ทั้งสองเดินไปยังแท่นพิธี พระเซวี่ยนชิงหยุดสวดมนตร์ ลืมตาขึ้นมองคนทั้งสอง เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว สายตาของท่านแปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกันนั้นดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ หลับตาลงอีกครั้ง

 

 

แม้ว่าคนอื่นจะดูอยู่ไกลๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ใบหน้าของเฮ่อจางเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา ขอเพียงวันนี้กำจัดเมิ่งเชี่ยนโยวไปได้ หวงฝู่อี้เซวียนก็จะตรอมใจตามไป พอถึงตอนนั้นตำแหน่งซื่อจื่อ ก็จะตกเป็นของหวงฝู่อวี้ องค์ชายหกก็รอวันรับตำแหน่งรัชทายาทได้เลย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของพระเซวี่ยนชิงเช่นกัน เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยืนสงบนิ่งอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน ไม่พูดอะไร หวงฝู่อี้เซวียนจูงมือนาง เดินขึ้นไปบนแท่น พูดกับทุกคนด้านล่างว่า “หากโยวเอ๋อร์เป็นปิศาจจริง ข้าจะตัดหัวนางด้วยมือข้าเอง”

 

 

พูดจบ ก็เกิดเสียงวิพากษ์ดังสนั่นขึ้นมาจากฝูงชน

 

 

อ๋องฉีและพระชายาเองก็ตกใจจนสะดุ้งยืนขึ้น

 

 

หลังจากเจรจากับนายท่านเหวินแล้ว เหวินซื่อได้ระดมกำลังจากร้านยาเต๋อเหรินที่สามารถเรียกมาได้ภายในสองวันมายังเมืองหลวง และจับพวกเขาปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาแฝงกายอยู่ในฝูงชน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตกใจและเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ ในใจเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก

 

 

องค์รักษ์ลับกว่าสามพันนายที่ถูกระดมพลมาที่เมืองหลวงก็ตกใจไม่น้อย หรือว่าเขามีแผนซ้อนแผน

 

 

ภายใต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนแผดดังขึ้นมา “แต่หากนางไม่ใช่ อย่างนั้นนางก็จะเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ชาตินี้ข้าจะมีนางผู้เดียว ใครหน้าไหนก็ห้ามไม่ได้”

 

 

เสียงของฝูงชนดังยิ่งกว่าเดิม เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แพร่กระจายออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง

 

 

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้และไทเฮาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความรู้สึกต่างๆ นานาทั้งความตกตะลึง ความเสียใจ ความโกรธ และหัวเสีย ได้ถาโถมเข้ามา ทำให้สีพระพักตร์ของพวกเขาดูไม่ดีเลยสักนิด

 

 

เหล่าขุนนางที่ติดตามมาด้วยก็เกิดความคิดว่าซื่อจื่อของอ๋องฉีผู้นี้มีความสามารถรอบด้าน ตั้งแต่ปีก่อนที่ได้ทำงานให้ฝ่าบาทแล้ว ไม่ว่าเรื่องยากเช่นไรหากตกไปอยู่ในมือของเขาแล้วนั้นเขาก็สามารถจัดการได้โดยง่าย อันที่จริงเขาสามารถเป็นผู้ช่วยใกล้ตัวของฮ่องเต้ได้ สามารถอยู่คุ้มหัวของเหล่าเสนาบดีได้ แต่สิ่งที่ฝ่าบาททำกับเขาวันนี้ น่ากลัวว่าจะทำลายความเชื่อใจของเขา เช่นนั้นต่อไป…เหล่าขุนนางไม่กล้าคิดต่อ

 

 

เฮ่อจางเองก็ผงะไปเล็กน้อย เห็นท่าทีการพูดจาของหวงฝู่อี้เซวียนแล้ว ราวกับว่าไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเตรียมแผนสำรองเอาไว้แล้วก็เป็นได้ และก็คิดได้ว่าสองสามวันนี้ได้ส่งคนไปเฝ้าดูที่จวนของเมิ่งเชี่ยนโยว นอกจากอ๋องฉีและเหวินซื่อแล้วก็ไม่มีใครเข้าไปด้านในอีก หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ออกมาเลย เขาพูดเช่นนี้ คงจะเป็นการคุยโวโอ้อวดเท่านั้น จึงได้วางใจลง มองทั้งสองด้วยสายตาเวทนา

