ลางร้าย
ในห้องน้ำ ไคจิ้งที่เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วและกำลังเตรียมตัวจะออกจากห้องน้ำ เขาเดินไปที่อ่างล้างมือก่อนที่จะออกไป ในตอนนั้นซูจิ้งได้เดินเข้าไปล้างมือที่อ่างข้างๆ เมื่อไคจิ้งเห็นซูจิ้ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาว่า “สวัสดี คุณซู”
“สวัสดีคุณไค” ซูจิ้งยิ้มออกมา
“รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่คุณซูจำผมได้” ไคจิ้งน้อมคำนับเล็กน้อยพลางนึกไปว่าเขานั้นเข้าวงการมาก่อนซูจิ้งก็ถือได้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ แต่ทำไมเขาถึงได้โด่งดังน้อยกว่าซูจิ้งกัน ถ้าให้พูดตามจริงแล้วซูจิ้งไม่ใช่ดาราด้วยซ้ำ แต่ด้วยการที่เขารู้ตัวเองดีว่าภูมิหลังของเขาเลวร้ายมาก การที่สร้างสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งเอาไว้ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยม เพราะถ้าทำได้เขาก็จะได้ช่วยให้เขาไปได้ถึงดวงดาวอีกทางหนึ่ง เคยได้ยินข่าวมาว่ามีดาราคนหนึ่งไปสร้างปัญหาให้กับซูจิ้งจนต้องเข้าคุก และทุกวันนี้เขาก็ยังคงอยู่ในนั้นอยู่
“คุณไคก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ผมเองซะอีกที่เป็นเกียรติที่ได้พบคุณ นั่นก็เพราะว่าคุณไคเองเป็นผู้ที่ได้รับความสนิทสนมจากมนุษย์แมงมุมมาอย่างยาวนาน ผมเองก็อยากรู้จักเขาเหมือนกันก็เลยอยากให้คุณช่วยเหลือผมในเรื่องนี้ซะหน่อย” ซูจิ้งพูดออกไป เขาเล่นละครโดยการถามเขาในสิ่งที่ทุกคนก็ถามเขาในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสำหรับไคจิ้งแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร และไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าตัวจริงของมนุษย์แมงมุมคือเขา
“ขอโทษด้วยครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมก็อยากนะแต่เพื่อนผมคนนี้ไม่อยากถูกใครรบกวน” ไคจิ้งยกมือทำท่าปางห้ามญาติก่อนที่จะบอกปฏิเสธออกมา
“งั้นขอถามหน่อยนะครับว่าเป็นไปตามข่าวลือจริงๆรึเปล่าที่คุณเคยเห็นหน้าจริงของมนุษย์แมงมุม” ซูจิ้งถาม
“ถ้าให้เล่าแล้ว ก่อนที่เขาจะถูกเรียกว่ามนุษย์แมงมุมนั้น เขาเองก็เคยเป็นเพื่อนของผมมาก่อน เคยเรียนรู้วิชาปากัวร์ด้วยกัน เขาเองก็ชอบกีฬาแปลกๆอย่างปีนเขาด้วยมือเปล่า หรือทำอะไรแบบสุดขั้ว จนทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นถึงขีดสุด” ไคจิ้งพูดออกมาเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นความจริง
ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาเพื่ออ่านพลังวิญญาณของไคจิ้ง เขาตรวจพบได้ว่าพลังวิญญาณของไคจิ้งมีความผิดปกติอยู่โดยมันไม่เสถียรอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นกำลังโกหกอย่างชัดเจน ซึ่งอย่างๆน้อยก็พอจะสรุปได้ว่าหมอนี่รู้เห็นเป็นใจเรื่องมนุษย์แมงมุมอย่างแน่นอน แต่ว่าไม่รู้ว่าเต็มใจหรือถูกบังคับนี่สิ
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะระวังตัวหน่อยนะ พอนึกว่ามนุษย์แมงมุมนั้นเป็นเพื่อนของคุณ ด้วยการที่เขาเป็นฮีโร่ นั่นย่อมหมายความว่าเขานั้นมีศัตรูอยู่มากมาย และเป็นไปได้ที่คุณอาจโดนลูกหลงไปด้วย” ซูจิ้งได้ชี้แนะเขาตามสมควร เขานั้นก็ทำได้แต่หวังว่าไคจิ้งจะยอมฟังแล้วถอนตัวจากเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
“หึหึ วายร้ายที่ไหนมันจะกล้ามาก่อเรื่องกันหล่ะครับ” ไคจิ้งไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วเขายังตอบกลับซูจิ้งอีกว่า “ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้นจริง มนุษย์แมงมุมเพื่อนของผมก็ต้องมาช่วยเหลือผมอย่างแน่นอน”
