เพื่อนเก่า
หลังจากที่สมบัติทั้งสามของซูจิ้งได้อวดโฉมต่อสายตาผู้ร่วมงานพิพิธภัณธ์จนหมดแล้ว เหล่าผู้ร่วมงานเองต่างก็ตกตะลึงมากขึ้นไปอย่างเป็นระดับและในตอนนี้เหล่าผู้ร่วมงานต่างกับจับจ้องไปยังสมบัติทั้งสามโดยไม่อยากจะไปดูชิ้นอื่นอีก ประหนึ่งดั่งไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เห็นเลยแม้แต่น้อย เหมือนอยากจะเก็บของทั้งหมดใส่กระเป๋าเอากับไปบ้านซะเดี๋ยวนั้น บางคนเอากล้องมือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายให้ได้ทุกมุมเท่าที่จะถ่ายได้
พอคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ยอมขายของทั้งหมดในตอนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะทิ้งนามบัตรเอาไว้ให้เขาแทน โดยในนามบัตรนั้นได้เขียนชื่อสมบัติพร้อมราคาเอาไว้เพื่อว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ซูจิ้งเองก็เลือกที่จะปฏิเสธที่จะรับนามบัตรนี้ทุกคนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งเล็กๆขึ้นได้
“อาจิ้ง ถึงแม้ในพิพิธภัณฑ์นี้มีสมบัตรอยู่มากมาย แต่ดูเหมือนจะเทียบกับสมบัติสามชิ้นของนายไม่ได้เลยนะ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมาพร้อมสายตาชื่นชม
“ผู้อาวุโสเซี่ยก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ สำหรับผมแล้วแจกันเกลียวชมพูสมัยราชวงศ์ชิงใบนั้น กับมีดเหน็บเอวของจักรพรรดิสมัยราชวงศ์ชิงเล่มนั้นถูกใจผมมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแจกันใบนั้นเป็นใบที่ผู้อาวุโสเชี่ยเป็นผู้คนพบเอง ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่สมบัติของผมนั้นผมไม่ใช่ผู้ค้นพบแค่หามาส่งต่อไปแค่นั้นเอง ความสำคัญต่างกันเยอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาแบบนั้นนั่นก็เพราะว่าถ้าพูดถึงความหายากของสิ่งของนั้น ของๆเขาย่อมหาได้ยากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพูดถึงความสำคัญและความรู้สึกแล้ว ของที่อาวุโสเซี่ยนำออกมาจัดแสดงนั้นย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามากมายนัก แม้แต่สมบัติของซูจิ้งก็ยากที่จะเทียบได้
“อาจิ้ง นายบอกไม่ได้จริงๆหรอว่าสมบัติทั้งสามนั่นมีที่มายังไงกัน” มู่หรงฉินเองก็ยังคงสงสัยอยู่ดี
“เอาเป็นอย่างที่หลิวฉิงบอกแล้วกันครับ ผมก็แค่ไปเจอแล้วเก็บมาแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นั่นทำให้ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน หลิวฮง เฉียนไจบิง เฉียนหยินหนิง และคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเหลือกตามอง สิ่งที่เขาเอามาแสดงนั้นล้วนแล้วแต่น่าเหลือเชื่อ แต่เขากลับทำเหมือนกับพวกมันเป็นแค่ของธรรมดาสามัญไม่หวังชื่อเสียงที่เป็นผู้ค้นพบ