 

 

เสียงซุบซิบของฝูงชนดังขึ้นไม่หยุด ฮ่องเต้และไทเฮาก็คิดเช่นเดียวกับเหล่าขุนนาง แต่หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพูดจบแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจคนพวกนี้ พาเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงด้านหน้าของพระเซวี่ยนชิงพร้อมกัน

 

 

พระเซวี่ยนชิงไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก แต่ที่ปากกลับร่ายมนตร์ไม่หยุด

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจับมือเมิ่งเชี่ยนโยวไว้แน่น ทั้งสองมองเขาเงียบๆ

 

 

ฝูงชนเองก็เงียบเสียงลง เงยหน้ามองไปบนแท่น

 

 

ทุกความรู้สึกผ่านมาในพระทัยของฝ่าบาทแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น จากนั้นสีพระพักตร์ก็กลับมาเป็นปกติ เขาเป็นฮ่องเต้ มีอำนาจล้นฟ้า เป็นผู้กำหนดความเป็นความตายของคนทั้งแผ่นดิน เป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างในรัฐอู๋ เป็นผู้สืบทอดตระกูล เขาไม่อนุญาตให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยกับตัวนั้น เขาไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด เขาทำถูกแล้ว พอนึกถึงตรงนี้ จึงได้ยกพระหัตถ์ขึ้น กำลังจะมีรับสั่ง แต่เสียงขอร้องก็ดังขึ้น “กระหม่อม เปาชิงเหอขุนนางเป่ยเฉิงนำชาวบ้านเป่ยเฉิงมาขอร้องฝ่าบาท”

 

 

พูดจบ ชาวบ้านนับร้อยด้านหลังเขาก็คุกเข่าลงตามๆ กัน พูดพร้อมเพรียงกันว่า “ฝ่าบาทได้โปรดเมตตาด้วย”

 

 

เสียงร้องดังสนั่น จนทำให้ใครหลายคนใจสั่น

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าเปาชิงเหอจะทำเช่นนี้ มือของเมิ่งเชี่ยนโยวขยับเล็กน้อย อยากจะยืนขึ้น แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับจับมือนางไว้แน่น ส่ายหน้าให้นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก ใบหน้ามีความกังวลใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมอบรอยยิ้มปลอบโยนให้นาง

 

 

พระพักตร์ของฝ่าบาทเคร่งขรึมขึ้นมา วางพระหัตถ์ลง ตรัสด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่างกล้าดียิ่งนัก กล้าชักจูงชาวบ้านมาต่อต้านข้ารึ”

 

 

โทษนี้มีความรุนแรงมาก เปาชิงเหอก้มหัวลงบนพื้นอย่างแรง “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเป่ยเฉิงทุกคนประจักษ์กันดี ทั้งหมดนี้เป็นผลงานขององค์หญิงชิงเหอทั้งสิ้น หากไม่มีนาง บัดนี้ชาวบ้านก็คงต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ เอาลูกเอาเต้าไปเร่ขาย ไม่ใช่ชีวิตที่กินอิ่มนอนอุ่นเช่นทุกวันนี้ เป็นเพราะชาวบ้านอยากขอบคุณพระคุณของนาง จึงมากันด้วยความเต็มใจ”

 

 

คำพูดของเขาแต่ละคำทิ่มแทงไปในพระทัยของฝ่าบาท ความเป็นอยู่ของราษฎรเป่งเฉิงเป็นความทุกข์ในพระทัยของพระองค์มานานหลายปี ไม่มีวิธีแก้ได้ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เวลาไม่ถึงปีสามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ผลงานชิ้นนี้พูดอย่างไรก็ไม่จล การตัดสินพระทัยของพระองค์ในวันนี้ไม่เพียงแต่จะสูญเสียความเชื่อใจจากหวงฝู่อี้เซวียนไป แต่จะต้องสูญเสียหัวใจของราษฎรชาวเป่ยเฉิงอีกด้วย แต่ผู้ใดก็มิอาจห้ามพระองค์ได้ พระองค์มิอาจยอมให้ปิศาจที่เป็นภัยต่อความมั่นคงมีตัวตนอยู่ได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีพระพักตร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ไม่อาจเดาได้ว่ายินดีหรือยินร้าย “เปาชิงเหอ การกระทำของเราในวันนี้ มิใช่เป็นเพราะต้องการทำลายชื่อเสียงขององค์หญิงชิงเหอ แต่จะเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้นาง หากนางมิใช่ปิศาจ เราก็จะชดเชยให้นาง และใช้โอกาสนี้ห้ามปากของชาวบ้าน แต่หากว่าใช่…เหอะ!” คำพูดที่เหลือไม่ต้องพูดก็รู้ คนที่อยู่ตรงนั้นต่างรู้กันดี หากเป็นจริง เมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องตายเป็นแน่

