ตอนที่ 146 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 146 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (3)

             “ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร?” มู่ลี่ไป๋ลังเลอยู่นานจึงคิดอยากถามชื่อของเธอ เธอยิ้ม

            “ที่แท้รุ่นพี่ลืมฉันเร็วจังเลย”

            “หืม?”

        เธอยังคงพูดต่อ “ฉันเรียนมัธยมที่เดียวกับรุ่นพี่ค่ะ ตอนที่รุ่นพี่รับสมัครสอบจำลองด้วยตัวเอง ฉันยังนั่งอยู่ข้างๆ รุ่นพี่เลย”

            มู่ลี่ไป๋จึงนึกขึ้นมาได้ ตอนที่ตัวเองอยู่มัธยมราวกับว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมากมายจริงๆ ตอนนั้นเขายังนึกว่าเป็นการหยอกเล่น เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ คิดซะว่าเป็นการให้ตัวเองได้พักร้อนกับสาวๆ ข้างกายของตัวเอง

            เขาหวนระลึกอย่างละเอียดอีกครั้ง คนที่อยู่ข้างกายเขาเป็นเด็กผู้หญิงงั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงจำได้ว่าเป็นเด็กผู้ชายล่ะ ราวกับว่าเป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเด็กผู้ชายงั้นเหรอ?

            “รุ่นพี่นึกไม่ออก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันชื่อเยี่ยฉิน”

            “คุณก็คือเยี่ยฉินเหรอ?”

            “รุ่นพี่เคยได้ยินชื่อฉันเหรอ?”

            เยี่ยฉิน เขาจะไม่เคยได้ยินได้อย่างไรล่ะ เด็กผู้หญิงที่ถูกเพื่อนร่วมหอเรียกว่าเด็กสาวที่เป็นดาวแห่งคณะวรรณกรรม มีคุณธรรมและความสามารถ ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวคนนี้นี่เอง ราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเข้ากับเธอได้ดีทีเดียว

            ท่าทีธรรมชาติ บุคลิกสง่างาม รวมถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์

            “อืม ใช่แล้ว นักศึกษาแพทย์ผู้ชายหลายคนชอบคุณมากเลย”

            “หา จริงเหรอ?” ดวงตาเธอยิ้มโก่ง ราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่แขวนอยู่บนท้องฟ้า “คณะวรรณกรรมของพวกเราก็มีผู้หญิงหลายคนชอบรุ่นพี่มู่ค่ะ ถ้าพวกเขารู้ว่ารุ่นพี่มาส่งฉันกลับบ้าน พวกเขาต้องอิจฉาฉันตายแน่ๆ เอ่อ จอดตรงนี้ก็ได้ ขอบคุณนะคะรุ่นพี่”

            มู่ลี่ไป๋คิดไม่ถึงว่าระยะทางจะสั้นขนาดนี้ จอดรถข้างทางอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

            “แล้วเจอกันค่ะรุ่นพี่”

            นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่ลี่ไป๋ก็เริ่มให้ความสนใจกับข่าวคราวของเยี่ยฉินภายในหอพัก อย่างเช่นได้รับรางวัลอะไรมา ไปที่ไหนกับเพื่อนๆ นักศึกษามาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง โดยมักจะมีเพื่อนร่วมหอคนหนึ่งที่สามารถเล่าได้ทุกอย่าง มู่ลี่ไป๋รู้สึกโมโหเล็กน้อย รู้สึกว่าการสะกดรอยของเขาแบบนี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อยากให้เขาหยุด เพราะว่าเขาเองก็อยากรู้มากว่าวันนี้เธอทำอะไร อารมณ์เป็นอย่างไร ได้เจอใคร และเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง

            ความอยากรู้อยากเห็นที่เขาแอบซ่อนเอาไว้แทบจะทำให้เขาเป็นบ้าอยู่แล้ว มู่ลี่ไป๋กอดเอกสารการแพทย์เล่มหนาเตอะ อ่านอย่างไรก็ไม่เข้าสมอง เขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้อยากรู้เรื่องของผู้หญิงที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียวมากขนาดนี้

