TB:บทที่ 263 มังกรโบยบินบนฟากฟ้า

 

“ฉันไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรต่อดี” ฮูอี้เต๋าทำเฉินหลงอับอาย เพราะมีคนชมเชยเขาต่อหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่ชินเอาเสียเลย แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมก็ตามที

“ผมไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นนะ ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับพี่” การแสดงออกของฮูอี้เต๋ายังจริงจังอยู่มากๆ

“ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วหรือ” เฉินหลงว่าพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่ครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้ว” ฮูอี้เต๋าปลาบปลื้ม “จะว่าไปแล้ว เนื่องจากที่เราเป็นเพื่อนกัน พี่บอกระดับพลังที่แท้จริงของพี่มาเถอะครับ ผมเชื่อว่าพลังของพี่ต้องมากกว่าระดับสาม”

“อยากจะรู้จริงๆหรือ” เฉินหลงมองฮูอี้เต๋าด้วยสีหน้าขบขัน

ฮูอี้เต๋าไม่ว่าอะไรอีก ทว่าเขาพยักหน้าอย่างแน่วแน่

“เช่นนั้น มานี่สิ แล้วฉันจะกระซิบบอก” จู่ๆเฉินหลงก็อยากแหย่ฮูอี้เต๋า เมื่อฮูอี้เต๋าเอี้ยวตัวมา เฉินหลงจึงกระซิบบอกเขา “นั้นเป็นความลับ”

 

ตอนแรกเขาตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ฮูอี้เต๋านิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำตอบของเฉินหลง แล้วเขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าหงอย “พี่ชาย แบบนี้คงง่ายกว่าแล้วถ้าพี่จะไม่มีเพื่อน”

“ล้อเล่นหน่า จริงๆแล้ว พลังของฉันเป็นระดับหก” เฉินหลงยังคงเกรงว่าจะไปทำฮูอี้เต๋ากลัวเข้า เขาจึงพยายามจะลดค่าพลังของเขา

 

แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฉินหลง ฮูอี้เต๋าก็สะดุ้งตกใจอยู่ดี ดวงตาเขาเบิกกว้างแล้วใจหน้าก็มีความไม่เชื่อหูตัวเอง

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขากล่าวขึ้น “ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ฟังผิด พี่เป็นมังกรของผู้คนจริงๆด้วย”

“เอ่อ โปรดอย่าพูดเช่นนั้นเลย ถึงจะไม่ได้มีคนที่มีพลังระดับหกอยู่เยอะก็เถอะ แต่ฉันไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวนะ ต้องขอโทษด้วยที่ต้องพูดแบบนั้น” เฉินหลงไม่ได้ทำตัวดีมากมายนัก

 

“ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นพลังระดับหกนะ แต่ผมไม่คิดว่าพี่จะเป็นคนพวกนั้น นั่นคือทำไมผมจึงบอกว่าพี่เป็นมังกรของผู้คน” เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฮูอี้เต๋าพูดถึงมังกรของผู้คน ดูเหมือนว่าเขาจะจำเฉินหลงได้จริงๆ

เมื่อฮูอี้เต๋าจำตัวเขาได้ คงไม่ดีนักหากเฉินหลงจะพูดอะไร

หลังการเดินทางจบลง ทั้งฮูอี้เต๋าและเฉินหลงต่างก็ไม่ได้เดี่ยวดายเลย

ฮูอี้เต๋าเป็นเหมือนเด็กน้อยช่างสงสัย เขาถามคำถามทุกรูปแบบ แทบทั้งหมดของคำถามจะเกี่ยวกับสัตว์กลายพันธุ์ระดับสูงใน “นิวเวิร์ล” สุดท้ายแล้วฮูอี้เต๋าก็เห็นสัตว์กลายพันธุ์มามากในเมื่อเขาต้องการจะมีพลังระดับหกแบบเฉินหลง

 

หลังจากอีกสามสี่ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดฮูอี้เต๋าก็เหนื่อยและปิดปากไปพักผ่อน

และในที่สุดหูของเฉินหลงก็ได้พัก

หลังจากนั้น อีกห้าหรือหกชั่วโมงต่อมา ในที่สุดเครื่องบินก็จอดที่สนามบินเมืองหลวงของประเทศจีน

เมื่อออกจากเครื่องบินมา เฉินหลงตื่นเต้นที่ในที่สุดเขาได้กลับมาแล้ว ตอนนั้นเองที่เฉินหลงต้องการจะร้องออกมาเสียจริง “ฉันเฉินหลง ฉันกลับมาสู่โลกของฉันแล้ว”

 

ถึงกระนั้น เฉินหลงยังใจเย็นได้และเก็บความกระดี๊กระด๊าไว้

“พี่หลง ผมไปก่อนนะ ถ้าผมจะไปเจอน้องชายผมใน “นิวเวิร์ล” ผมต้องพาเขาไปกับผม” ฮูอี้เต๋าบอกลากับเฉินหลงและออกไปก่อน

เขารู้ว่าพวกคนอย่างเฉินหลงต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เขาจึงสนใจที่จะพูดคุยกับเฉินหลงบนเครื่องบิน

เมื่อฮูอี้เต๋าไปแล้ว เฉินหลงติดต่อหาเจิ้งอี้

 

เจิ้งอี้  ที่ตอนแรกมีประชุมอยู่ที่ตึกเว่ยหลง พลันรับการติดต่อทางจิตจากเฉินหลง ตัวทั้งตัวเขาตกใจ ใบหน้าเขาเผยความตื่นเต้นในทันที แล้วเจิ้งอี้ก็ไม่กล่าวอะไรและออกจากห้องนั้นและทิ้งพวกคนระดับสูงไว้ในห้องประชุม

โดยทั่วไปแล้วผู้คนระดับสูงในห้องประชุมคือพี่น้องของเฉินหลง

 

ยังมีคนที่บางประเทศส่งมาเพื่อช่วยบริษัทเว่ยหลงด้วย เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจิ้งอี้ทีจู่ๆก็ออกไปแล้ว พวกเขาต่างอึ้งไป นี่มันสถานการณ์อะไรกัน

อย่างไรก็ตามซวีหมิงเหม่ยเป็นผู้ช่วยของเจิ้งอี้ เมื่อเจิ้งอี้ออกไป เป็นธรรมดาที่เธอจะจัดการประชุมต่อไป เนื่องเป็นหุ่นยนต์ ซวีหมิงเหม่ยไม่ได้คิดอย่างพวกเขา เธอเพียงบอกแผนขั้นต่อไปของบริษัททั้งหมดอย่างยึดมั่น

ถึงกระนั้นในเวลานี้ ความสนใจของทุกคนไม่ได้อยู่ที่การประชุมเลย ทุกคนคิดเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เรื่องที่เจิ้งอี้ทิ้งพวกเขาไว้

 

พวกคนในห้องประชุมคือเพื่อนร่วมงานที่ทำงานกับเจิ้งอี้มาหลายปี

พวกเขาแน่ใจว่าเจิ้งอี้เป็นคนอย่างไร ปกติเขาเป็นคนใจเย็นมากๆ การตัดสินใจก็เฉียบแหลมอย่างมาก

แม้ในช่วงการปิดกั้นทางเศรษฐกิจของอเมริกา เขาก็เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดได้ สิ่งใดกันที่ทำให้ความใจเย็นเขาหายไป

ตอนนั้นเองที่พี่น้องของเฉินหลงและคนจากประเทศต่างๆมองหน้ากันแล้วจึงคิดถึงความเป็นไปได้ นั่นคือ เขากลับมาแล้ว เฉินหลงกลับมาแล้ว

 

เมื่อคิดได้ถึงความเป็นไปได้นี้ เฉินยี่และคนอื่นจึงรู้สึกตื่นเต้นมากๆ คนที่มาจากประเทศต่างๆในตอนนี้ไม่มีใจจะประชุมต่อแล้ว บางคนจึงติดต่อหัวหน้าไป

จากนั้น ข่าวเรื่องการกลับมาของเฉินหลงก็ไปถึงหูผู้นำต่างชาติระดับสูง

“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาล่ะ เยี่ยมไปเลย ฉันบอกไปแล้วว่าเด็กนั่นจะกลับมา เขาไม่ทำฉันผิดหวังหรอก” เมื่อรู้ว่าเฉินหลงจะกลับมา ผู้นำสูงสุดประเทศจึงมีความสุขเอาเสียมากๆ

 

การช่วยเหลือที่เฉินหลงทำไว้ช่างยิ่งใหญ่ อีกทั้งเขายังรักชาติสุดๆด้วย สำหรับคนที่มีความสามารถขนาดนั้น ผู้นำสูงสุดประเทศไม่ต้องการให้เฉินหลงประสบอุบัติเหตุใด

มุมปากของหวังหงที่ข้างหลังของผู้นำสูงสุดของประเทศเผยรอยยิ้ม

ภายหลังจากที่เฉินหลงหายตัวไป ครั้งหนึ่งเขาเคยถามเทียนชิจางให้ทำนายดวงของเฉินหลง

ถึงกระนั้นเขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขารีบทำนายดวงให้เฉินหลง คำทำนายได้โบยบินขึ้นฟ้าไป นั่นหมายความว่าการหายตัวไปของเฉินหลงนั้นไม่ได้มีอันตรายอะไร เมื่อเขากลับมา มังกรจะบินไปในท้องฟ้า

 

เจิ้งอี้ขับรถเรดแฟลกเอลไฟฟ์คันยาวจากตึกเว่ยหลงไปยังสนามบิน

รถเรดแฟลกเอลไฟฟ์คันยาวไม่ใช่สินค้าที่ขายทั่วไป แต่เป็นรุ่นที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อบริษัทเว่ยหลง

จากนั้น เจิ้งอี้ขับมาถึงข้างหน้าสนามบิน เขาเห็นเฉินหลง เขาหยุดรถข้างหน้าเฉินหลงในทันที หลังจากนั้นเขาลงจากรถและเดินไปข้างเฉินหลง เขากล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “นายท่าน ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว”

“ใช่ ฉันกลับมาแล้ว” เฉินหลงพยักหน้า

เจิ้งอี้รีบเปิดประตูให้เฉินหลงขึ้นรถไป

ต่อมา เฉินหลงเข้ามาในบริษัทเว่ยหลง

เมื่อได้เห็นเฉินหลงกลับมาจริงๆแล้ว พวกพี่น้องของเฉินหลงรับมาล้อมรอบตัวเขาและถามไถ่ การประชุมน่ะหรือ ใครจะไปสนใจกัน

 

แน่นอนว่า เฉินหลงตอบคำของพวกพี่น้องพอเป็นพิธีสองสามคำ

แล้วเฉินหลงจึงขับรถกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา

ตอนที่เขาโทรมาเมื่อวาน เฉินหลงรู้ว่าการสอบเข้ามหาลัยของน้องสาวเขาจบลงไปแล้ว ครอบครัวของเขาและครอบครัวของจี้โม่ซีทั้งหมดมาปักกิ่งแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่คฤหาสน์

เฉินหลงเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาเห็นเฉินยี่คุยอยู่จี้โม่ซีอยู่ในคฤหาสน์ เมื่อเฉินหลงกลับเข้ามา เฉินยี่พุ่งเข้าไปหาเฉินหลง

“พี่ชาย พี่กลับมาแล้วหรือ เยี่ยมไปเลย” เฉินยี่ทิ้งตัวเธอลงไปในอ้อมแขนของเฉินหลงและเกาะตัวเฉินหลงเหมือนสลอธ ในขณะนั้นเองน้ำตาเธอก็ร่วงผล่อยลงมา