทรงจำขาดหายไปส่วนหนึ่งตลอดกาล ก็จะเป็นอย่างไรล่ะ? ถึงอย่างไรแล้วก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็น่าจะโอเคแล้วนี่?”

 

 

ฮั่วเทียนอวี่รู้สึกตื่นเต้นตึงเครียดขึ้นมาบ้าง รีบพูดปลอบหลินหว่าน คิดจะดึงความสนใจของเธอไปทางอื่น

 

 

“ไม่นะคะ พี่ไม่เข้าใจ นี่มันคนละเรื่องกันเลย ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ตัวฉันไม่ใช่ตัวเองเต็มที่ แล้วพี่รู้ไหมคะ การได้เห็นคนอีกคนที่มีหน้าเหมือนตัวเองทุกอย่างน่ะมันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยนะ”

 

 

หลินหว่านพูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง

 

 

“ไม่ใช่นะ เสี่ยวเสี่ยว ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญอยู่ตั้งมากมาย พวกเธอแค่หน้าคล้ายกันมากเท่านั้นเอง”

 

 

ฮั่วเทียนอวี่ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนในใจ คำพูดที่พูดออกมาแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากเชื่อเลย

 

 

“พี่ผิดแล้วค่ะ หลังจากเกิดเรื่องพวกนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า บางทีฉันต่างหากคือหลินหว่านที่เซียวจิ่ง

 

 

สือตามหาตัวอยู่”