บทที่ 820 รังสีสังหาร!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายตกใจแทบสิ้นสติ ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟเองก็ประหลาดใจจนต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง กระนั้นความตกใจของผู้อาวุโสที่พลังด้อยกว่าย่อมมีมากกว่าหลายเท่าตัวนัก เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จิตใจเอ่อท้นด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง อวัยวะภายในถูกกดทับด้วยพลังที่ทับโถมลงมาบนร่าง ดวงวิญญาณราวกับกำลังจะถูกฉีกทำลายได้ทุกวินาที

พลังที่ตกลงมาบนผิวดาวเคราะห์ทรงอำนาจมากเสียจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นไหว ราวกับมีบางสิ่งในส่วนลึกของจักรวาลที่ลืมตาตื่นขึ้น และพุ่งกระโจนเข้าหาพวกเขาในวินาทีนั้น นั่นคือความรู้สึกที่ผู้อาวุโสรับรู้ได้ และเป็นความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อได้รับเช่นกัน

อย่าตื่นขึ้นจริงๆ เลย ได้โปรดเถิด… หวังเป่าเล่ออธิษฐานในใจคนเดียวไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาท่องบทสวดในใจจนรู้สึกได้ว่าเจ้าของพลังใกล้จะตื่นขึ้นจริงๆ นั้น เขาก็ไม่กล้าใช้บทสวดนี้อีกเลย เนื่องด้วยกลัวว่าหากตนเองยังใช้กลเม็ดนี้ต่อไป เขาจะทำให้สิ่งที่อยู่ปลายสุดของจักรวาลตื่นขึ้นมาจริงๆ

แต่แน่นอนว่าครั้งนี้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกมากนัก ขณะที่ทุกคนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยพลังของพ่อตาเขา ชายหนุ่มที่เป็นคนเรียกพลังมาก็พลันหันหลังกลับและพุ่งหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดในทันที เขาก้าวเพียงครั้งเดียวก็หายไปจากสายตา ไปโผล่อีกครั้งที่หลายพันกิโลเมตรไกลออกไป จากนั้นเขาก็กระโจนด้วยความไวแสงไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพัก!

ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นเทิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อหนีไปต่อหน้าต่อตา เขาไม่กล้าตามต่อ พลังที่ตกลงใส่นั้นรุนแรงเกินไป จนรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกไร้ความหมายซึ่งอาจโดนเหยียบตายคาฝ่าเท้าได้ทุกเมื่อ ความกลัวและความทึ่งอุบัติขึ้นในใจพร้อมๆ กัน นอกจากนี้…ตัวเขายังได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดอีกด้วย

หมอนั่นเรียกพ่อตาให้มาช่วย ความกลัวจับขั้วหัวใจพุ่งผ่านทุกเส้นเลือดในร่างกายของผู้อาวุโส ขณะที่ชายชรายังคิดไม่ตกเสียทีว่าคำพูดนั้นหมายถึงสิ่งใด ตอนที่ผู้อาวุโสนิ่งงันอยู่กับที่นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็กระโจนออกจากที่แห่งนั้นไปไกลแสนไกลหลายพันกิโลเมตรแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวด จนถึงตอนที่เขาหนีไป กินเวลาเพียงห้าวินาทีเท่านั้น พลังจากบทสวดค่อยๆ สลายหายไปจนราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้อาวุโสยังคงชะงักอยู่กับที่ ทั้งที่รู้สึกได้ว่าพลังนั้นจางหายไปหมดสิ้นแล้ว สีหน้าของเขามืดมน ความโกรธปะทุอยู่เบื้องหลังแววตาแดงฉาน เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา

“มันต้มข้า!” เขารู้สึกตัวแล้วว่าพลังเมื่อครู่เป็นเพียงมายาที่คู่ต่อสู้เรียกมาหลอกกัน ภาพหวังเป่าเล่อที่เปิดตูดหนีไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าพลังนั้นไม่ใช่ของจริง

ความรู้สึกที่ถูกต้มนี้ทำให้ผู้อาวุโสคำรามใส่ท้องฟ้าด้วยความอาฆาต ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิง เขากวาดมือเอาศพจากพลังเวทของพรแห่งเต๋าสวรรค์ออกมา และท่องกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จักมาก่อน ดวงตาของศพเบิกโพลง เปลวเพลิงเข้าล้อมกายและเผาไหม้มันจนเหลือเพียงด้ายแดงเส้นเดียว พลังเฮือกสุดท้ายของมันที่เหลืออยู่สลายหายไป ด้ายแดงหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ผู้อาวุโสก้าวไปข้างหน้าตามรอยด้ายแดงไป ดวงตาของชายชราวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหารพร้อมด้วยพลังงานอำมหิต เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าตนเองจะเผลอไปฆ่าพวกเดียวกันเองหรือไม่ ในใจคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

นั่นก็คือ…การสับไอ้หัวหมูชั่วช้าให้แหลกเป็นเศษเนื้อ หากเขาทำไม่สำเร็จ ชีวิตนี้คงไม่สามารถปล่อยวางได้อีกแล้ว ประสบการณ์นี้จะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต จนทำให้เขาพัฒนาพลังปราณของตนเองไม่ได้อีกต่อไป!

