ตอนที่ 568 ทัศนคติของขุมกำลังใหญ่ ๆ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

นิกายหงส์มังกรตั้งอยู่บนหุบเขาแห่งหนึ่งในดินแดนเทพมายาที่มีชื่อว่า ‘หุบเขาม่านหมอก’ และเป็นหุบเขาที่มีทิวทัศน์ที่งดงามอย่างยิ่ง

ในฐานะขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนนอกเหนือจากตระกูลลับโบราณ นิกายหงส์มังกรจึงมั่งคั่งร่ำรวยและทรงอิทธิพลมาก

หุบเขาม่านหมอกเต็มไปด้วยสภาวะพลังแกร่งกล้าและมีโอสถมากมายควบคู่กับวัตถุดิบระดับสูงจำนวนมาก อีกทั้งยังมีอสูรมายาระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบหุบเขานี้ มันจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะให้ผู้ฝึกยุทธ์อาศัยอยู่เป็นระยะยาว

ในเวลานี้ ภายในหุบเขาม่านหมอก ณ ห้องโถงที่หรูหราโอ่อ่า จอมยุทธ์หลายคนกำลังหารือบางสิ่งบางอย่างกันตามปกติ

“ท่านผู้นำนิกาย เทพมายาคนใหม่ปรากฏกายแล้วขอรับ !”

ทันใดนั้น ศิษย์คนหนึ่งก็พรวดเข้ามาจากข้างนอกและรีบรายงานข่าวด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อย

เทพมายาคนใหม่คือบุคคลที่พวกเขาพยายามตามหามาเนิ่นนานและถือเป็นความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของนิกายหงส์มังกร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้พยายามสืบหาเบาะแส พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่เลย ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ คนผู้นั้นจะปรากฏกายขึ้นมาในเวลานี้

เมื่อได้ยินวาจาของศิษย์ผู้นั้น หลายคนที่กำลังหารือกันก็ตกตะลึงทันทีและหันขวับไปมองบุรุษบนบัลลังก์หลักเป็นตาเดียว

บุรุษผู้นี้คือบุรุษรูปงามที่สวมอาภรณ์สีน้ำเงินและดูเป็นมิตรเข้าถึงง่าย เพียงแต่แท้จริงแล้วเขามิได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก

หลงเทียนเฉียง—ผู้นำนิกายหงส์มังกรเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมและอำมหิต เขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังบรรลุขอบเขตนภาเซียน พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมอย่างยิ่งและตอนนี้เขาก็ถือว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายแห่ง

นอกจากนี้ ความสามารถของเขาก็ยังถือได้ว่าเหนือชั้นกว่าผู้ใด เพราะถึงอย่างไรการที่สามารถพัฒนานิกายหงส์มังกรจนกลายมาเป็นขุมกำลังอันดับต้น ๆ และเหนือยิ่งกว่าขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ของดินแดนได้ แน่นอนว่าผู้นำของมันต้องไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดา

“ในที่สุดก็ปรากฏตัวเสียที ปล่อยให้เราเฝ้ารอมานานเหลือเกิน”

หลงเทียนเฉียงกล่าวเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาตามหาและเฝ้ารอเทพมายาคนใหม่มาเป็นเวลานานและตอนนี้ในที่สุดคนผู้นั้นก็ปรากฏตัวในดินแดนเทพมายาแล้ว

“ท่านผู้นำนิกาย ท่านจะให้ข้าส่งคนไปจับตัวนางมาที่นี่รึไม่ขอรับ ?”

ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเหยียดหยามเล็กน้อย แม้ว่าเทพมายาจะเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ทว่าเทพมายาคนใหม่นี้อายุยังน้อยนักและความแข็งแกร่งของนางก็ไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาด้วยซ้ำ

“ผู้อาวุโสหลงจื้อ ไม่ได้นะขอรับ !”

ทันทีที่สิ้นเสียงของหลงจื้อ ศิษย์ผู้ที่เข้ามารายงานข่าวนี้ก็อดโพล่งออกไปไม่ได้

“ข้างกายของฉินอวี้โม่—เทพมายาคนใหม่ยังมีบุรุษคนหนึ่งที่มีนามว่าหานโม่ฉือ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตนภาเซียนและเป็นตัวตนที่ไม่สามารถประมาทได้ ยิ่งไปกว่านั้น เทพมายาคนใหม่ก็ยังเป็นช่างหลอมระดับปรมาจารย์ผู้ถือครองเพลิงจักรพรรดิและเป็นถึงผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือ หากเราประมาทและชะล่าใจเกินไป เราก็อาจแหวกหญ้าให้งูตื่นและไม่ได้อะไรกลับมา”

เนื่องจากฉินอวี้โม่ไม่ได้พยายามปิดบังข้อมูลแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัวจึงถูกส่งต่อถ่ายทอดไปตามขุมกำลังต่าง ๆ

หลังจากทราบตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ ขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ความแข็งแกร่ง พรสวรรค์และวิธีการรับมือกับผู้คนรวมถึงหานโม่ฉือผู้ลึกลับข้างกายของนางล้วนกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายพยายามสืบหาข้อมูลมา

“อะไรนะ ผู้นำดินแดนเหนืองั้นรึ ?!”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของศิษย์ผู้นั้น หลงจื้อก็ลุกพรวดด้วยความตกใจและใบหน้าของเขาเปลี่ยนกลายเป็นเย็นชาทันที

ไม่แปลกใจเลยที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของฉินอวี้โม่อย่างประหลาดตอนที่พบกันในครานั้น ไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วนางคือเทพมายาคนใหม่ที่เขาเคยเผชิญหน้าในดินแดนหวนหลิง

“หากเป็นเช่นนั้น…หรือว่าการตายของเฟิ่งซีจะเป็นฝีมือของนางเช่นกัน ?!”

ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวเมื่อนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่เทือกเขากายสิทธิ์

“ผู้อาวุโสทุกท่าน เทพมายาคนใหม่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ การท้าดวลครานี้ฝ่ายมารพ่ายแพ้ไปอย่างราบคาบ บรรดาศิษย์ของฝ่ายมารหลายคนก็หลั่งเลือดสาบานตนจงรักภักดีต่อนางและเข้าร่วมกับดินแดนทางเหนือแล้ว คนจากนครหมื่นอสูรที่นำโดยว่านเจียงก็ต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติล้ำค่าไปมากมาย หากเราประเมินความสามารถของนางต่ำเกินไป เราอาจจะเสียท่าและเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ได้”

ศิษย์คนนี้ของนิกายหงส์มังกรก็ถือเป็นบุรุษหนุ่มที่มากพรสวรรค์และเป็นศิษย์สายตรงของนิกายซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกวิชามาโดยตลอด หลังจากได้ยินข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองซิ่งหัว เขาก็เกิดความสงสัยเกี่ยวกับตัวนางเป็นอย่างมาก เทพมายาคนใหม่ผู้ลึกลับและยากเกินหยั่งถึงผู้นี้อาจทำให้ทั้งดินแดนเทพมายาแห่งนี้ต้องสั่นสะเทือนและไม่สงบสุขอีกต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ทว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงผู้สืบทอดของเทพมายาและเป็นผู้ที่ครอบครองกายเทพมายา ไม่มีทางที่นางจะเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาทั่วไป”

หลงเทียนเฉียงยิ้มกริ่มและจู่ ๆ สีหน้าก็บ่งบอกถึงความตื่นเต้น เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้เทพมายาคนใหม่จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมก็คงไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขานัก เห็นทีว่าเขาคงจะคิดผิดไปเสียแล้ว เทพมายาคนใหม่ผู้นั้นดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนิกายหงส์มังกรและพวกเขาจะต้องวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ

“ครานี้เจ้าพวกโง่จากฝ่ายมารเสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึกแท้ ๆ ช่างน่าสมเพชจริง ๆ !”

* 了夫人又折兵 เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก ความหมายคือ การสูญเสียซ้ำสองอย่างในครั้งเดียว

ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวอย่างสาแก่ใจในชะตากรรมของฝ่ายมารที่ต้องเพลี่ยงพล้ำต่อฉินอวี้โม่อย่างน่าอายในครานี้

“เหอะ เจ้าพวกโง่เหล่านั้นคิดว่าคนในดินแดนเทพมายาไร้ฝีมือไร้ความสามารถจริง ๆ หรืออย่างไร แม้หลังจากผ่านเวลาไปนานนับพันปี ความแข็งแกร่งของพวกเขาในตอนนี้จะน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ทว่ามันก็ยังยากที่จะต่อกรกับผู้คนทั่วทั้งดินแดนได้ อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในเมืองซิ่งหัวครานี้ก็ได้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของขุมกำลังเราที่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารเช่นกัน”

หลงเทียนเฉียงแค่นเสียงเย็นชาและรู้สึกสาแก่ใจไม่น้อย คนจากฝ่ายมารทั้งยโสโอหังและไม่ไว้หน้าผู้ใด หากมิใช่เป็นเพราะพวกเขายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง นิกายหงส์มังกรก็คงไม่เสียเวลาร่วมมือกับคนเหล่านั้นแน่

“ท่านผู้นำนิกาย…ข้าคิดว่านิกายหงส์มังกรของเราแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการร่วมมือกับฝ่ายมารอีกต่อไป การร่วมมือกับคนพวกนั้นมีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเราต้องมัวหมองและเสื่อมเสีย อีกทั้งก็ยังทำให้ผู้คนในดินแดนเทพมายาพากันรังเกียจพวกเราไปด้วย”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งอดกล่าวความคิดของตนเองออกไปไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจแน่ชัดว่าเหตุใดนิกายหงส์มังกรจึงร่วมมือกับฝ่ายมารในตอนแรก

“เหอะ หากไม่มีพวกเขา มันก็เป็นเรื่องยากที่เราจะบรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้ !”

หลงเทียนเฉียงแค่นเสียงเย็นชา เขาเข้าใจความเป็นจริงข้อนี้ดี ทว่าฝ่ายมารยังคงมีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่ เขาจึงยังไม่สามารถถอนตัวและตัดขาดความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ได้

“ช่วงนี้เก็บตัวเงียบและส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ก่อนเถอะ รวมถึงสืบข้อมูลเกี่ยวกับจอมยุทธ์นภาเซียนหานโม่ฉือผู้นั้นด้วยเช่นกัน ทว่าการที่เขาใช้แซ่หาน นั่นก็อาจหมายความว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหาน—หนึ่งในสี่ตระกูลลับ ผู้อาวุโสหลงจื้อ ติดต่อไปทางตระกูลหานและสอบถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและบุรุษนามว่าหานโม่ฉือ หลังจากนั้นเราจะได้วางแผนกันต่อไป !”

ผู้นำนิกายหงส์มังกรเป็นคนรอบคอบอย่างยิ่ง ต่อให้จะร่วมมือกับฝ่ายมาร เขาก็ยังเห็นแก่ประโยชน์ของฝ่ายตนเองเป็นที่หนึ่ง ทว่านอกจากตัวเขาก็มีสมาชิกเพียงไม่กี่คนในนิกายหงส์มังกรที่พอจะคาดเดาความคิดของเขาได้

“ขอรับ ท่านผู้นำนิกาย !”

ทุกคนในห้องโถงพยักศีรษะตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน

ณ วิหารทมิฬ ผู้นำวิหารก็ได้รับข่าวเรื่องนี้แล้วเช่นกัน

“โอ้ นางไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ ! ในกรณีนี้ การเปิดเผยตัวตนต่อคนทั้งดินแดนก็ถือว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้กับนางเช่นกัน”

อู่เทียนฉิง—ผู้นำของวิหารทมิฬก็เป็นบุรุษรูปงามเช่นกัน เขาสวมอาภรณ์สีดำลึกลับและมีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงวัยสามสิบต้น ๆ เขาเป็นคนอาจหาญขวัญกล้า ซื่อสัตย์และเป็นที่เคารพของทุกคนในขุมกำลัง

“อย่างที่ข้าเคยกล่าวไว้ สหายน้อยอวี้โม่เป็นสตรีที่ห่างไกลจากคำว่าธรรมดาเป็นอย่างมาก การที่เทพมายาคนใหม่เป็นสตรีเช่นนี้…ถือว่าเป็นผลดีต่อฝ่ายพวกเราจริง ๆ”

อู่ซิ่งยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชมฉินอวี้โม่อย่างไม่ปิดบัง

ก่อนหน้านี้ในดินแดนหวนหลิง เขาทราบอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลย และเวลานี้ทุกอย่างพิสูจน์อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วว่าเขาคิดถูก อีกไม่นาน ฉินอวี้โม่จะต้องกลายเป็นยอดฝีมือระดับแถวหน้าของดินแดนอย่างแน่นอน แม้แต่ผู้นำของขุมกำลังทรงพลังทั้งหลายก็อาจเทียบนางไม่ได้ด้วยซ้ำ

“หานโม่ฉือ—สามีของนางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เขาบรรลุขอบเขตนภาเซียนได้ทั้งที่ยังอายุน้อยเช่นนี้ เมื่อเทียบกับฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของเขาจะยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน เพียงแต่ข้าไม่รู้เลยว่าอัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นนี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใดกัน ?”

อู่เทียนฉิงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหานโม่ฉืออย่างยิ่ง เพราะถึงอย่างไร พวกเขาต่างก็ฝึกยุทธ์มาอย่างยาวนานกว่าที่จะบรรลุพลังในขอบเขตนภาเซียนเช่นปัจจุบันได้ ทว่าหานโม่ฉือผู้นี้กลับบรรลุขอบเขตนภาเซียนทั้งที่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือก็อาจจะไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย บุรุษข้างกายของฉินอวี้โม่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง

“ข้าเหมือนจะเคยได้ยินสหายน้อยอวี้โม่กล่าวว่าเขามีเรื่องบาดหมางบางอย่างกับตระกูลหาน หนึ่งในตระกูลลับขอรับ”

อู่ซิงกล่าวอย่างไม่แน่ใจนัก หานโม่ฉือผู้นั้นก็ทำให้เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าจะเขาเป็นใคร ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสหายของเราและมิใช่ศัตรู”

อู่เทียนฉิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ให้ศิษย์ของเราจับตาดูความเคลื่อนไหวของขุมกำลังอื่น ๆ ไว้ ตอนนี้ตัวตนของฉินอวี้โม่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้ว ขุมกำลังเหล่านั้นไม่ยอมอยู่เฉยแน่ เมื่อมีความเคลื่อนไหวใดก็ให้พวกเขาส่งข่าวกลับมาโดยด่วน”

อู่ซิงรับคำสั่งก่อนเดินจากไป ส่วนอู่เทียนฉิงก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับตัวเอง เขามีลางสังหรณ์ในใจว่าดินแดนเทพมายาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สะเทือนใต้หล้าเพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือทั้งสองคนนี้

“อะไรนะ ?! เจ้ากำลังบอกว่าบุตรชายของเจ้าสองคนนั้นบรรลุขอบเขตนภาเซียนแล้วงั้นรึ ?!”

ภายในมิติเศษ ผู้นำตระกูลหาน—หานชางและบุตรชายของเขากำลังหารือเรื่องบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ขอรับ พลังของหานโม่ฉือแกร่งกล้ามากและอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าน เขาก็รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วเช่นกัน เกรงว่าเขาจะมาชำระแค้นกับเราในไม่ช้า”

คุณชายรองแห่งตระกูลหานกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชังอย่างชัดเจน

หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ เขาก็คงจะจัดการสั่งสอนคนผู้นั้นให้รู้สำนึกไปแล้วและไม่ต้องแบกรับความอัปยศอดสูเช่นนี้

“เหอะ ข้าก็แค่กลัวว่าเขาจะไม่มา !”

หานชางแค่นเสียงเย็นชาและน้ำเสียงของเขาแอบแฝงไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า

“หากเขาบุกมาถึงที่นี่ เขาจะไม่มีวันได้กลับออกไปอีก ! บังเอิญเหลือเกินที่บิดามารดาของเขาก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะไม่ต้องพลัดพรากจากกันอีกและจะได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาเสียที !”

หานชางเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมและชั่วร้าย ในวันนั้นที่ทารกน้อยนัยน์ตาแดงฉานหายตัวไป เขาก็ได้เตรียมใจถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว แต่ทว่า…ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของหานโม่ฉือในวันนี้ยังคงเหนือความคาดหมายของเขา

“อย่าให้บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหานทราบถึงเรื่องนี้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแน่”

เมื่อหานชางนึกถึงเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลที่หัวรั้นเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มเหยเกอย่างเห็นได้ชัด

“เมื่อพี่ใหญ่ของเจ้าออกมา เราจะให้เขาลองทดสอบฝีมือของเจ้าหานโม่ฉือนั่นดูสักหน่อย”

หานชางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแววตาบ่งบอกถึงจิตสังหารแรงกล้า หานโม่ฉือ…ในเมื่อเจ้ากล้าเสนอหน้ากลับมาเหยียบย่ำดินแดนเทพมายาแล้ว อย่ากล่าวโทษที่ข้าจะโหดเหี้ยมก็แล้วกัน !