ฉู่เหวินเจี๋ยหยุดฝีเท้าลง สั่งบ่าวรับใช้ว่า “ดูแลฮูหยินให้ดี” จากนั้นก็เดินออกจากจวนไป ขึ้นม้า ตรงไปยังจวนอ๋องฉีเพื่อถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากที่อ๋องฉีกลับจวนมาแล้ว ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระชายาฟังด้วยความระมัดระวัง พระชายาตกใจจนมีเงามืดปรากฎบนดวงตา เกือบจะเป็นลมไป อ๋องฉีรีบพยุงนาง และพานางไปนั่งบนเก้าอี้อย่างทะนุถนอม
ผ่านไปครู่ใหญ่พระชายาถึงได้สติกลับคืนมา กัดฟันก่นด่าด้วยความโกรธว่า “เจ้าแก่หนังเหนียวเฮ่อจางนี่มันช่างร้ายกาจเสียจริง คิดแผนเช่นนี้ออกมาได้” พูดจบ คว้ามือของอ๋องฉีเอาไว้ พูดด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านรีบไปเร็ว ใช้เวลาสองวันนี้พาเด็กสองคนนั้นหนีออกจากเมืองหลวงไป ยิ่งไกลยิ่งดี”
อ๋องอีไม่ขยับ “ข้าไปมาแล้ว เซวียนเอ๋อร์บอกว่าพวกเขาเตรียมการณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว”
“เขาจะไปมีแผนอะไร ครั้งนี้เฮ่อจางจะจัดการโยวเอ๋อร์จนถึงตายได้ ฮ่องเต้รังเกียจเรื่องแบบนี้เป็นที่สุด ถ้าหาก…” พูดถึงตรงนี้ก็ขยับร่างเตรียมจะลุกขึ้น “ไม่ได้การแล้ว ข้าจะต้องไปบอกให้พวกเขาหนีไปด้วยตัวเอง”
อ๋องฉีห้ามนาง ค่อยๆ พานางนั่งลงที่เก้าอี้ “เซวียนเอ๋อร์ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจมาก่อน พวกเราต้องเชื่อใจเขา และอีกอย่างหนีไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ฝ่าบาทสั่งให้องครักษ์ไปเฝ้าประตูเมืองไว้แล้ว”
พระชายาทั้งร้อนใจ ทั้งแค้นใจ ร่างของนางสั่นสะท้านไม่หยุด
ฉู่เหวินเจี๋ยมาถึงจวนอ๋อง อ๋องฉีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ให้เขาฟังโดยละเอียด
หลังฉู่เหวินเจี๋ยฟังจบแล้ว ขมวดคิ้วพูดว่า “ข้าจะไปทูลขอร้อง!”
อ๋องฉีโบกมือ “ครั้งนี้เฮ่อจางสะกิดจุดอ่อนของฮ่องเต้ หากเจ้าไปขอร้องไม่เพียงแต่จะไม่เป็นการช่วยเมิ่งเชี่ยนโยว แต่ยังจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากขึ้น ดังนั้นอย่าไปเลย พวกเราคอยดูความเคลื่อนไหวไปก่อนกว่า”
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นชายชาติทหาร แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดอย่างละเอียดรอบคอบเฉกเช่นอ๋องฉี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า “เฮ่อจางเป็นคนเจ้าเล่ห์ เลี่ยงเรื่องกลลวงของเขาได้ยาก พวกเราจะต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี อย่าให้เขาได้ใจเป็นอันขาด”
อ๋องฉีเองก็มีความคิดเช่นนี้ ทั้งสองจึงไปคุยกันที่ห้องหนังสือ
ขณะเดียวกัน ฮ่องเต้ที่กระวนกระวายด้วยเรื่องที่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจมาแฝงร่างอยู่แล้ว ขณะที่เสวยอาหารค่ำกับไทเฮาที่ตำหนักของนาง ไทเฮาก็เตือนเรื่องนี้ขึ้นมา และยังบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า ความสามารถของปิศาจนั้นมีอยู่มาก หากนางใช้โอกาสหลบหนีไปได้ จะมาจับนางภายหลังก็ยากเสียแล้ว