หลังจากนั้ซักพักเหล่าผู้คนทั้งหลายก็พยายามที่จะเปลี่ยนเป้าหมายโดยเริ่มที่จะมองไปยังสมบัติชิ้นอื่นในพิพิธภัณฑ์แล้ว ทันใดนั้นหนุ่มหล่อก็ได้เดินเข้าไปหาหยินหนิงและไจบิงพร้อมพูดว่า “คุณเพื่อนร่วมห้องเฉียนหยินหนิงและคุณพี่ใหญ่เฉียนไจบิง ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ ช่างเป็นโชคชะตาจริงๆ”
“สวัสดี” เฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ซูจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หนุ่มหล่อหันไปทักทายซูจิ้งพร้อมยกมือขวาขึ้นเล็กน้อยเพื่อจับมือทักทาย ซูจิ้งเองก็ตกใจเล็กน้อยพร้อมกำลังระลึกชาติอยู่ คนๆนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องงั้นหรอ เดี๋ยวนะเขารู้จักชื่อหยินหนิงเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องในมหาวิทยาลัยรึเปล่า
“สวัสดี” ซูจิ้งเองก็กล่าวทักทายตามธรรมเนียมในขณะที่กำลังนึกชื่อให้ออก เขาเองก็รู้สึกดีเล็กน้อยที่ได้เจอเพื่อนเก่าบ้าง แต่นึกยังไงเขาก็ยังนึกไม่ออก เอาจริงๆเขาไม่ค่อยได้สนใจจะจำเพื่อนร่วมห้องซักเท่าไหร่นัก เพราะในช่วงมหาลัยเองเขาก็มีแต่เรื่องจนรู้จักดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในขณะที่จับมืออยู่นั้นอยู่เขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนมือของเขาถูกบีบ รู้สึกได้เลยว่าหนุ่มหล่อข้างหน้าเขาเหมือนอยากจะเปรียบความแข็งแกร่ง
แรงที่หนุ่มหล่อคนนี้ใช้ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องรู้สึกเจ็บปวดพอสมควรแล้ว มันไม่ใช่การจับมือทักทายธรรมดาอีกแต่ไปแต่เป็นการข่มขวัญศัตรู อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของซูจิ้งในตอนนี้ แรงที่หนุ่มหล่อข้างหน้าเขาบีบมาไม่ต่างอะไรกับแรงของเด็กน้อย
ตอนนี้ซูจิ้งเริ่มจะเซ็งเล็กน้อยแทน เขาเองนั้นไม่เคยอยากหาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีใครเริ่มก่อนเขาก็พร้อมจะสนองไม่ไว้หน้าใคร เขาได้เพิ่มแรงบีบกลับไปทีล่ะน้อยเพราะกลัวอีกฝ่ายบาดเจ็บเกินจำเป็น หนุ่มหล่อตกใจเล็กน้อยในทันที เขาได้พยายามจะเพิ่มแรงเพิ่อตอบโต้ไปบ้าง แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แรงของซูจิ้งในตอนนี้ต่อให้ต้องเจอคนตัวใหญ่กว่านี้บีบก็ไม่ใช่คู่มือของเขาเลย
ซูจิ้งค่อยเพิ่มแรงบีบของเขาเข้าไปอีก ถ้าเขาเอาจริงหล่ะก็คนบนโลกนี้น้อยคนนักที่จะสู้เขาได้ แรงของเขามีมากพอที่จะงอแท่งเหล็กหนาสิบเซนติเมตรได้สบายมือ แต่เขาเองก็ต้องประหลาดใจเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าชายหน้าหล่อคนนี้จะทนแรงของเขาได้
