ไม่สามารถประเมินได้
ภายใต้การจับตามองของผู้คน ซูจิ้งได้ทำการดึงผ้าคลุมสีดำที่ปิดสมบัติชิ้นที่สามของเขาไว้
แสดงให้เห็นเหยือกแก้วเล็กๆเหยือกหนึ่ง และภายในเหยือกนั้นมีสิ่งๆหนึ่งอยุ่ข้างใน
นั่นคือหยกในรูปทรงหนู ทันทีที่ทุกคนเห็นได้พูดถึงเจ้าหนูหยกตัวนี้ทันที
หนูหยกตัวนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ หนูตัวเป็นๆนั้นปกติจะมีขนาดน้อยกว่าเจ้าหนูตัวนี้ซักครึ่งหนึ่งได้
น้ำหนักของหนูหยกตัวนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณครึ่งกิโลกรัม มันดูเหมือนมีชีวิตเช่นเดียวกับของสองชิ้นก่อนหน้านี้
สีของเนื้อหยกดูค่อนข้างขาว เมื่อจ้องมองแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น เนื้อหยกเองก็ดูดีมีคุณภาพ
อย่างไรก็ตามภายในหนูหยกนี้ ดูเหมือนจะมีสีแดงเข้มๆเป็นเส้นๆอยู่ข้างใน
มันเหมือนมีเส้นเลือดกำลังหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ข้างในจริงๆ ทำให้มันดูค่อนข้างน่ากลัวอยู่บ้าง ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็ยังดูน่าตื่นตาจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
“นี่มันนนน น่าจะเป็นหยกฮิเทียนใช่รึเปล่า”
“คิดว่าใช่นะ และดูเหมือนไม่ใช่เกรดธรรมดาแต่เป็นเกรดชั้นสูงสุดซะด้วยซิ”
“แล้วทำไมเจ้าหนูหยกตัวนี้มันถึงดูเหมือนสีเลือดเลยหล่ะ(หยกฮิเทียนปกติจะสีขาวไปถึงเหลือง)”
“หยกนี่ ไม่ใช่ว่าเป็นหยกเลือดในตำนานนั่นหรอกรึ”
“ช่างแกะสลักที่แกะเจ้าหนูหยกตัวนี้ช่างสุดยอดจริงๆ ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก”
“ลองดูเส้นขนของมันสิ ไหนจะดวงตานี่อีก ถ้าให้บอกว่าเป็นหนูจริงฉันก็เชื่อนะ”
“สิ่งนี้ควรจะเป็นผลงานจากช่างแกะคนเดียวกับงานแกะสลักหินก่อนหน้านี้ ถูกต้องรึเปล่า”
ทุกคนในต่างนี้ต่างรู้สึกตื่นตะลึงอีกครั้ง รวมไปถึง ผู้อาวุโสเซี่ย หลิวฮง เต๋าฉินจู และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกโง่งมขึ้นมาในทันที
นั่นก็เป็นเพราะว่า อย่างแรก วัตถุดิบที่ใช้แกะเจ้าหนูตัวนี้ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบเกรดสูงสุด ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่พบร่องรอยการแตกหรือหักเลยแม้แต่น้อย
อย่างที่สองขนาด เจ้าหนูนี่ถือว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับหยกฮิเทียนที่สามารถพบได้ทั่วๆไป เท่าที่รู้อย่างน้อยๆก็ไม่ค่อยได้เห็นก้อนขนาดนี้ในท้องตลาดซักเท่าไหร่
อย่างที่สาม ช่างแกะสลักที่แกะสลักหนูหยกตัวนี้สมควรจะมีเทคนิคท้าทายสวรรค์และเป็นคนที่พิเศษจริงๆ
ช่างแกะสลักคนนี้สามารถแกะหยกไปรูปสัตว์ได้อย่างเหมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นรอยโค้งของเส้นขนที่ละเอียดแบบถี่ยิบเหมือนแกะออกมาในทุกเส้นขนที่หนูตัวหนึ่งควรจะมี
ต้องอย่าลืมว่านี่คือหยก กว่าจะแกะสักเส้นได้ต้องพิถีพิถันอย่างมาก นี่ยังไม่รวมถึงเส้นหนวด และหางที่ยาวนั่นอีก
ต้องมีการแกะหยกทิ้งไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่เพื่อให้ได้เส้นหนวดและหางเล็กๆพวกนั้น
แต่ถ้าทำแล้วมันดูเหมือนจริงขนาดนี้ก็คงบอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าแล้ว
และที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดนั่นก็คือเส้นเลือดที่อยู่ข้างในหยกหนูนี้ หยกก้อนนี้ดูเหมือนจะเป็นหยกเลือดจริงๆ แถมรอยเลือดพวกนี้ยังดูเชื่อมต่อกันจะดูเหมือนเส้นเลือดเลย ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจสุดๆ
“ตาแก่เซี่ย นี่คือหยกเลือด(หยกเลือดพันปี)นั่นใช่รึเปล่า” หลิวฮงเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าจะใช่นะ แถมดูๆไปแล้วยังไม่แห้งดีซะด้วย แต่มันก็ยังดูแปลกๆอยู่ดีที่สีแดงพวกนี้เชื่อมต่อกันจนเป็นเส้นๆแบบนี้” ผู้อาวุโสเซี่ยรู้สึกว่าใช่หยกพันเลือดในคำบอกเล่าเหมือนกัน เขารู้สึกขอบคุณหลิวฮงที่ทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“นั่นสิ ถ้าเป็นหยกเลือดพันปีนั่น สีแดงสมควรจะซึมจากข้างนอกเข้าไปข้างใน แต่เจ้าหยกเลือดก้อนนี้สีแดงได้แพร่กระจายไปทั่วแบบทั่วถึงจนดูแทบจะเท่ากัน แถมวางตัวเป็นเส้นเหมือนเส้นเลือดอีก ช่างน่าประหลาดเสียจริง” ชายแก่อีกคนพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“แต่เจ้าเส้นเลือดพวกนี้ทำให้หยกดูดีมากเลยนะ” เต๋าฉินจูพูดออกมา
“อะไรคือหยกเลือดพันปีคะ” เฉียนหยินหนิงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ที่มันถูกเรียกว่าหยกเลือดพันปีนั้นก็เพราะว่าหยกตามธรรมชาตินั้นไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามหากมันมีสีแดงก็ถือได้ว่าคือหยกเลือดแล้ว
เหตุผลที่ไม่ได้มีการแยกแขนงออกไปตามคุณภาพหยกอีกทีนั่นก็เพราะว่าหยกเลือดนั้นหายากมากๆ
แม้แต่ในวงการหยกหรือวงการของเก่าเองน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นมัน และส่วนใหญ่จะเป็นหยกโบราณที่อยู่ในผืนดินที่ลึกมากๆ จนบางคนเรียกสีแดงพวกนี้ว่า “เลือดจักรพรรดิ์”
หยกโบราณพวกนี้เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง โดยพวกเขาได้เรียกหยกพวกนี้ว่าหยกเลือดจักรพรรดิ โดยพวกเขาชื่อว่าหยกพวกนี้ก่อเกิดมาจากเลือดของจักรพรรดิ์ที่เน่าเสียจนก่อรูปขึ้นมาเป็นหยก
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจนเกินไป
หากพูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เลือดจริงๆนั้นเมื่อเสื่อมสลายแล้วจะกลายเป็นสารประกอบคาร์บอนและย่อยสลายหายไป ไม่มีทางซึมเข้าไปในเนื้อหยกได้
ที่พอเชื่อได้ก็จะเป็นหยกที่เกิดการออกซิเดชั่นกับธาตุประกอบของเหล็กในดินหรือรงควัตถุอื่นในดินจนทำให้เป็นสีแดงเหมือนเลือด
ถ้าจะให้พูดความจริงล่ะก็ที่เลือดสิ่งมีชีวิตเป็นสีแดงก็เป็นเพราะมีธาตุเหล็กจำนวนมากในเลือดเช่นเดียวกัน
และที่มันเปลี่ยนสีได้นั่นก็เพราะว่าเลือดเหล่านั้นเกิดการออกซิไดซ์กับอากาศจึงเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลดำไป ” ผู้อาวุโสเซี่ยบรรยายออกมา
“หยกเลือดมีค่าขนาดนั้นเลยหรือครับ” หลิวฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย
“แน่นอน ถ้าจะให้พูดว่ามันมีค่ายังไงนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องของสีแดงพวกนี้
หยกเองก็มีสิ่งที่เรียกว่าเนื้อของหยกอยู่เหมือนกัน
การที่สีแดงพวกนี้จะเกิดขึ้นได้จำเป็นจะต้องเกิดการออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ เมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวคงที่แล้ว ออกซิเจนถึงจะส่งต่อไปยังพื้นที่ที่ยังไม่เกิดปฏิกิริยา
ซึ่งแน่นอนว่าสีแดงเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยเริ่มจากพื้นผิวของหยกแล้วค่อยๆซึมลึกเข้าไปข้างใน
ถ้าหยกชนิดนั้นเป็นหยกเนื้อละเอียด สีแดงเหล่านั้นก็จิ่งใช้เวลานานในการก่อเกิด หยกก้อนเล็กบางก้อนยังใช้เวลานับพันปีถึงจะกลายเป็นสีแดงได้หมดทั้งก้อน
