ความหวาดวิตกของคนไร้นาม
หลังจากกล่าวคำลากับไจบิงและหยินหนิงแล้ว ซูจิ้งได้กลับไปที่บ้านพร้อมกล่องที่เต็มไปด้วยจดหมาย เขานั้นไม่ได้ดูรายละเอียดของจดหมายใดๆทั้งสี้น แต่จดหมายของพวกนิรนามแบบนี้มักจะมีลายเซ็นต์อยู่ โดยจดหมายไร้นามเหล่านี้มีรูปแบบที่เหมือนกันอยู่นั่นคือ กระดาษลายนกพิราบ ถ้าไจบิงและหยินหนิงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คงจะต้องมึนพร้อมตกตะลึงในสิ่งที่ซูจิ้งกำลังจะทำ
ซูจิ้งได้หยิบขวดยาออกมาหนึ่งขวด ขวดยานี้เป็นหนื่งในห้าผงยาที่ซูจิ้งได้มาจากห้วงเวลาฯ วิถีแห่งจอมปีศาจ ในตอนแรกซูจิ้งก็ยังไม่แน่ใจในผลของยาตัวนี้ซักเท่าไหร่นักจนกระทั่งในที่สุดเขาก็พบผลทางเวทมนต์ที่ยานี้ทำให้เกิดขึ้นได้ และความวิเศษของมันเองก็ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผงยาตัวอื่นๆเลย
เขาค่อยๆเทตัวยาที่ละเล็กทีละน้อยจนเต็มไปทั่วทั้งฝ่ามือ หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังไฟเผาจดหมายไป หลังจากนั้นเขาก็ได้คลุกผงยาเข้ากับกระดาษจดหมายที่เพิ่งเผาไป ไม่นานนัก กระดาษที่เป็นผงถุลีนั้นดูเหมือนจะมืปีกงอกออกมา พวกมันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างจนดูแล้วท่าทางแข็งแกร่งไม่น้อยเช่นเดียวกับฝูงบินที่ดูทรงอำนาจ และพวกมันทั้งหมดต่างบินไปในทางทิศทางเดียวกัน
ผลจากการใช้ยานี้ ในกรณีหน้าที่ของมันก็คือการทำให้สิ่งของกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและให้พวกมันกลับไปหายังเจ้าของของตนเอง ถึงแม้ว่าจะดีขนาดนั้นแต่มันก็ยังมีข้อจำกัดคือถ้าตกถึงพื้นเมื่อไหร่ พวกมันจะเป็นกระดาษธรรมดา
แน่นอนว่าวิธีแบบนี้ ถึงแม้จะถูกทำลายระหว่างทางมากมายเพียงใด แต่เขายอมเสียเวลาเพื่อจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ไม่ยอมให้พวกไร้นามนี้หลุดมือไปง่ายๆแน่นอน
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
ณ ตึกๆหนึ่งในเมืองฉิงหยุนที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านในเมือง ในสำนักงานที่ว่าการหมู่บ้าน กระดาษเขียนจดปมายจำนวนหนึ่งได้ลอยมากองอยู่บนโต๊ะของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนๆนั้นรู้สึกประหลาดใจในทันที เขานั้นได้รีบเดินไปส่องดูที่หน้าต่างแต่ก็ไม่เจอใครซักคน เขาได้หยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นมา จัดการขยำแล้วโยนทิ้งถังขยะไปแต่ เมื่อเขาเห็นลายมือบนกระดาษกับเนื้อหาเขาก็ต้องตกตะลึงในทันที
นั่นก็เพราะเขาพบว่าเนื้อหาในจดหมายนั่นคือจดหมายที่เขาเขียนรายงานเรื่องของซูจิ้งไปนั่นเอง
“ผู้อาวุโสจางเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เหมือนคุณไม่ดีเลย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรอีก
เขายังคงจ้องมองไปยังจดหมายที่อยู่ในมือเขา ตอนนี้หน้าตาของเขามีการเปลี่ยนสีหน้าอย่างชัดเจน
และดูซีดเซียวไปในทันที แน่นอนว่าจดหมายที่อยู่ในมือเขาคือจดหมายที่รายงานพฤติกรรมของซูจิ้งที่เขาเขียนเองกับมือแล้วส่งให้รัฐบาล
ซูจิ้งกับเขานั้นไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวหรอกแต่เขาเพียงหมั่นไส้ซูจิ้งที่ได้ดีกว่าเขาก็แค่นั้นเอง
ที่เขาเขียนรายงานไปแบบนิรนามนั่นก็เพราะว่าเขาไม่อยากให้ซูจิ้งย้อนกลับมาเล่นงานเขาจึงปิดบังตัวตนไป
แต่ไม่คิดว่าจดหมายนี้จะกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้งซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกจากจะไม่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือซูจิ้งรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่คือการเตือนงั้นรึ
ในเมืองจงหยุนนั้น กระดาษจำนวนหนึ่งได้ร่วงหล่นไปทั่ว นะหน้าแมนชั่นตระกูลซ่ง ซ่งจุนยี่ได้แต่ทำหน้างุนงงเมื่อเห็น เขาได้เดินออกมาหยิบและพบว่าลายมือในจดหมายเป็นเขาแน่นอน เขานั้นได้รับหน้าที่จากผู้นำของตระกูลจ้าวเพื่อติดตามการเคลื่อนไหว แต่ก็อยากให้ตระกูลซ่งไปทำให้ตระกูลจ้าวเริ่มรู้สึกเซ็งอีกแล้ว
ณ หน้าแมนชั่นแห่งหนึ่งในเมืองจงหยุน ได้มีกระดาษที่ร่วงโรยมาจากฟ้าและปลิวไปที่หน้าแมนชั่นแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือแมนชั่นของตระกูลซ่ง ซ่งจุนยี่รู้สึกตกใจทันทีที่เห็น เขาเดินเข้าไปหยิบกระดาษฉบับนั้นขึ้นมา เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยว่าทำไมที่หน้าแมนชั่นของตระกูลถึงได้มีกระดาษปลิวไปทั่วแบบนี้
เมื่อเขาลองดูข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษ ยิ่งทำให้เขานั้นหน้าเปลี่ยนสีไม่ในทันที
เขาจ้องมองในขณะที่มีของเขากำลังสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว
นี่คือจดหมายที่เขาเขียนเรื่องของซูจิ้งเพื่อรายงานไปยังภาครัฐอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเองก็เป็นอีกคนที่มีเรื่องขัดแย้งกับซูจิ้ง ก่อนหน้านี้เจ้าตระกูลจ้าวได้ให้เขาคอยสอดแนมซูจิ้งเอาไว้
ตอนนั้นเขายินดีพร้อมใจที่จะทำแต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกมา เพราะถึงแม้เขาอยากจะแก้แค้นซูจิ้งมากแค่ไหนแต่ตระกูลซ่งยังไงก็ไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ดี
เพราะตระกูลได้ประกาศออกมาแล้วว่าห้ามใครไปก่อกวนซูจิ้งเป็นอันขาด ช่วงนั้นเขาได้สืบเรื่องทั้งหลายของซูจิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความนิยม
คนที่มีความสัมพันธ์ด้วย รวมถึงภูมิหลังชีวิตที่สืบยังไม่กระจ่างดีซักเท่าไหร่ และได้รู้ว่าซูจิ้งได้ทำให้หลายๆคนไม่พอใจ
เขาจึงได้ช่วยเหลือคนพวกนั้นนิดหน่อยโดยการรายงานในสิ่งเขารู้จากการคอยจับตาดูซูจิ้งแล้วรายงานไปยังภาครัฐแบบไม่ประสงค์ออกนามไปยังคนที่ไม่พอใจซูจิ้งรวมถึงบุคคลสำคัญต่างๆ
แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
ซงจุนยี่ในตอนนี้มีสีหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขาได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไป สิ่งที่เขากังวลได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เหล่าผู้คนที่ได้เขียนหมายนิรนามขึ้นมาได้รับจดหมายที่พวกเขาที่เขียนกันขึ้นมาคืนอย่างทั่วหน้า และไม่มีการส่งคืนผิดคนแต่อย่างใด
ชายหน้ายาวคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง เขานั้นอารมณ์ไม่ดีอยู่ในตอนนี้นั่นก็เพราะหวังหยานปฏิเสธที่จะพบเขาและซูจิ้งก็ยังคงตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย แต่เขาก็ยังคิดว่าครั้งนี้ไม่มีใครช่วยซูจิ้งได้แน่นอน
ทันใดนั้นนกพิราบได้บินเข้ามาจากทางหน้าต่างร่อนลงมาบนโต๊ะ เขารู้สึกตะลึง และทำสายตาเบิกกว้างทันทีเขาจ้องมองไปยังตาของนกพิราบตัวนั้น
ในวิลล่าหรูแห่งหนึ่ง เว่ยหยินกำลังหลับไหลอยู่ นกพิราบตัวหนึ่งบินมาลงจอดอยู่บนหน้าของเขา
เว่ยหยินลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เขาหยิบนกพิราบตัวนั้นขึ้นมาอย่างงงๆ เขาหยิบกระดาษที่นกพิราบนั้นนำมา เมื่อเขาอ่านเขารีบลุกขึ้นนั่งในทันทีเมื่อดั่งมีคนเอาน้ำเย็นมาลาดใส่หน้าเขา
ไม่กี่วันต่อมา เหล่าผู้คนที่เขียนจดหมายรายงานเรื่อของซูจิ้งในแบบจดหมายนิรนามนั้น พวกเขาก็ยังคงได้รับจดหมายที่พวกเขาเองเป็นผู้เขียนรายงานอยู่ทีละคนทีละคน พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัวจากสิ่งที่ตัวเองทำลงไป พวกเขาไม่คิดว่าจะทำให้ซูจิ้งโกรธได้ขนาดนี้ ปกติไม่มีใครสามารถติดตามพวกเขากลับมาได้ไม่ว่าจดหมายของพวกเขาตราบใดที่ส่งไปแบบนิรนาม ไม่ว่าจดหมายที่ส่งจะสร้างความเดือดร้อนกับปลายทางยังไงก็ตาม แต่นี้เพียงไม่นานนักกลับเจอตัวซะแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ทุกคนที่รายงานซูจิ้งไปยังทางการแบบนิรนาม ต่างตกอยู่ในสภาวะจิตตกกันเป็นแถว กลัวจนกระทั้งไม่กล้าทำอะไรเลยซะด้วยซ้ำ แถมพวกเขายังกลัว กลัวว่าซูจิ้งจะเล่นงานพวกเขาถ้าหากว่าเรื่องที่เขารายงานออกไปทำให้ซูจิ้งเดือดร้อนอย่างมาก ตอนนี้พวกเขารู้สึกกังวลในเรื่องที่ทำไปแล้ว เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งรู้จักพวกเขาแล้ว เอาจริงๆพวกเขายังคิดว่าจะยังคงส่งจดหมายรายงานไปเรื่อยๆจนกว่าเรื่องจะเกิด แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพวกเขาต่างก็ลุ้นว่า สิ่งตัวเองทำลงไปและคอยลุ้นว่าเรื่องของใครจะแจ็คพอตทำให้ซูจิ้งต้องเคลื่อนไหวจนล่าล้างตระกูล
ตอนนี้รายงานส่วนใหญ่ได้ถูกเก็บกลับมาอีกครั้งโดยฝึมือไจบิ้งเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้สามารถบอกได้ว่าจำนวนจดหมายลดลงอย่างต่อเนื่อง
เฉียนไจบิงได้รีบโทรศัพท์หาซูจิ้งทันทีพร้อมถามออกไปด้วยความตื่นเต้นว่า “อาจิ้ง นายทำอะไรลงไปเนี่ย
ตอนนี้จดหมายร้องเรียนของนายลดลงไปถึง 80.9 เปอร์เซนต์นะ เรื่องแบบนี้ต่อให้มีนักการประชาสัมพันธ์ขั้นเทพแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้เลย”
ซูจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกไปว่า “เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเริ่มสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปล่ะนะ”
เฉียงไจบิงก็ยังถามต่อว่า “บอกมาเถอะน่า นายต้องทำอะไรบางอย่างแน่ๆ”
แต่ไม่ว่าไจบิงจะถามไปยังไงซูจิ้งก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดี จนสุดท้ายไจบิงจึงทำได้เพียงถอดใจเลิกถามไปเอง
หลังจากวางสายซูจิ้งได้หันกลับไปมองจดหมายที่รายงานเรื่องของเขาแบบลงชื่อผู้รายงานเอาไว้
เขารู้จักทุกคนที่รายงานเขาอยู่แล้ว และแน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ได้กลัวว่าซูจิ้งจะทำอะไรพวกเขาได้
ซูจิ้งเลือกที่จะไม่ได้ส่งจดหมายพวกนี้กลับไปหาเจ้าของแต่อย่างใดเพราะว่าส่งไปก็ไม่ได้ช่วยให้ข่มขู่พวกนี้ได้แม้แต่น้อย
ซูจิ้งจำชื่อคนทั้งหมดที่ส่งจดหมายรายงานได้แล้ว บางคนเขาจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมซักหน่อย
แต่เขาก็ยังไม่ตอบโต้คนพวกนี้แน่นอนเพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เขาเพียงแค่จะคอยระวังคนพวกนี้มากกว่าเดิมอีกซักหน่อย
เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ทำอะไรลงไปแล้วจะไม่มีสิ่งรบกวนอย่างเช่นจดหมายพวกนี้คอยกวนใจ
ถึงแม้จะมีบางคนที่เขาจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษก็ตาม แต่ยังไงซะเมื่อจดหมายพวกนี้ลดน้อยลงไป
แล้วพวกจดหมายที่เหลือนั้นสำหรับคนที่รายงานไปดูๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไจบิงน่าจะรับมือได้สบายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามกว่าซูจิ้งจะเสร็จเรื่องก็ปาเข้าไปสองทุ่มเข้าไปแล้ว ก่อนที่เขาจะได้พักผ่อนเขาได้ก็ได้พบว่าตอนนี้มีเรื่องที่เกี่ยวกับเขาแพร่กระจายในอินเตอร์เนตเต็มไปหมด