“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ” ซูจิ้งทำได้แต่พยักหน้า เขานั้นไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปทำเพียงเดินออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าตอนที่กำลังคุยกันอยู่เมื่อกี้ ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตออกมาตรวจจับพลังวิญญาณของไคจิ้งตลอดเวลา แม้แต่ประโยคสุดท้ายทำให้ซูจิ้งรู้ว่าไคจิ้งมีความมั่นใจในตัวมนุษย์แมงมุมของเขา เพราะพลังวิญญาณของเขาแสดงออกถึงความเสถียร เขาเองก็อยากจะสะกดจิตให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่เขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงอะไรมากมายขนาดนั้น ถ้าพลาดมันไม่ดีกับทั้งตัวซูจิ้งและไคจิ้งเลยแม้แต่น้อย
ซูจิ้งจึงตัดสินใจที่จะเฝ้ามองไคจิ้งต่ออีกหน่อย พลางคิดไปว่าเขาอาจจะไม่ตามเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะยังซะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่ยังไง น่ารำคาญแค่ไหน เรื่องของพวกนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขา ใครก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องจัดการเรื่องของตนเอง
เมื่อซูจิ้งกำลังเดินกลับไปที่เดิม เขาพบหลิวฉิงที่กำลังทำหน้าเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเลยถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหล่ะนั่น”
หลิวฉิงเองก็ได้หันไปมองซูจิ้งพร้อมถอนหายใจยาวๆออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่จิ้ง พี่รู้รึเปล่าว่าพี่ทำอะไรไว้”
“ว่ามาสิ” ซูจิ้งถามออกไปพร้อมความสงสัยที่มากกว่าเดิม
“พระเจ้าทรงโปรด พี่ได้ทำให้มาตรฐานผู้ชายในสายตาของผู้หญิงเพิ่มระดับขึ้นมากกว่าที่ผู้ชายทั่วไปจะไปถึงได้เลยนะ แล้วอย่างนี้จะทำให้ผู้ชายทั่วไปมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน” หลิวฉิงทำท่าสลดลง เขารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ถึงแม้ว่าการที่หยินหนิงจะรู้จักซูจิ้งนั้นโดยปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเขาจะได้มีโอกาสเข้าหาหยินหนิงผ่านซูจิ้ง แต่การที่พวกเขารู้จักกันดีนั้นมันไม่ดีเลยซักนิดเพราะนั่นทำให้รสนิยมด้านผู้ชายของเธอนั้นสูงมากๆ สูงชนิดที่เขาเองไม่มีทางเทียบติด
“โดนปฏิเสธงั้นหรอ” ซูจิ้งจ้องมองไปที่เฉียนหยินหนิงจากระยะไกลแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่าไปพูดเรื่องเศร้าสร้อยอยู่เลยครับ เดี๋ยวผมจะไปหาคนอื่นที่อย่างๆน้อยๆก็ไม่รู้จักพี่ดีเอาดาบหน้าก็แล้วกัน” หลิวฉิงถึงปากจะพูดอย่างนั้นก็ยังคงดูเศร้าสร้อยอยู่ดี
ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ให้กำลังในหลิวฉิงเพราะเขาเองก็รู้จักเฉียนหยินหนิงดี ที่เขาทำมีเพียงรู้สึกชื่นชมในทักษะด้านการมองคนของเธอก็แค่นั้น
ด้วยลักษณะท่าทางของหลิวฉิงนั้นถ้าเป็นการพบกันในครั้งแรก ไม่มีทางที่เขาจะจีบหยินหนิงติดได้เลยซักนิดเดียว เอาจริงๆก็เขาเองก็อยากจะแนะนำให้หลิวฉิงถอยซะดีกว่าถ้ายังถอนตัวได้อยู่
หลังจากนั้นซักพัก เฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงเห็นซูจิ้งเดินตรงมา เฉียนไจบิงก็เลยถามออกไปว่า อาจิ้งเราจะกลับกันแล้วนะ แล้วนายล่ะ
“ผมก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ถ้างั้นเราไปกินข้าวเที่ยงกันหน่อยไหมหล่ะ” เฉียนไจบิงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูจิ้งรู้สึกตกใจในทันที นั่นก็เพราะว่าพลังวิญญาณที่ไจบิงปล่อยออกมานั้นลุกโชนจนบอกได้ว่าเรื่องที่จะคุยกับเขานั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ซูจิ้งจึงได้พยักหน้าพร้อมพูดว่า “งั้นไปกันเลยแล้วกัน”