 

 

คำพูดของฝ่าบาทเป็นดั่งประกาศิต วันนี้เปาชิงเหอนำชาวบ้านมาขอร้อง ก็เตรียมใจที่จะต้องถูกตัดหัวต่อหน้าผู้คนมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทไม่แม้แต่จะลงโทษเขา แถมยังให้คำอธิบายที่ไม่เชิงเป็นการอธิบายอีกด้วย หากตนยังดึงดันต่อไปก็จะถือว่าเป็นการนำคนมาก่อกบฎจริงๆ แล้ว เขาเป็นขุนนางมานานหลายปีเพียงนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีผลงานดีเด่นอะไร แต่เรื่องนี้เปาชิงเหอรู้ดี จึงไม่ดื้อดึงต่อไป พูดเสียงดังว่า “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมในนามของชาวเป่ยเฉิง ขอบพระทัยที่ทรงกรุณา ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”

 

 

ชาวเป่งเฉิงก็ได้สรรเสริญตามไปด้วย

 

 

บัดนี้สีพระพักตร์ของฝ่าบาทจึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย แผดเสียงตรัสกับคนบนแท่นว่า “ไต้ซือเซวี่ยนชิง เริ่มพิธีเถิด”

 

 

พระเซวี่ยนชิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองหน้าเมิ่งเชี่ยนด้วยด้วยสายตาโศกเศร้า กล่าวกับนางคำหนึ่งว่า “อมิตาพุทธ” จากนั้นก็ปรับท่านั่งใหม่ และเริ่มร่ายคาถาออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกกระวนกระวายใจ ราวกับว่ามีใครมาดึงทึ้งวิญญาณของนางอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าก็ซีดเผือด

 

 

อี้เซวียนกุมมือของนางแน่น สบตานาง รู้ได้ทันทีว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงกับนาง สายตามองไปทางเรือนรับรองทางทิศเหนือด้วยความร้อนใจ

 

 

ขณะเดียวกันไต้ซือที่สติไม่ดีภายในเรือนรับรองก็ได้นั่งขัดสมาธิเช่นเดียวกับพระเซวี่ยนชิง ปากก็ร่ายมตนร์ไม่หยุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรับรู้ได้ว่าวิญญาณของนางถูกพลังสองฝั่งดึงทึ้งอยู่ ฝั่งหนึ่งดึงออก อีกฝั่งดึงเข้า วนไปเช่นนี้หลายครั้ง ส่วนนางนอกจากสีหน้าซีดเผือดแล้วนั้น ร่างของนางก็เริ่มสั่นเทิ้มอีกด้วย หน้าผากของนางมีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยกมือขึ้น เช็ดเหงื่อให้นางอย่างอ่อนโยน ใช้น้ำเสียงไพเราะและอ่อนโยนเรียกนาง “โยวเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์…”

 

 

คนด้านล่างมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของนางอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งแปลกปลอมทะลุผ่านร่างของนางออกมา ก็ดีใจกันมาก

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้ายินดีของฝูงชนก็มีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพระชายา รอไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปรับพวกเขาลงมา

 

 

สีหน้าหยิ่งผยองของเฮ่อจางก็ค่อยๆ จางหายไปตามเวลาที่นานขึ้น กลายเป็นสีหน้าแห่งความหวาดกลัวและตกตะลึงมาแทนที่ เป็นไปได้อย่างไร เมิ่งเชี่ยนโยวจะไม่ใช่ปิศาจมาสิงร่างได้อย่างไร ไม่ เป็นไปไม่ได้ จะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ใช่ จะต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้จึงได้วิ่งขึ้นไปบนแท่นทำพิธี เขาจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นทำพิธีตลอด แม้อ้างว่ามาถวายความปลอดภัยให้กับฝ่าบาท นำทหารนอกเครื่องแบบมา แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็จะรีบไปแย่งตัวของนางมาก่อน เขาก้าวไปขวางทางเฮ่อจางเอาไว้ กล่าวอย่างดุดันว่า “ท่านมหาเสนาบดีต้องการจะทำอะไรหรือ”