ฝ่าบาทไร้ซึ่งความอยากเสวยอาหารไปทันที จากนั้นก็ทรงมีรับสั่ง ให้ทหารองครักษ์จำนวนห้าพันนายไปล้อมจวนของเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ ห้ามมิให้ใครเข้าออก ผู้ใดฝ่าฝืนให้ฆ่าทันที
ทหารห้าพันนายยกขบวนมากันอย่างน่าเกรงขาม นายประตูวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปรายงานด้านใน หวงฝู่อี้เซวียนละเมิ่งเชี่ยนโยวคาดเดาไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะทำเช่นนี้ จึงไม่ได้ตกใจอะไร สั่งไปว่า “ปิดประตูจวน ห้ามมิให้ใครไปไหนทั้งนั้น”
ดังนั้นกว่าฉู่เหวินเจี๋ยจะเจรจากับอ๋องฉีเรียบร้อย เมื่อมาถึงหนานเฉิง ก็ถูกทหารกันตัวเอาไว้ “ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งว่าห้ามมิให้ใครเข้าออกเด็ดขาด เชิญท่านกลับไปก่อนเถิด”
ฉู่เหวินเจี๋ยจนปัญญา นั่งอยู่บนม้า มองทหารด้วยสายตาเคร่งเครียด ทำได้เพียงขี่ม้ากลับจวนของตนเพื่อวางแผน
วันต่อมา เปาชิงเหอและเปาอี้ฝานพร้อมทั้งนายท่านเหวินและเหวินซื่อเองก็ถูกกันไว้ด้านหน้าประตูเช่นกัน มองดูประตูที่ถูกปิดเอาไว้ ทั้งสี่คนร้อนใจเหลือเกิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
ขณะเดียวกันชาวบ้านหลินเฉิงที่ได้รับข่าวก็ได้ร่วมใจกันเขียนหนังสือคำร้อง มอบให้จางเจ๋อหวย เพื่อให้ทูลถวายให้ฝ่าบาท
คำร้องของขุนนางเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ คำร้องของชาวบ้านรวมกับคำร้องของขุนนาง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วันจึงจะถูกทูลถวายให้ฝ่าบาท จางเจ๋อหวยกัดฟัน ให้เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งขี่ม้าไปส่งคำร้องในเมืองหลวง
บ่ายวันที่สอง มีชาวบ้านที่ยากจนจำนวนมากทยอยเดินทางเข้าเมืองหลวง
ทหารประจำประตูเมืองเข้าใจว่าเป็นชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกกัน จึงไม่ได้สงสัยอะไร
คนเหล่านี้หลังจากเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ก็ตรงไปยังเหลาจวี้เสียนทันที จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดออกมาอีกเลย
เช้าวันที่สาม หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นมาเหมือนวันปกติ หลังจากล้างหน้าล้างตา และกินอาหารเช้ากับคนในจวนเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้นายประตูไปเปิดประตูออก รอประกาศจากขันทีในวัง
หลายวันมานี้ฝ่าบาทพักผ่อนไม่เต็มที่ รู้สึกเสียใจที่ตนเองตอบรับคำขอของอ๋องฉีให้ยืดเวลาไปสามวัน ราชกิจในเช้าวันนี้ก็จบลงอย่างรวดเร็ว กลับมายังห้องทรงพระอักษร จากนั้นก็รับสั่งให้คนจับเมิ่งเชี่ยนโยวไปขึงไว้บนถนน ให้พระเซวี่ยนชิงทำพิธีให้เมิ่งเชี่ยนโยวคืนร่างเดิม
ขันทีนำพระราชโองการมาประกาศให้ทั้งสองคนฟัง หวงฝู่อี้เซวียนค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว จับมือของนาง มองนางด้วยสายตาลึกซึ้ง พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมา ส่ายหน้า พูดไปประโยคหนึ่ง ชิงหลวนและจูหลีฟังไม่ออก ขันทีที่มาส่งสาส์นก็ไม่เข้าใจ มีเพียงหวงฝู่อี้เซวียนที่เข้าใจ “ข้าได้รับจนคุ้มแล้ว ไม่กลัว”
หวงฝู้อี้เซวียนจูงมือนางไปยิ้มไป เดินออกไปด้านนอก
