แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม โรงละครซาล์มฮอลก็ยังดูหรูหรา และงดงามเช่นเดิม เพียงแต่รูปแบบสถาปัตยกรรมจะแตกต่างจากนครเรนทาโตมาก

ภายในห้องโถง บริกรกำลังต้อนรับเหล่าขุนนาง และนักดนตรีที่มาในงานแสดงคืนนี้ เมื่อใกล้ถึงเวลาที่งานแสดงจะเริ่มขึ้นเขาถึงได้ยุ่งน้อยลง และในที่สุดเขาก็รู้สึกหายใจหายคอได้ซักที

การที่เขามาอยู่ในโรงละครก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก สำหรับประชาชนทั่วไปอย่างบริกรเช่นเขา ถ้าเขาทำงานได้ดีเขาอาจได้รับข้อเสนองานที่ดีกว่าจากเหล่าขุนนางหรือนักดนตรี ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังทุกคำพูดที่เขาพูด และทุกการกระทำที่เขาทำในคืนนี้

เมื่อเห็นว่านักดนตรีที่เป็นที่นิยมรุ่นใหม่บางคนกำลังปรับสายเครื่องดนตรี และเดินไปที่หลังเวที เขารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทุกสัปดาห์จะมีงานแสดงในโรงละคร และนั้นก็แทบจะไม่มีที่นั่งว่างเลย แต่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และบ้าคลั่งที่เขาเคยเห็นเมื่อเจ็ดหรือแปดปีที่แล้วไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย

เจ็ดหรือแปดปีที่แล้วเขายังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่น แต่เขาไม่มีวันลืมว่าผลงานเพลงของนักดนตรีหนุ่มคนนั้นทำให้คนทั้งเมืองคลั่งไคล้ได้อย่างไร

เขาสงสัยว่าคนในอาณาจักรอื่น ๆ คลั่งไคล้ดนตรีกันมากหรือเปล่า พี่ชายของเขาบอกเขาเสมอว่าผู้คนในอัลโต้ ชอบดนตรีเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะทำ

บริกรคิดกับตัวเอง แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วพวกเขาจะทำอะไรเพื่อความบันเทิงได้อีกล่ะ?

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น รถม้ารูปทรงฟักทองก็มาถึงหน้าประตู

บริกรรู้สึกประหลาดใจที่เห็นรถม้ารูปทรงฟักทอง แต่เขาก็รู้สึกว่ามันดีมากที่รถม้าจะมาที่นี่

ก่อนที่เขาจะคิดมากไปกว่านี้ สุภาพบุรุษในชุดทักซิโด้สีดำก็ลุกขึ้นจากรถม้า จากนั้นเขาก็ช่วยพยุงสุภาพสตรีคนหนึ่งในชุดเดรสยาวสีม่วงออกมา

“ท่านผู้หญิง และนายท่านมาที่นี่เพื่อชมการแสดงของท่านฟรานซิสโกใช้หรือไม่?” บริกรถามด้วยความเคารพ

“แน่นอน เราต้องการที่นั่งสองที่” ลูเซียนกล่าวอย่างใจเย็น

บริกรหันกลับไป และพาพวกเขาเข้าไปในโรงละคร เขารู้สึกเหมือนว่าเขาลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญไป ตัวอย่างเช่น พวกเขามีตั๋วหรือไม่? หรือ ทำไมพวกเขาถึงสามารถขอที่นั่งสองที่ด้านหน้าโรงละครได้?

“ทำไมต้องเป็นรถม้าทรงฟักทอง” นาตาชารู้สึกสนุกที่ลูเซียนพาเธอมาที่นี่

ลูเซียนลูบคางของเขา “เจ้าไม่รู้สึกว่ามันเหมือนเทพนิยายเหรอ”

จากนั้นเขาก็หันไปมองที่โรงละครซาล์มฮอล และถอนหายใจ “อันที่จริง ข้าคุ้นเคยกับเวทีมากกว่าที่นั่งของผู้ชม”

“ …ข้าไม่เคยแสดงที่นี่เลย” นาตาชายังรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ในฐานะเจ้าหญิงนางจึงทำไม่ได้