หน้าตาของซูจิ้งในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจและหนุ่มหล่อคนนี้เองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน พวกเขามองหน้ากันก่อนที่จะตัดสินใจถอนมือออกมาพร้อมๆกัน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันใดนั้นหนุ่มหน้าหล่อก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าซูจิ้งจะยังจำฉันไม่ได้นะ ชื่อของฉันคือ ไป๋ฮิตู(ขาว ดอกบัวหรือแม่น้ำ แผนที่,แผนที่ดอกบัว(แม่น้ำ)สีขาว)”
“สวัสดีขาวน้อย(คนจีนชอบใช้เรียกชื่อหมาแมวสีขาว)” เมื่อซูจิ้งพูดออกไป หลิวฉิงถึงกับสำลักน้ำลาย เฉียนหยินหนิงเองก็ยิ้มพร้อมแอบขำออกมาพลางคิดว่า นี่ซูจิ้งเป็นพวกตั้งชื่อเล่นให้คนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“แค้กๆ เอ่อ อื้ม เอ่อ ชื่อขาวน้อยนี่ฉันไม่ค่อยจะได้ใช้หรอกนะ” ตอนนี้ไป๋ฮิตูเริ่มรู้สึกจุกขึ้นมาทันที ความรู้สึกเหมือนซูจิ้งยัดอะไรเข้ามาให้กินจนจุกแทบจะพ่นข้าวในท้องออกมา แต่เขาก็ยังพยายามทำหน้าตาปกติเข้าไว้พลางพูดออกมาว่า “ตอนมหาลัยนั้นเห็นนายกับหวังหยานเจอแต่ปัญหามากมาย ฉันก็คิดว่านายจะจิตตกจนถอดใจไปซะแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปีนายจะประสบความสำเร็จได้จนถึงขนาดนี้ วันนี้สมบัติทั้งสามชิ้นนั่นเปิดหูเปิดตาฉันจริงๆ”
“โฮ่โฮ่ ไม่เลวเลยแหะ” ในขณะที่ไป๋ฮิตูกำลังพูดอยู่นั้น ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาตรวจสอบออร่าของเขา ในขณะที่พูดออร่าของเขาดูเสถียรและสงบนิ่งจนแทบไม่รู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติ แต่ดูเหมือนว่าไป๋ฮิตูเองอยากจะลองใช้มือตีก้นม้าดูบ้าง นี่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมไป๋ฮิตูถึงแรงเยอะขนาดนี้ทั้งที่รูปร่างก็ไม่ใช่
หมอนี่มาจากไหนกัน
ไป๋ฮิตูไม่ได้สนใจซูจิ้งอีกต่อไป เขาหันไปคุยกับฉินหยิงหนิงว่า “เราไปกินข้าวกันซักมื้อได้รึเปล่า ฉันเป็นคนเลี้ยงเอง พอดีฉันรู้จักร้านอาหารดีๆอยู่ใกล้ๆนี้เอง”
“ไม่” เฉียนหยินหนิงตอบปฏิเสะอย่างไร้เยื่อใย หลิวฉิงเองก็จ้องมองไปอย่างไป๋ฮิตูด้วยสายตาเย็นชาอย่างเยือกเย็น เขาเองก็หวังไม่ให้หยินหนิงใส่ใจไป๋ฮิตูซักนิดเดียว
“งั้นเป็นโอกาสหน้าแล้วกัน” ไป๋ฮิตูเองจิตตกไปเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเองก็ยังอ่านบรรยากาศไม่ออก ดูเหมือนเขาจะพยายามชวนในทำนองนี่สองครั้งแต่ไม่เป็นผลก็เลยเดินจากไป
ซูจิ้งสังเกตุเห็นไกลๆว่าไคจิ้งกำลังจะไปห้องน้ำ เขาเลยพูดหลิวฉิงและเฉียนไจบิงถามทางไปห้องน้ำแล้วเดินออกไป
“หยินหนิง ไป๋ฮิตูเองก็ดูดีไม่เลวนะ ทำไมเธอไม่สนใจเขาล่ะ” ไจบิงถามหยินหนิงด้วยรอยยิ้มหยอกๆ
“หึ ไม่รู้สึกว่าดูดีอ่ะ” หยินหนิงหัวเราะหึออกมาแรงจนจมูกเธอขยับเลย
“เธอนี่น้า…. ฉันว่าเธอน่ะหัวสูงเกินไปแบบนี้ จะมีใครต้องตาบ้างเนี่ย”
“จะรีบไปทำไม เรื่องแบบนี้ตัดสินใจครั้งหนึ่งมีผลทั้งชีวิตนะ ว่าแต่พี่เหอะ พี่เองก็ยังไม่มีแล้วจะรีบไล่ฉันไปแต่งงานนี่เพื่อ…..”