ขันทีห้ามเอาไว้ “ซื่อจื่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าให้เพียง…”
“หลบไป!” น้ำเสียงหวงฝู่อี้เซวียนเย็นชา เต็มไปด้วยความน่ากลัว “วันนี้หากใครมาห้ามข้าไม่ให้ไปกับโยวเอ๋อร์ ข้าจะฆ่าให้หมด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ขันทีก็กลัวจนตัวสั่น ยอมหลีกทางให้แต่โดยดี มองทั้งสองคนเดินจูงมือเคียงข้างกันไปด้วยความงุนงง
ที่ตามขันทีมาติดๆ นั้นก็เป็นรถม้า บนรถม้ามีกรงเหล็กอันหนึ่ง เห็นชัดว่าเตรียมมาเพื่อเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนชายตามองเล็กน้อย สั่งกัวเฟยว่า “ไปนำรถม้ามา”
กัวเฟยตอบรับ ไปยังหลังจวน
ทหารองครักษ์มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความทรมานใจ กล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ สิ่งนี้ผิดกฎ องค์หญิงเป็นปิศาจร้าย ถ้าหากนางเกิด…”
หวงฝู่อี้เซวียนทำหน้าเครียด ถีบเขากระเด็น
ทหารไม่ได้ตั้งตัว จึงถูกเขาถีบจนต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว ถึงได้ยืนอย่างมั่นคง พูดอย่างเคืองโกรธว่า “ซื่อจื่อ ท่าน…”
“ชิงหลวน จูหลี!” หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจเขา แต่กลับออกเสียงสั่งการ
ชิงหลวน จูหลีมาด้านหน้า พูดอย่างนอบน้อมว่า “ซื่อจื่อ!”
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองทหารองครักษ์ทุกคน สั่งด้วยเสียงเย็นชาว่า “หากมีใครกล้าพูดว่านายหญิงของพวกเจ้าเป็นปิศาจอีกล่ะก็ ฆ่ามันให้หมด!”
ชิงหลวนและจูหลีตอบรับเสียงดัง
เสียงของเขาเป็นดั่งลมหนาวพัดผ่านร่างของทหารองครักษ์เหล่านั้น หนาวจนสั่นสะท้านถึงวิญญาณ ความหนาวแผ่ซ่านมาจากปลายเท้าของทหาร เขาอ้าปาก แต่ไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปากไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
กัวเฟยนำรถม้าออกมา หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว ขึ้นไปนั่งข้างบน
ชิงหลวน จูหลี กัวเฟยและองครักษ์ลับฝั่งเมิ่งเชี่ยนโยวอีกกว่าสามสิบนายคอยปกป้องอยู่สองฝั่งของรถม้า
ไม่มีใครห้าม และไม่มีใครกล้าห้าม
จนกระทั่งรถม้าค่อยๆ เคลื่อนที่ตรงไปยังถนนใหญ่ เหล่าทหารองครักษ์จึงได้สติกลับมา โบกมือสั่งให้ทุกคนตามไป
สองฝั่งข้างทางตั้งแต่หนานเฉิงถึงถนนใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอดูการทำพิธี ทุกคนต่างอยากเห็นองค์หญิงที่มีพื้นเพมาจากชาวบ้านผู้นี้มาก แต่ยังไม่เคยได้พบมาก่อน วันนี้จึงได้มารอดูว่าจริงๆ แล้วนางเป็นคนเช่นไร และเป็นปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไร และยังมีบางกลุ่มที่ไม่รู้ว่าถูกยุยงมาจากที่ใด หรือว่าคิดเอาเอง แต่ในมือพวกเขาต่างถือของเอาไว้หลายอย่าง รอเวลาที่กรงเหล็กเคลื่อนผ่านหน้าของตนแล้วจะปาของเหล่านั้นใส่ทันที
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ ในกรงเหล็กกลับไม่มีคนอยู่ ทั้งหมดยืนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