 

 

เฮ่อจางลนลาน คิดแต่ว่าจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ เดินตรงไปยังแท่นพิธี “หลีกไป ข้าจะขึ้นไป”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยมาขัดขวางเขาโดยเฉพาะ แล้วจะยอมเขาได้อย่างไร เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “ท่านมหาเสนาบดี ฝ่าบาทมีรับสั่ง นอกจากพระเซวี่ยนชิงและองค์หญิงชิงเหอแล้ว ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้พิธีเด็ดขาด

 

 

เฮ่อจางชี้ไปยังหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความโกรธ “แล้วเขาล่ะ เหตุใดเขาจึงขึ้นไปได้”

 

 

สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยไม่เปลี่ยนไป น้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยน “อย่างนั้นเรียนเชิญท่านมหาเสนาบดีไปทูลถามเองเถิด”

 

 

เฮ่อจางพูดไม่ออก หันหลังกลับ รีบเดินไปหาฮ่องเต้ คุกเข่าลง กล่าวเสียงดังว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ปกติ กระหม่อมไปสืบมาชัดเจนแล้ว องค์หญิงชิงเหอเป็นปิศาจแน่ นานเพียงนี้ยังไม่มีปฏิกิริยา แสดงว่าพวกเขาจะต้องมีแผนอะไรเป็นแน่ ฝ่าบาทได้โปรดรับสั่งให้กระหม่อมขึ้นไปดูด้วยตาตัวเองด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เฮ่อจากรับตำแหน่งมหาเสนาบดีมานานหลายปีแล้ว ฝ่าบาทรู้จักเขาดี เขาทำงานได้ดีมาตลอด ไม่มีการปั้นน้ำเป็นตัว โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นนี้ เขาใช้ตำแหน่งของตนเองเป็นประกัน แสดงว่ามีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาดจริงๆ ให้เขาขึ้นไปดูก็ดีเหมือนกัน จึงพยักหน้า “อนุญาต!”

 

 

เฮ่อจางดีใจเป็นอย่างมากจนลืมก้มขอบพระทัย รีบยืนขึ้นและเดินตรงไปยังแท่นทำพิธี

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยได้ยินคำของฝ่าบาทแล้ว ไม่ห้ามเขา แต่มือกลับจับดาบที่เอวไว้แน่น หากเขาเห็นว่าเฮ่อจางขึ้นไปแล้วกระทำอะไรไม่ดี เขาก็จะขึ้นไปจัดการเป็นคนแรก

 

 

เสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นมายังแท่นทำพิธีของเฮ่อจางเป็นดั่งเสียงกลองที่ดังขึ้นในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ เสียงดังขึ้นมากทุกที ใจของหวงฝู่อี้เซวียนร้อนรนหาที่เปรียบไม่ได้ โยวเอ๋อร์เองก็เช่นกัน หากเฮ่อจางขึ้นมาก็จะเห็นสีหน้าผิดปกติของนาง ขณะที่กำลังร้อนใจนั้น พระเซวี่ยนชิงก็หยุดร่ายมนตร์ ลืมตาขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความเมตตา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าวิญญาณของตนกลับเข้าร่างเช่นเดิมแล้ว มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

 

 

วินาทีที่เฮ่อจางก้าวเท้าขึ้นมาบนแท่นทำพิธีนั้น พระเซวี่ยนชิงก็ได้ยืนขึ้น พูดกับเขาว่า “อมิตาพุทธ โยม อาตมาทำเต็มที่แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นปกติ เฮ่อจางขาอ่อน ใจสั่น พูดด้วยเสียงสั่นว่า “ไต้ซือ นาง นาง นางไม่ใช่ปิศาจแน่หรือ”

 

 

ไต้ซือเซวี่ยนชิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่มองไปยังเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาราวกับคิดอะไรอยู่มากมาย เดินอ้อมเฮ่อจางลงจากแท่นทำพิธีไป

 

 