“เธอเองก็จะ 24 แล้วนา…. ยังไม่มีคนรักเลย แล้วจะให้ฉันรีบแต่งไปทำไม”
“แค้กๆ” ตอนนั้นเองหลิวฉิงก็ได้กระแอมออกมาเล็กน้อย พร้อมทั้งหายใจเข้าลึกๆพลางพูดออกมาว่า “ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรจะรีบนะครับ ถูกอย่างที่หยินหนิงว่ามานั่นหล่ะ เรื่องแบบนี้เกี่ยวพันไปถึงความสุขทั้งชีวิต ดูอย่างท่านปู่กับท่านแม่ของผมซิ พวกท่านเองก็เร่งอยากให้ผมหาคู่ครองเร็วๆแต่ชีวิตคู่ของพวกท่านก็ไม่ได้ดีซักเท่าไหร่เพราะรีบเร่งแต่งงาน ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ทั้งเฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงเองได้หันไปมองยังหลิวฉิง สายตาของทั้งคู่ทำการประเมินหลิวฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าในทันที ด้วยสายตาแบบนี้ถึงกับทำให้เขาหวั่นไหวพอสมควร เอาจริงๆแล้วพวกเขานั้นก็เพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก แต่เพราะทุกคนดูสนิทกับซูจิ้งทำให้เหมือนกับสนิทกันเองไปด้วยโดยปริยาย
วันนี้หลิวฉิงเองก็เพิ่งจะได้เห็นหยินหนิง ทันทีที่เขาเห็นหัวใจของเขาถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ และหวั่นไหวจนแทบจะทำตัวไม่ถูก ในตอนที่เขาเห็นไป๋ฮิตูพยายามจะเขาหาหยินหนิง นั่นทำให้การตัดสินใจของเขารวนในทันทีจนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังซะก่อนจนเป็นเหตุต้องเสียหน้าในวันนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นซูจิ้งดูสนิทกัน เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะทำตัวสนิทสนมเหมือนกัน เพราะคิดว่าเข้าทางซูจิ้งจะง่ายกว่า
“ฉันก็คิดอย่างนั้นนะ” เฉียนหนิงพยักหน้ารับเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวฉิง นั่นทำให้หลิวฉิงแอบดีใจอยู่เล็กๆ อย่างไรก็ตาม เธอนั้นก็ยังพูดอะไรออกมาที่ทำให้เขาถึงกับชะงักงั้นในทันทีนั่นก็คือ “ถ้าฉันจะหาใครซักคนฉันจะหาคนที่เก่งพอๆกับซูจิ้งให้ได้”
หลังจากได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้าไปอย่างนั้น ก่อนที่จะขอตัวออกมาเดินดูงานรอซูจิ้งฆ่าเวลา ตอนนี้เขานั้นเดินดูสมบัติไปพลางคิดไปพลาง ตอนนี้เขาหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเรียบร้อยแล้ว นี่เธอคิดจะหาคนที่ดีและเจ๋งพอๆกับลูกพี่จิ้งงั้นหรอเนี่ย ความคิดของเธอนั้นสูงส่งจริง ตัวเขานั้นเทียบไม่ได้กับซูจิ้งเลยแม้แต่หนึ่งในสิบส่วนก็ตาม
เฉียนไจบิงก็มองตามหลิวฉิงไปพลางส่ายหัวพร้อมยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปหาเฉียนหยินหนิง เขาเองก็รู้ว่าหยินหนิงเพียงต้องการดูท่าทีของเขาที่มีต่อซูจิ้งแค่นั้นเอง เพราะเธอน่าจะดูออกว่าหลิวฉิงนั้นเทิดทูนซูจิ้งอย่างมาก ถ้าเธอบอกเขาอย่างนั้นแล้วหลิวฉิงเดินจากเธอไป เธอจะไม่มีวันให้โอกาสเขาอีก เอาจริงๆเขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าหยินหนิงนันชอบผู้หญิงรึเปล่าเพราะหาผู้ชายถูกใจไม่ได้ซะที