จนรถม้าเคลื่อนที่ผ่านหน้าพวกเขาไป มีคนได้สติว่าไม่แน่เมิ่งเชี่ยนโยวอาจจะอยู่ในนั้นก็เป็นได้ จึงไม่ลังเลอีกต่อไป ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งปาหินในมือเข้าใส่รถม้าทันที ปัง เสียงหินกระทบกับผนังรถม้า จากนั้นก็ตามด้วยเสียงโกรธแค้นของเขาว่า “ฆ่าปิศาจตนนี้ให้ตายไปเลย…”
คนด้านหลังกำลังเตรียมจะประทุษร้าย แต่จูหลีรีบตรงดิ่งไปยกร่างของชายผู้นั้นขึ้นมา โยนลงไปบนพื้นอย่างเต็มแรง
คนตรงนั้นได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น และฝุ่นคลุ้งลอยขึ้นมา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นไม่มีเสียงร้องใดออกมา สลบไปทันที
คนที่กำลังจะโยนหินใส่รถม้าหยุดชะงัก มองดูร่างของชายฉกรรจ์ที่นอนแน่นิ่งบนพื้นหลังฝุ่นจางหายไป จากนั้นก็มองของในมือของตนเอง จากนั้นก็รู้ตัวและรีบนำผักเน่า ไข่เน่า และของแข็งในมือทิ้งลงพื้นทันที จากนั้นก็ยกมือขึ้นเหนือหัว เพื่อแสดงว่าในมือของตนไม่มีของอะไรทั้งสิ้น
จูหลีพูดด้วยเสียงที่มีพลังว่า “หากยังมีใครทำการประทุษร้ายอีก จุดจบก็จะเป็นเช่นนี้”
กลุ่มคนเงียบสงัดไม่มีเสียงเล็ดลอกออกมา
หัวหน้าเหล่าทหารองครักษ์ได้เห็นฝีมือคนของเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นครั้งแรก รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ที่เมื่อครู่ตนเองเพียงถูกซื่อจื่อถีบเท่านั้น ไม่ได้เกิดอันตรายอะไรมาก เห็นสภาพของชายฉกรรจ์แล้ว เห็นทีอีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงจะต้องนอนเป็นผักปลาอยู่บนเตียงเสียแล้ว
เหวินเปียวเดินออกมา เตะร่างชายฉกรรจ์ไปอีกทาง กัวเฟยควบรถม้าไปด้านหน้าอย่างไม่รีบร้อน ส่วนคนที่ดูอยู่รอบๆ นั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องโยนของใส่รถม้า เพราะแม้กระทั่งเสียงลมหายใจยังไม่มี ต่างพากันกลั้นลมหายใจเอาไว้ รอให้รถม้าเคลื่อนผ่านไปก่อน จึงได้กล้าพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ลูบคลำลำคอเย็นเฉียบของตนเอง รู้สึกดีใจที่มันยังอยู่ที่เดิม
มีตัวอย่างเช่นนี้ คนบนถนนไม่มีใครกล้าทำเรื่องโง่ๆ อีก รถม้าดำเนินไปยังถนนใหญ่อย่างราบรื่น
กลางถนนมีแท่นสูงตั้งอยู่ มีพระสงฆ์ท่าทางมีเมตตาผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านบน พนมมือ หลับตาสวดมนต์อยู่
ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างมากันเกือบหมด ปิดล้อมแท่นนั้นไว้อย่างหนาแน่น
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์เคร่งเครียด และไทเฮาที่มีสีพระพักตร์กดดันประทับอยู่ที่ไกลๆ
เมื่อรถม้ามาถึง เห็นว่าในกรงเหล็กไม่มีคน สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไป กำลังจะมีรับสั่ง
หวงฝู่อี้เซวียนลงมาจากรถม้าอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นก็ยื่นมาออกไปจูงเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา
เกิดเสียงวุ่นวายขึ้นในหมู่ชาวบ้าน ฮ่องเต้และไทเฮาก็ยิ่งตกพระทัยยิ่งกว่าเดิม
หวงฝู่อี้เซวียนกวาดตามองผู้คนเล็กน้อย จากนั้นก็จูงมือ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปด้านหน้า
ไทเฮาอดไม่ได้ จึงมีรับสั่งว่า “เร็ว รีบไปห้ามซื่อจื่อไว้!”