ขณะที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังไล่ล่าหวังเป่าเล่อนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้ผ่านหน้ากากของชายหนุ่มก็ยังคงไม่หายจากอาการตกใจนัก สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมแม้จะสัมผัสได้ว่าตัวตนยิ่งใหญ่ที่หวังเป่าเล่อเรียกมาได้หายไปแล้ว ชายชราไม่ได้คิดว่าตนเองถูกหลอก ดวงตาของเขาค่อยๆ มองขึ้นไปด้านบนอย่างช้าๆ ไม่ใช่มองไปยังทิศของดวงดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ หากแต่เป็นห้วงอวกาศอันไกลโพ้น

เขากำลังจ้องไปยังที่ที่พลังรุนแรงถูกปล่อยออกมา เป็นทิศทางที่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณเบื้องลึก

“ที่แห่งนั้น…มีโลกที่ล้ำลึกกว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอยู่!” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำกับตนเองก่อนเงียบลง

“การจะเรียกพลังจากจักรพิภพอื่นมาได้ ต้องมีพลังปราณระดับจักรวาลเป็นอย่างน้อย… นอกจากนี้ก็ห้ามลืมว่าเขายังมีกระบวนท่าสารัตถะจากเฉินชิงอยู่ด้วย เจ้าหนุ่มนี่…” ปรมาจารย์แห่งไฟเบือนสายตาจากจักรพิภพเบื้องลึกมามองหน้าจอเบื้องหน้าตนเอง และจ้องหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาพินิจพิเคราะห์

มีบางอย่างที่ตื่นขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าเช่นกัน ที่ใต้ดินลึกลงไปในดาวเคราะห์เอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในโลงศพยักษ์สีดำ หน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่บนร่างที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นเล็กน้อย ราวกับกำลังตื่นขึ้น

แน่นอนชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรมาจารย์แห่งไฟและแม่นางน้อย เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทิ้งระยะห่างจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีอันตรายกำลังตามติดมาไม่ห่าง ชายหนุ่มขยับตัวไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ระยะไกลออกไป เขาทำซ้ำๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่หยุดพัก กระนั้นภัยอันตรายที่จ่อมานั้นก็ไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด และยังคงอยู่อย่างนั้นแม้เขาจะใช้กระบวนท่าสารัตถะเปลี่ยนรูปร่างของตนไปอีกครั้งก็ตาม หวังเป่าเล่อยังรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเป้า ความรู้สึกนั้นไม่ได้น้อยลงแม้แต่นิดเดียว แต่กลับเพิ่มมากขึ้นทุกที

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวาย เขาพุ่งพรวดไปข้างหน้า ดวงตาหรี่เล็ก สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็โบกมือเรียกเสียงระเบิดจากท้องฟ้าเบื้องบนเพื่อปล่อยพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาไม่รู้จบ มันยืดขยายออกตามคำสั่งของชายหนุ่ม และกลายร่างเป็นเขาอีกคนหนึ่ง

ด้วยพลังอำนาจนี้ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้ายบางสีแดงที่ปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบได้ และด้ายนั้นแปะติดตัวเขาอยู่!

ดูเหมือนว่าด้ายสีแดงจะงอกออกจากกายของเขา มันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก ฟันเฟืองในสมองหมุนวนบ้าคลั่ง เขารู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางหนีพ้นไปได้ ตราบใดที่ด้ายแดงนี้ยังแปะติดอยู่กับตัว ไม่ช้าก็เร็วศัตรูก็จะตามมาทันในที่สุด เขามีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น

เขาจะหนีต่อไปก็ได้ และพยายามซื้อเวลาจนกว่าจะหมดสองชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตอนนั้นภารกิจนี้ก็จะจบสิ้นลง และหน้ากากจะเคลื่อนย้ายเขาไปสู่ที่ปลอดภัย

หรือว่า…เขาจะรออยู่ตรงนี้เพื่อสู้จนตัวตาย หากชนะ…เขาก็รู้สึกได้ว่าการต่อสู้นี้จะทำให้ตนบรรลุขั้นปราณ แต่หากแพ้ ก็จะหมดสิ้นซึ่งลมหายใจ!

ชายหนุ่มไม่ได้ใช้เวลาตัดสินใจมากนัก แววความดุร้ายบ้าคลั่งสว่างวาบขึ้นในดวงตาทันที เขาเลือกทางเลือกที่สองโดยไม่ลังเลแม้แต่ร้อย ทางเลือกแรกนั้นมีโอกาสมากที่สุดท้ายแล้วเขาจะหนีไปไม่พ้น และเมื่อคู่ต่อสู้ไล่มาทัน เขาก็ต้องสู้อยู่ดี

หวังเป่าเล่ออยากต่อสู้ในสมรภูมิที่ตนเองยังไม่เหนื่อยล้าสิ้นแรงจากความพยายามหนีตายมากกว่า… เขายอมโจมตีตอนนี้และสู้จนตัวตายในขณะที่ยังพอมีกำลังต่อกรไหว!

ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน! ความบ้าคลั่งเข้าครอบครองดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยุดหนี หันหลังกลับ และปลดภาพมายาที่ครอบร่างของตนเองไว้ออกจนหมดสิ้น หน้ากากสุกรปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นวาดสร้างผนึกฝ่ามือ ก่อนทำตามวิธีปล่อยคำสาปซึ่งปรมาจารย์แห่งไฟสอนไว้ เพื่อปล่อยพลังคำสาปของหน้ากากออกมา!

แต่เขาต้องใช้เวลาในการตั้งคำสาป หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะปล่อยคำสาปออกไปได้ทัน เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้ากากขณะที่ชายภายใต้หน้ากากยังสร้างผนึกฝ่ามืออย่างไม่หยุดยั้ง เส้นเลือดค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมทั้งหน้ากาก กลายสภาพเป็นดอกไม้สีเลือด!

ดอกไม้นั้นมีทั้งหมดเจ็ดกลีบด้วยกัน แต่ละกลีบมีใบหน้ามนุษย์ประทับอยู่จางๆ ใบหน้าแต่ละหน้าแสดงอารมณ์ทั้งเจ็ดที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สุข โกรธ เศร้า ไปจนถึงปีติยินดี ภาพดอกไม้ทั้งเจ็ดที่สร้างจากเส้นเลือดนี้ดูน่าสยดสยองเป็นอันมาก บนหน้ากากมีรูสองรูให้ตามองเห็นได้ เบื้องหลังรูคือดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ลุกโชติช่วงเป็นประกาย

หวังเป่าเล่อจัดการให้แน่ใจว่าคำสาปพร้อมใช้งาน จากนั้นก็ยกมือซ้ายชูขึ้นในอากาศเพื่อสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มตามคำสั่ง

แต่ยังไม่จบแค่นี้ ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในสมอง พร้อมเปลวไฟสีดำที่สว่างเรืองจากร่างกายและพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน มันคือเปลวไฟสีดำของสำนักแห่งความมืดนั่นเอง!

ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว หวังเป่าเล่อทำลมหายใจให้สงบมั่นคง ดวงตาสว่างวาบด้วยความต้องการสังหาร คำสาปนี้จะช่วยทำให้พลังปราณของคู่ต่อสู้อ่อนแอลง เปรียบเสมือนพลังเทพจากสวรรค์เบื้องบน พลังนี้จะทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายได้แม้กระทั่งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์!

พลังทำลายล้างจากวิชาดวงเนตรปีศาจเปรียบเสมือนพลังแห่งผืนดิน ทำให้เขาครอบครองอำนาจราวกับเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!

ความบ้าคลั่งโหดเหี้ยมที่วิ่งพล่านอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อคือเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นที่มนุษย์พึงมี ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เขาสามารถทำให้มหาสมุทรเหือดแห้งจากพื้นโลก และบังคับให้น้ำทะเลไหลเข้าท่วมสวรรค์ได้!

แรงระเบิดไร้เสียงอุบัติขึ้นรอบกายเขา พลังจากแรงระเบิดกวาดเอาเมฆให้เคลื่อนกลับ ส่งแรงกระเพื่อมให้ไหลบ่าไปทั่วปฐพี ชายหนุ่ม…ได้สร้างสมรภูมิแห่งความตายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!

พลังลึกลับไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณสนามรบ พลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออาจรู้สึกได้ แต่ก็มีใครบางคนใช้อำนาจที่ตนเองมีปัดป้องมันออกจากประสาทสัมผัสของชายชรา ชายที่กำลังคลั่งด้วยความแค้นไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าเบื้องหน้ามีอันตรายร้ายแรงรออยู่!

ผู้ที่เข้าแทรกแซงก็คือปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังมองดูชายหนุ่มผ่านหน้าจอนั่นเอง เขาเห็นแล้วว่าหวังเป่าเล่อเลือกทางเดินที่อาจทำให้ตัวเองตายได้ หลังจากที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของชายหนุ่ม ปรมาจารย์แห่งไฟก็อดไม่ได้ที่จะชอบในตัวชายหนุ่มมากขึ้น ดวงตาของเขาสว่างไสวด้วยความชื่นชม

“ต่อให้ตัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนุ่มนี่กับจักรพิภพอื่นและเฉินชิงออกไป…ความบ้าดีเดือดของหมอนี่ก็ควรค่าแก่การชื่นชมอยู่ดี เช่นนั้นแล้ว…ข้าจะช่วยเจ้าครั้งนี้ครั้งเดียวก็แล้วกัน มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ได้หรือเปล่า หากครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จ อนาคตของเจ้าย่อมโรยไปด้วยกลีบกุหลาบแห่งโอกาสมากมายที่พร้อมจะเบ่งบานให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

 ……………………………