ขณะเดียวกัน พระสติไม่ดีที่ร่ายมนตร์อยู่ที่เรือนรับรองก็ได้ล้มลงบนอาสนะพร้อมเหงื่อท่วมตัว ในปากพึมพำว่า “ตาเฒ่าเซวี่ยนชิงนับว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มิเช่นนั้นลงนรกสิบแปดขุมก็ลบล้างบาปของเจ้าไม่ได้” พูดจบ ก็พึมพัมต่อว่า “เจ้าแก่นี่ วิชาอาคมแก่กล้าขึ้นทุกที หากนานกว่านี้ ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว”

 

 

เฮ่อจางล้มพับลงบนแท่นทำพิธี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยุงเมิ่งเชี่ยนโยวให้ยืนขึ้น

 

 

ฝูงชนโห่ร้องด้วยความดีใจเป็นระยะ

 

 

น้ำตาแห่งความยินดีของพระชายาไหลออกมา เดินตรงไปยังแท่นทำพิธีโดยไม่สนใจพิธีรีตอง

 

 

สีพระพักตร์ของฝ่าบาทและไทเฮาไม่สามารถหาคำใดมาเปรียบได้ มีความตกพระทัยเล็กน้อย และมีความคาดไม่ถึง ไม่ความไม่เชื่อ และยังมีความรู้สึกผิดอยู่เล็กๆ สรุปแล้ว ความรู้สึกมากมายปรากฎขึ้นบนพระพักตร์

 

 

ไต้ซือเซวี่ยนชิงเดินลงมาจากแท่นทำพิธีอย่างใจเย็น เดินไปยังฮ่องเต้ พนมมือ ก้มลงไหว้ กล่าวด้วยเสียงยินดีว่า “ฝ่าบาท อาตมาทำพิธีเสร็จสิ้นแล้ว องค์หญิงชิงเหอไม่ได้ถูกปิศาจสิงร่าง” พระเซวี่ยนชิงมีวิชาสูง คนทั้งแผ่นดินเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา เมื่อพูดออกมาเช่นนั้น เสียงโห่ร้องดีใจของฝูงชนก็ดังขึ้น

 

 

แต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทและไทเฮากลับไม่ได้ยินดีเช่นนั้น เพราะความหูเบาในครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงสูญเสียความเชื่อใจจากหวงฝู่อี้เซวียนไป แต่ยังสูญเสียความเชื่อใจจากราษฎรทั้งเมืองหลวงอีกด้วย

 

 

สายตาโกรธแค้นของฝ่าบาทปรากฎขึ้นชั่วครู่ ทรงยืนขึ้น โบกพระหัตถ์ บ่งบอกให้ฝูงชนที่กำลังโห่ร้องเงียบเสียงลง ตรัสเสียงดังต่อหน้าชาวบ้านว่า “วันนี้องค์หญิงชิงเหอถูกเหยียดหยาม เราจะปล่อยผ่านไม่ได้ จึงขอมอบทองคำสองพันชั่ง เงินหมื่นตำลึงเพื่อเป็นการทดแทน ส่วนเฮ่อจาง ก็ให้พ้นจากตำแหน่งไป กลับไปคิดทบทวนความผิดของตน หากไม่มีคำสั่งจากเรา ห้ามก้าวออกมาจากจวนเป็นอันขาด”

 

 

เฮ่อจางปิดตาลง ฝ่าบาททำเพื่อปกป้องเกียรติของตน จึงได้โยนความผิดทั้งหมดไว้ที่เขาผู้เดียว ตำแหน่งมหาเสนาบดีของเขาถูกเพิกถอนก็ไม่เป็นไร โชคดี โชคดีที่กุ้ยเฟยและองค์ชายหกไม่ติดร่างแหไปด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นมาผงาดอีกครั้ง

 

 

ยังคิดไม่จบ เสียงของฝ่าบาทก็ดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับดึงเขาลงนรกทันที “กุ้ยเฟยและองค์ชายหกก็ร่วมวางแผนด้วย ไม่สามารถให้อภัยได้เช่นกัน เฮ่อกุ้ยเฟยลดตำแหน่งเป็นสนมชั้นผิ่น ส่วนองค์ชายหกให้ย้ายไปประจำการในที่กันดารแร้นแค้น หากไม่มีคำสั่งจากเรา ชาตินี้ก็ห้ามกลับเมืองหลวงเด็ดขาด”