ทหารสองนายรีบเดินมาด้านหน้า ยื่นมือออกมาห้ามเขาไว้ “ซื่อจื่อ ไปไม่ได้ขอรับ!”
หวงฝู่อี้เซวียนมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ทั้งสองรู้สึกได้ว่าลำคอเย็นยะเยือก หดคอลงทันที แต่ก็ไม่ยอมถอยหลัง
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดฝีเท้าลง หันไปคารวะฮ่องเต้และไทเฮา “ฝ่าบาท ไทเฮา ขอได้โปรดเมตตาด้วย ขอพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ไปกับโยวเอ๋อร์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินการขนานนามที่เปลี่ยนไป พระทัยของฮ่องเต้และไทเฮารู้สึกไม่ดี เข้าพระทัยทันทีว่าหวงฝู่อี้เซวียนนั้นกำลังกล่าวโทษพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็ทำเพื่อเขา หากเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจแปลงกายมาจริงๆ ถูกพระเซวี่ยนชิงร่ายมนตร์ให้คืนร่างมาได้ อย่างนั้นก็จะเป็นอันตรายกับเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ ไทเฮาทรงกัดพระทนต์ ตรัสไปว่า “ย่าไม่อนุญาต นางเป็นปิศาจนะ! เจ้าจะอยู่กับนางได้อย่างไรกัน”
“ไทเฮา” หวงฝู่อี้เซวียนยืดเอวขึ้น พูดเสียงดัง “โยวเอ๋อร์เป็นปิศาจมาสิงร่างจริงหรือไม่นั้น ก็ยังไม่รู้ได้ ท่านตรัสเช่นนี้ จะไม่เกินไปหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สี่ห้าปีมานี้ตั้งแต่เขากลับมา แม้ว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้สนิทกับตนมากนัก แต่ก็ปฏิบัติต่อตนอย่างนอบน้อม ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้สนทนากับตนมาก่อน ไทเฮาเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา “เซวียนเอ๋อร์ เจ้า…”
ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจท่าทีของนาง พูดต่อไปว่า “โยวเอ๋อร์เป็นหญิงที่ครองใจกระหม่อม เป็นคนที่ผ่านความเป็นความตายมาพร้อมกระหม่อม บัดนี้นางถูกใส่ความ ถูกกล่าวหาว่าเป็นปิศาจ ต้องพิสูจน์ตนต่อหน้าผู้คนนับหมื่น หากกระหม่อมไม่อยู่เคียงข้างนาง กระหม่อมก็ไม่สมควรเป็นคนอีก และไม่สมควรจะเป็นผู้ชายของนางอีกต่อไป”
ผู้คนที่กำลังซุบซิบกันอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงลงทันที ทุกคนมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เห็นทั้งสองยืนหยัดเคียงข้างกันด้วยความกล้าหาญ ไร้ซึ่งความรู้สึกกดดันหรือร้อนใจ จึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปิศาจทันที
ฝ่าบาทหรี่พระเนตรลง
ไทเฮาพยักหน้าด้วยความกริ้ว “ได้ ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่ฟังคำของข้า ดึงดันจะอยู่กับนาง ข้าก็จะยอมเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจในภายหลัง”
คำพูดของไทเฮาก็เท่ากับคำสั่ง ทหารที่กันอยู่จึงได้ถอยออกไป
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินขึ้นไปบนแท่น
ดวงตาของพระชายามีน้ำตารื้นขึ้น มองดูพวกเขาโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้