บริกรพาพวกเขาไปที่เก้าอี้ที่มีพนักแขนที่อยู่แถวสุดท้าย แถวสุดท้ายนี้มีนักดนตรีนั่งอยู่แต่พวกเขาก็ไม่ไก้สนใจ

ทันทีที่ลูเซียน และนาตาชานั่งลง การแสดงก็เริ่มขึ้นทันที นักดนตรีที่จะแสดงในคืนนี้คือท่านฟรานซิสโก คืนนี้เขาสวมทักซิโด้เนื้อดีสีดำ เขาโค้งคำนับให้กับที่นั่งชั้นพิเศษและจากนั้นก็เป็นผู้ชมที่เหลือ

เขามีจมูกเป็นสันตรง ริมฝีปากบางและมีโหนกแก้มที่ค่อนข้างสูง เขามีรูปลักษณ์ตามแบบฉบับของคนจากจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาดูค่อนข้างเด็ก

“ดูสิ นั่นคือท่านวิกเตอร์ ท่านโอเทลโล่ ฟรานซ์…” นาตาชากล่าว

ลูเซียนยังรู้จักเอเลน่า เกรซ และเฟลิเซีย เขายิ้มและพูดว่า “พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะมาที่นี่ในโรงละครเดียวกันกับพวกเขาในการแสดงเดียวกัน”

เป็นอีกครั้งที่ลูเซียนไม่ได้วางแผนที่จะไปพบพวกเขา

ฟรานซิสโกหยิบไม้บาตองของเขาขึ้นมา ลูเซียน กับนาตาชาหยุดสนทนาทันที และเริ่มเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง ตามรายการเพลงนี้คือซิมโฟนีที่เรียกว่าการเติบโต

เริ่มจากโน้ตเพลงที่เต็มไปด้วยความสงสัย และคำถาม ทำนองเพลงค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นร่าเริง และสนุกสนานมากขึ้นซึ่งได้นำเสนอภาพของเยาวชน และความรักแก่ผู้ฟัง

ระหว่างการฟัง ผู้ฟังทุกคนราวกับย้อนกลับไปในช่วงเวลาวัยเด็ก วัยรุ่น และช่วงเวลาที่มีรักแรกพบ จากนั้นโน้ตเพลง และเครื่องดนตรีก็เริ่มคมชัดขึ้น และเข้มข้นขึ้น เมื่อเสียงดนตรีที่ราวกับพายุดังขึ้น นั้นก็ฉุดผู้ฟังทุกคนกลับเข้าสู่ความทรงจำที่น่าหดหู่ และเจ็บปวดที่สุด

หลังจากเกิดพายุ ท้องฟ้าก็แจ่มใส และสดใสมากขึ้น จากนั้นแสงจากดวงอาทิตย์ก็ทอแสงขึ้น เพื่อเป็นการบอกผู้ชมว่า ในที่สุดความเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานจะหมดไป และชีวิตของคน ๆ หนึ่งก็จะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดเหล่านี้เท่านั้น

เมื่อชีวิตที่สงบสุขมาถึงขีดสุด เพลงขลุ่ยก็ถูกแทนที่ด้วยเพลงมาร์ชที่เต็มไปด้วยความมั่นใจซึ่งบ่งบอกถึงความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ดีมาก นี้ช่างแตกต่างจากซิมโฟนีแบบเก่าๆ” นาตาชาปรบมือ และแสดงความคิดเห็น

ลูเซียนคลี่ยิ้ม แนวเพลงดังกล่าวของซิมโฟนีในอัลโต้ได้กลายมาเป็นที่รู้จักในที่สุด

“ซิมโฟนีกระบวนเดี่ยว ช่างเหมือนบทกวีมากกว่า ในขณะที่ซิมโฟนีแบบดั้งเดิมเน้นโครงสร้าง ซึ่งนั้นจะให้อิสระ และมุ่งเน้นไปที่แนวคิดหลักของมัน…”

นักดนตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าหันกลับมาเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา “คุณไม่รู้จักดนตรีกวีวรรณนาเหรอ? ท่านฟรานซิสโกสร้างมันขึ้นมา! เจ้าสองคนเพิ่งมาจากที่อื่นหรือเปล่า? นี่เป็นแนวดนตรีที่ร้อนแรงที่สุดในอัลโต้เมื่อเร็ว ๆ นี้เลยนะ”

ลูเซียน และนาตาชาสบตากันจากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายศีรษะ ลูเซียนมักจะยุ่งอยู่กับการเรียนวิชาอาร์คาน่าศาสตร์ และเวทมนตร์ ส่วนนาตาชาก็ยังมุ่งเน้นไปที่ด้านต่างๆ ของอาณาจักรและพัฒนาตัวเองในฐานะอัศวิน แม้ว่าพวกเขาจะติดตามพัฒนาการทางดนตรีในอัลโต้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับรู้ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดเสมอไป

นักดนตรีกล่าวต่อไปว่า “แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่รู้จักดนตรีกวีวรรณนาสักเท่าไหร่ แต่ความคิดเห็นของเจ้าก็ถูกต้องมาก เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับดนตรีเป็นอย่างดี ข้าขอถามได้ไหมว่าเจ้าเป็นนักดนตรีจากที่อื่นหรือเปล่า?”

“ข้าไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมนักดนตรีใด ๆ ข้าแค่…รักดนตรี” ลูเซียนกล่าวอย่างคลุมเครือ

คนที่ตายไปแล้วจะไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมนักดนตรีแห่งอันโต้ต่อไป

นักดนตรีคนนั้นไม่คาดคั้นอีก จากนั้นเขาก็อธิบายเกี่ยวกับดนตรีกวีวรรณนา และท่านฟรานซิสโกให้พวกเขาฟังในช่วงเวลาพัก “เขาเป็นนักดนตรีจากจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ และเขาก็เป็นลูกศิษย์ของท่านคริสโตเฟอร์มาสองปี เมื่อเร็วๆ นี้เขาเป็นที่รู้จักจากการเล่นเปียโน และบทเพลงใหม่ๆ ที่ก้าวหน้า ซิมโฟนีที่เจ้าเพิ่งได้ยินมีชื่อว่าการเติบโต และเป็นหนึ่งในผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา”

ดูเหมือนว่าท่านคริสโตเฟอร์จะมีลูกศิษย์อีกคนหลังจากการที่ซิลเวียเสียชีวิต ซึ่งนั้นเป็นข่าวดีสำหรับลูเซียน และนาตาชา

“เขามีความสามารถมากแน่นอน ถ้าเจ้าเคยได้ยินเขาเล่นผลงานชิ้นเอกละก็น่ะ! หลังจากที่ท่านอีวานส์จากไปผู้คนอาณาจักรอื่น ๆ ก็กล่าวว่าดนตรีในอัลโต้จะค่อยๆ ตายตามลงไป แต่ตอนนี้พวกเขาควรตระหนักแล้วว่าพวกเขาคิดผิด! ดนตรีขออัลโต้อยู่ในสายเลือด ในบรรยากาศของเมืองทั้งเมืองด้วยมรดกทั้งหมดที่ท่านทั้งหลายทิ้งไว้ ก็จะมีนักดนตรีหน้าใหม่ที่มีฝีมืออันยอดเยี่ยมโผล่ออกมาเสมอ ดูท่านฟรานซิสโกเป็นตัวอย่าง!”

นักดนตรีคนนั้นตื่นเต้นนิดหน่อย ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่รอการตอบสนองจากลูเซียน และนาตาชา

ลูเซียนยิ้ม เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งจริงจัง และสบาย ๆ ว่า “ถูกต้อง”

“ใช่” นาตาชาพยักหน้า และรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

หลังจบการแสดง นักดนตรีก็หันกลับมาเพื่อที่จะพูดคุยอีกครั้งแต่เขาก็พบว่าทั้งคู่จากไปแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้นวมสองตัวที่ว่างเปล่า

โรงละครซาล์มฮอลเพิ่มที่นั่งตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาเริ่มรู้สึกขนลุกเล็กน้อย