            เขาส่ายหัว ในเวลานี้เพื่อนร่วมหอถืออะไรบางอย่างเล็กๆ เข้ามาด้วยความตื่นเต้นมาก คนที่เหลือเข้ามาห้อมล้อมอย่างสมบูรณ์

            “พวกนายดูสิว่านี่คืออะไร”

            “อะไร อะไรเหรอ”

            “นั่นสิ อะไรน่ะ”

            เขาหัวเราะอย่างลึกลับ ระคนความเจ้าเล่ห์ดีใจอย่างคนโรคจิต แล้วแกะกล่องออกราวกับมันเป็นของล้ำค่าระดับโลก มันคือเครื่องบินบังคับไร้คนขับที่งานปรานีตมาก

            “ชิ เจ้านี่นี่เอง”

            “นายสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

            “เป็นคนแก่อยากย้อนวัยหรือไง?”

            มือของมู่ลี่ไป๋ที่ถือหนังสือออกแรงเล็กน้อย คนอื่นไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ว่ามู่ลี่ไป๋เข้าใจดีว่าเขาเอาเครื่องบินบังคับมาทำอะไร

            “โง่จริง ไม่น่าล่ะทำไมคนในหอของพวกเราถึงยังเป็นโสดอยู่ได้ เครื่องบินบังคับเครื่องนี้แน่นอนว่าไม่ได้เอามาไว้เล่น ฉันเอามาทำอะไรพวกนายก็น่าจะรู้ดี”

            ในสมองของมู่ลี่ไป๋ว่างเปล่า เขารู้สึกว่ามีคนเอาหนังสือของเขากระแทกลงบนโต๊ะเสียงดังปัง ดึงคอเสื้อของเพื่อนนักศึกษาคนนั้นขึ้นมาอย่างแรงเป็นเชิงเตือนเขา อีกทั้งยังเอาสิ่งของไร้สาระนั้นขว้างทิ้งจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาเอาเงินตบหน้าของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง กระแทกประตูปิดแล้วจากไป จนกระทั่งเมื่อเขาได้สติอีกครั้ง ตัวเองก็มาอยู่ที่หน้าห้องสมุดแล้ว

            เขานั่งขมวดคิ้วอยู่บนเก้าอี้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโมโหขนาดนั้น และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องรอในที่ที่เธอผ่านทุกวัน

            “รุ่นพี่” เมื่อเห็นมู่ลี่ไป๋นั่งสีหน้าบึ้งตึงอยู่บนม้านั่ง เยี่ยฉินจึงเดินช้าลงแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหา มู่ลี่ไป๋เห้นเธอแล้วก็ลุกขึ้นต้องการจะจากไป แต่ขากลับแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

            “วันนี้รุ่นพี่อารมณ์ไม่ดีหรือคะ?”

            “มีเรื่องนิดหน่อย”

            “ฉันมีซีดีแผ่นใหม่ รุ่นพี่สนใจจะฟังด้วยกันหรือเปล่า?”

            เดิมทีเขาอยากจะบอกว่าไม่สนใจ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นแววตาที่ตั้งตารอของเธอ คำพูดที่หลุดออกมาจากปากก็เปลี่ยนไปแล้ว “ได้สิ”

            หลังจากที่มีครั้งแรกแล้ว ทั้งสองคนก็ฟังเพลงด้วยกันบ่อยๆ แบ่งปันความคิดเห็นของกันและกัน แม้จะมีบางจุดที่ไม่เหมือนกันก็จะยอมรับอีกฝ่าย มู่ลี่ไป๋เริ่มตั้งตารอที่จะเจอหน้าเธอทุกวัน และพวกเราก็สามารถเจอหน้าได้ทุกวันอยู่แล้ว