ซูจิ้งเดินออกจากงานพร้อมๆกับผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน หลิวฮง หลิวฉิง เต๋าฉินจู และคนอื่นๆที่สนิทกับเขา หลังจากนั้น ซูจิ้ง เฉียนไจบิง และเฉียนหยินหนิง ไม่ได้ไปกินข้าวร่วมกับทุกคนแต่แยกออกมาแล้วไปขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง บนรถ เฉียนไจบิงได้นำเอากล่องออกมากล่องหนึ่ง กล่องนั้นค่อนข้างใหญ่และมีจดหมายอยู่ในเต็มไปหมด ไจบิงได้พูดขึ้นว่า “อาจิ้ง ลองดูสิ่งนี้ก่อนสิ”
ซูจิ้งถึงกับหัวหมุนเลยทีเดียว เขาได้หยิบจดหมายขึ้นมาแล้วรีบเปิดอ่านมันอย่างไว เขาขมวดคิ้วในทันที หลังจากนั้นเขาได้เปิดโหมดวิถีแห่งใต้หล้าในห้วงจิตสำนึกของเขาขึ้นมา เขารีบอ่านมันด้วยความรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง เร็วจนเหมือนหยุดนิ่งจ้องมองเฉยๆ
“นายคิดว่าไงบ้าง” ไจบิงถาม
ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเซ็งๆว่า “นี่คือจดหมายที่รายงานเรื่องของฉันทั้งหมดเลยสินะ ว่าแต่พวกมันจะไปไหนต่อ” เฉียนไจบิงเลยพูดต่อว่า “ตามปกติก็จะส่งให้สถาบันป้องกันประเทศ สถาบันป้องกันภัยสาธารณะ ผู้ว่าการเมืองอะไรพวกๆนั้นหล่ะ แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วยังก็ต้องมาจบอยู่ที่สถาบันป้องกันประเทศอยู่ดี ฉันก็เลยเก็บมันเอาไว้เป็นพิเศษ ขอพูดตามตรงเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นคนที่ถูกรายงานจากคนจำนวนมากขนาดนี้เลยทีเดียว นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนอิจฉาริษยานายอย่างมากเลยนะ”
ซูจิ้งในตอนนี้รู้ในทันทีเลยว่าไจบิงต้องการจะสื่ออะไร ถึงแม้ว่าไจบิงจะเป็นทหารยศสูงที่มีอำนาจในสถาบันป้องกันประเทศแต่ก็ไม่ใช่ยศสูงสุด ในตอนนี้เขายังสามารถช่วยซูจิ้งไว้ได้แต่ มันก็อาจจะมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถช่วยซูจิ้งไหวได้เช่นกันเนื่องก็เพราะผู้คนที่ส่งจดหมายรายงานมาเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงคนทั่วไป แต่ยังมีเหล่าคนที่มาจากตระกูลใหญ่ และคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ
ด้วยการที่ว่าระบบรายงานนี้ไม่ต้องเปิดเผยชื่อของตัวเองทำให้บางคนก็ใช้ชื่อจริง บางคนก็ไม่ได้ใส่ บางคนก็ใช้ชื่อปลอม แม้แต่เฉียนไจบิงเองก็ไม่สามารถหาตัวคนส่งรายงานได้ครบง่ายๆ
เฉียนไจบิงเองได้พูดต่อว่า “ฉันกลัวว่าในไม่ช้าฉันจะช่วยอะไรนายไม่ได้แล้ว กลัวว่าต้องทนดูนายโดนเล่นงานเฉยๆ กลัวตะกูลหวังจะเริ่มเคลื่อนไหวหนักข้อขึ้นมา เอาจริงฉันคิดว่านายควรเลิกทำตัวเด่นดังซักพักนะ”
ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็รู้สึกเห็นด้วยขึ้นมาเล็กน้อย ความจริงมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะทำตัวไม่เด่นไม่ดัง แต่ประเด็นคือถ้าเขาทำอย่างนั้นเขาจะไม่มีแหล่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ในการดูดซับ และไม่มีเงินจากการประมูลสมบัติ ถ้าไม่มีพลังงานและเงิน สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ก็จะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ นั่นจะทำให้โลกนี้เข้าสู่ความวายป่วงได้อย่างไม่ต้องสงสับ
หลังจากทำท่าคิดไปซักพักซูจิ้งก็ได้ส่งจดหมายทั้งหมดคืนให้กับไจบิงพร้อมพูดว่า “นอกจากจดหมายที่เขียนชื่อเอาไว้นั้น พวกจดหมายนิรนามทั้งหลายนี่ผมขอได้รึเปล่า
“เธอจะทำอะไรกับพวกมันอย่างนั้นรึ” ไจบิงตกตะลึงจนต้องถามออกไป
“ค้นหาพวกมัน คุณก็เห็นนี่ว่าจำนวนพวกนี้น้อยกว่าจดหมายลงนามอย่างมากเลยนะ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งไจบิงและหยินหนิงเองก็ทำได้แต่เงียบกริบ พวกเขาทำได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าซูจิ้งคิดจะทำอะไรกันแน่แต่ในที่สุดไจบิงก็ได้พยักหน้าพร้อมพูดว่า “จดหมายพวกนี้มันไร้ค่าน่ะ เอาไปเถอะ”