และอย่างไรก็ตามเขาก็ตระหนักว่าทั้งคู่ช่างดูคุ้นเคย เขาเริ่มขบคิดหนักขึ้น

ทางเดินวิมาน พระราชวังราเตเชีย

ลูเซียนกับนาตาชายืนอยู่หลังหน้าต่างโค้ง พวกเขามองดูอาทิตย์ตกพร้อมกันในขณะที่สวนถูกย้อมเป็นสีแดง กระจกขนาดใหญ่ยี่สิบสี่บานสะท้อนให้เห็นทิวทัศน์ที่เหมือนกับความฝัน

นาตาชาเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับนางที่นี่ให้ลูเซียนฟัง นางเป็นที่รู้จักในเรื่องความแข็งแกร่งทางร่างกาย เมื่อครั้งที่นางยังเด็ก และครั้งหนึ่งนางเกือบจะทำลายสถานที่แห่งนี้

“เราดื่มด่ำกับอาหารค่ำแล้ว พระอาทิตย์ก็ตกแล้ว ตอนนี้ได้เวลากลับแล้ว ช่างเป็นการเดินทางที่ดี” นาตาชากล่าวขณะเหยียดแขน

ลูเซียนพยักหน้าและเขามองไปที่ปลายทางอีกด้านของพระราชวัง “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือแกรนด์ดยุคคนปัจจุบัน เขาไม่ได้เป็นคนสำคัญในครอบครัวหรือเปล่า?”

“เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ข้าเชื่อว่านี่เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ในที่สุดลูก ๆ หลาน ๆ และลูกหลานของพวกเขาก็จะกลับมาทวงบัลลังก์” นาตาชากล่าวอย่างมั่นใจ

หลังจากออกจากพระราชวัง ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปที่กำแพงเมือง ในเวลานี้เองบุคคลในชุดคลุมสีแดงก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ขุนนางที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเป็นคนรู้จักของพวกเขา เขาคือกอสเซ็ตต์

เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะจากไป ลูเซียนกับนาตาชาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ซ่อนกลิ่นอายของพวกเขา

กอสเซ็ตต์เห็นพวกเขา และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง!

“ลูเซียน อีวานส์…นาตาชา ไวโอเล็ต?!” กอสเซ็ตต์รู้สึกว่าร่างกายของเขาชาไปหมด ทั้งยังไม่สามารถหายใจได้อีกด้วย เขาอยากจะวิ่งหนี แต่เขาทำไม่ได้ เขาต้องการร่ายคาถาศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ทำไม่ได้

ขาของเขาสั่นไม่หยุด

ทันใดนั้นเขาก็เห็นลูเซียนหันกลับมามองเขาแล้วยิ้ม นัยตาสีดำของเขาลึกล้ำราวกับทะเลสาบ เหงื่อเย็นปกคลุมไปทั่วหน้าผากของเขา

จากนั้นไม่นานเมื่อลูเซียน และนาตาชาเดินออกไปจากสายตาของเขา เขาก็สามารถกลับมาหายใจได้อีกครั้ง จากนั้นกอสเซ็ตต์ก็รีบติดต่อฟีลิเบล และพระมหาคาร์ดินัล

“นายท่าน ข้าเพิ่งเจอลูเซียน อีวานส์ และนาตาชา ไวโอเล็! เราสามารถจับพวกมันได้หากเราเปิดวงเวทป้องกัน!”

เมื่อเขาเริ่มพูดอีกครั้ง เขาก็ตระหนักว่าเสียงของเขาแหบแห้งและหายไปอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดมาเป็นเวลาร้อยปี

ฟีลิเบลตกตะลึง และในไม่ช้าเขาก็พบว่าลูเซียน และนาตาชากำลังใช้วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขากำลังเดินไปที่กำแพงเมืองอย่างช้าๆ เบื้องหน้าของพวกเขาคือจักรวาลอันไร้ขอบเขต

จากนั้นดวงตาของฟีลิเบลก็หรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็พูดกับกอสเซ็ตต์เอย่างจริงจังว่า “เข้าเข้าใจผิดแล้ว!”

……………………………………………