            มีครั้งหนึ่ง มู่ลี่ไป๋ไปที่ร้านภาพถ่ายด้วยกันกับเยี่ยฉิน แล้วก็นั่งฟังเพลงอย่างตั้งใจด้วยกันอยู่ในรถของเขา เยี่ยฉินเลี้ยงข้าวมู่ลี่ไป๋เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ระหว่างทางกลับบ้าน เธอลังเลอยู่นานก่อนเอ่ยว่า “รุ่นพี่ พวกเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไหม”

            มู่ลี่ไป๋ปฏิเสธเธอโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย “ไม่ได้”

            ดวงตาของเยี่ยฉินเปี่ยมด้วยความผิดหวัง ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มงดงามไว้ “อืม เพราะฉันรบกวนรุ่นพี่มากไปแล้ว”

            มู่ลี่ไป๋หันมามองเธอ จอดรถข้างทาง จู่ๆ ตาของเยี่ยฉินก็แดง

            เพราะว่าไม่ชอบเธอก็เลยจะปล่อยเธอลงกลางทางงั้นเหรอ ถูกไล่ลงจากรถสู้ลงไปเองเสียดีกว่า เยี่ยฉินสูดหายใจลึก ปลดเข็มขัดนิรภัย ขณะที่กำลังจะหันไปบอกลานั้น ก็มีอะไรบางอย่างอุ่นๆ ประกบริมฝีปากของเธอ รสชาติหอมหวานไหลจากปากไปสู่ทุกส่วนของร่างกาย

            เธอต้องการจะผลักคนตรงหน้าออกไปด้วยความตกใจ แต่ร่างกายกลับถูกเขาล็อคไว้ระหว่างตัวเขากับกระจกรถ จนกระทั่งสองคนหายใจติดขัด มู่ลี่ไป๋จึงปล่อยเธอ

            “คบกับผมนะ”

            เธอพยักหน้าอย่างแรงด้วยสีหน้ามีความสุข มู่ลี่ไป๋กัดริมฝีปากของเธอด้วยความดีใจอีกครั้ง

            ความรักของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันกลับเป็นธรรมชาติมาก พวกเขาก็เหมือนกับคู่รักส่วนใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัย จูงมือกัน ไปเรียน ไปอ่านหนังสือ ไปทำในสิ่งที่ทั้งสองคนชอบทำ ไปออกเดท ไปจูบ ไปตะโกนเรียกคุณน้าที่หอให้เปิดประตู

            มู่ลี่ไป๋กำลังอ่านหนังสือแจ้งการศึกษาต่อต่างประเทศ และแอบตัดสินใจเงียบๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาจารย์คนนั้นที่เป็นห่วงเขารีบไปบอกแม่ของเขาหรือเปล่า เสียงคำรามจึงดังมาจากปลายสาย ทำให้มู่ลี่ไป๋รู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย

            “เพราะเด็กผู้หญิงที่ลูกคบอยู่ตอนนี้ใช่ไหม?”

            “ไม่ใช่ครับ”

            “งั้นเป็นเพราะอะไร ลูกบอกสิ เพราะอะไรถึงได้ยอมแพ้”

            “แม่ ผมไม่ได้ยอมแพ้ เพียงแต่ผมไม่อยากเดินตามทางที่พ่อกับแม่วางไว้ให้ ตอนนี้ผมรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้ว่าตัวเองต้องเดินทางไหน อีกอย่าง ผมคิดว่าทรัพยากรที่นี่ไม่ได้ด้อยกว่าที่มหา’ลัยอื่นเลย ผมไม่มีความจำเป็นต้องไปไกลขนาดนั้นเพื่อชื่อหรอกครับ แม่ไม่เข้าใจเหรอ?”

            “ลูกรู้หรือเปล่าวว่าพ่อกับแม่ลงทุนลงแรงไปมากแค่ไหนเพื่อลูก…”

        “แม่” เขารีบตัดบทเธอ “ผมยังมีเรียน ไปก่อนนะ”

————