มันจึงถูกเลือดว่าหยกเลือดพันปี บางคนก็คิดว่าสีแดงของมันดูน่ากลัว แต่ส่วนใหญ่นั้นต่างหลงใหลในความสวยงามของสีแดงพวกนี้ ทำให้ยิ่งสีแดงเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากทุกคนได้ยินแล้วจึงพอเข้าใจเรื่องหยกสีแดงที่แสนประหลาดนี้ขึ้นมาบ้าง
และเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้พอสมควร
สีแดงพวกนี้สมควรเป็นสีแดงที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของธาตุเหล็กที่ซึมเข้าไปเมื่อตอนยังเคยฝังอยู่ในดิน
และปกติควรจะเริ่มแดงจากผิวหยกเข้าไปข้างใน
แล้วววว ทำไมเจ้าหนูนี่ด้านนอกถึงไม่เป็นสีแดงเข้มก่อนหล่ะ และทำไมสีแดงภายในของมันถึงเป็นเส้นเหมือนเส้นเลือดแบบนี้
หลังจากฟังคำของผู้อาวุโสเซี่ยแล้ว ซูจิ้งก็เริ่มคิดไม่ตกขึ้นมา ความจริงแล้วเหตุผลที่เขานำเจ้าหนูหยกนี่มานั่นก็เป็นเพราะว่าเขาอยากรู้ว่าในโลกนี้พอจะมีของแบบนี้บ้างรึเปล่า
เพราะว่าเขารู้ดีว่าหนูหยกตัวนี้ไม่ได้ทำมาจากหยกเลือดพันปีในตำนานอย่างแน่นอน ถ้าจะบอกให้ถูกคือหยกหนูตัวนี้มันคือหนูจริงๆ
ถึงมันจะฟังดูแปลกไปซักหน่อยแต่ในตอนที่ซูจิ้งให้หนูทดลองทั้ง 5 ตัว และแสดงผลออกมาสามตัวนั้น
ตัวหนึ่งได้รับยาแปลงโฉมเข้าไป
อีกตัวหนึ่งได้รับเบอร์รี่น้ำแข็งเข้าไป
ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นเจ็บปวดทรมานและสิ้นลมไปตอนไหนซูจิ้งก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากนั้นซักพักซูจิ้งได้เข้ามาติดตามผลเพราะคิดว่ามันยังชีวิตอยู่ ปรากฏว่าเจ้าหนูนั่นได้เปลี่ยนไปกลายเป็นหยกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือเจ้าหนูหยกที่อยู่ตรงนี้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหยกหนูชิ้นนี้ถึงได้ดูดีมีชีวิตชีวา นั่นเพราะมันไม่ได้มาจากการแกะสลักแต่เป็นหนูจริงที่กลายเป็นหยก ส่วนสีแดงที่เห็นนั่นก็คือเส้นเลือดของเข้าหนูนั่นจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันได้กลายเป็นหยกตามไปด้วย
ส่วนนี่คือเหตุผลที่เหล่าผู้วิเศษในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นถึงไม่ละโมบโลภมากในทรัพย์สินเงินทอง
นั่นก็เพราะว่า แค่เทผงแบบนี้ลงไปบนก้อนหินก็สามารถเปลี่ยนเป็นอัญมณีก้อนใหญ่ได้ง่ายๆ
“ผู้อาวุโสเซี่ยแล้วเจ้าหนูตัวนี้….” เฉียนไจบิงเอ่ยถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสเซี่ยเองสุดท้ายก็ไม่สรุปผลไม่ได้ หลังจากที่พรรณนามาตั้งมากมายต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลาย
บ้างคือเพื่อน บ้างคือพนักงานของที่นี่ บ้างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่นเอง พวกเขาจึงตัดสินใจเข้ามาร่วมให้ความเห็น
พวกเขาค่อยๆช่วยกันตรวจสอบตามหลักแนวคิดต่างๆทั้งในเรื่องที่ตนเองถนัดและตามที่ผู้อาวุโสเซี่ยได้กล่าวมาในก่อนหน้านี้
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สรุปได้ว่ามันไม่สามารถประเมินผลได้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่สามารถเจาะเข้าไปเพื่อตรวจวิเคราะห์ หรือสะกิดผิวด้านนอกเพื่อตรวจสอบ
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มั่นใจแล้วแน่นอนว่าหยกนี่คือหยกเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อไม่รู้เหตุแห่งการณ์ก่อกำเนิดหยกเลือดในลักษณะจึงไม่อาจประเมินราคาได้อย่างถูกต้อง
เอาจริงต่อให้รู้ที่มาหรือเหตุแล้วก็ประเมินมูลค่าไม่ได้อยู่ดี เพราะเจ้าหนูหยกสีแดงเลือดตนนี้มีตัวเดียวในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย