ตอนที่ 147 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 147 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (4)

             “จากนั้นล่ะ จากนั้นล่ะ” อี้เป่ยซีกระพริบตาถี่ รอฟังตอนต่อไป

            “จากนั้น จากนั้นเยี่ยฉินก็เลิกกับมู่ลี่ไป๋แล้ว มู่ลี่ไป๋เชื่อฟังยายที่บ้านและเดินทางไปเมืองนอก เหมือนได้ยินว่าเยี่ยฉินเองก็ไปเมืองนอก จากนั้นก็เป็นอย่างที่เธอเห็นนี่แหละ”

            ลั่วจื่อหานเล่าเรื่องในตอนท้ายจบพอเป็นพิธี อี้เป่ยซีมองเขาตาโต ราวกับว่าต้องการหาส่วนที่เขาไม่ได้เล่าจากน้ำเสียงและท่าทางของเขา

            ‘มันง่ายแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ เล่าเรื่องอย่างกับเล่าเรื่องสรุปอย่างนั้นแหละ’ เธอเอียงศีรษะมองลั่วจื่อหานต่อไป มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม

            “เป่ยซี”

            “หืม?”

            “เลิกก็คือเลิกแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรมันก็เป็นแค่ข้ออ้าง เหตุผลประเภทไม่กล้า หรือว่าทำเพื่ออีกฝ่าย ก็คือไม่ได้รักกันมากพอ”

            “แต่เพียงแค่รู้สาเหตุก็จะทำให้พวกเขากลับมาเริ่มใหม่ได้นี่นา ฉันรู้สึกว่า พวกเขายังมีใจให้กันอยู่นะ”

            ลั่วจื่อหานกดๆ ขมับ “นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำแล้ว เรื่องผิดใจเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าจะช่วยพวกเขาก็จะช่วยได้ เรื่องของมู่ลี่ไป๋เขาจัดการเองได้”

            “นาย ไม่ชอบเยี่ยฉินเหรอ?”

            “ฉันก็แค่…” เขามองออกไปข้างนอก “เขาไม่คู่ควรกับความดีของมู่ลี่ไป๋”

            อี้เป่ยซีคว้ามือของลั่วจื่อหาน ซบอยู่ในอกของเขา

            แล้วฉันล่ะ ทำไมฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับนายและไม่คู่ควรกับนายด้วย ตามหาฉันหลายปีขนาดนั้น อยู่กับฉันนานขนาดนั้น ทำเรื่องมากมายเพื่อฉันขนาดนั้น

            ลั่วจื่อหาน ฉันควรจะทำยังไงถึงจะดีกับนาย และทำให้นายรู้สึกพอใจได้นะ?

            “ใกล้จะเปิดเทอมแล้วใช่ไหม” ลั่วจื่อหานถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อี้เป่ยซีพยักหน้า แล้วถอนหายใจ

            “ใช่สิ จะเปิดเทอมแล้ว น่าเบื่อจะตาย”

            “เป่ยซี เธอยังอยากเรียนคณะนี้ต่อไหม? ที่จริงมันไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไร”

            ลั่วจื่อหานนึกถึงตอนที่ติวให้อี้เป่ยซี ทุกอย่างที่เป็นเหตุเป็นผลต่างยุ่งเหยิงและซับซ้อนในสายตาของเธอ การนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ไม่ได้สำคัญต่อกระบวนความคิดของเขามากนัก แต่เขาใช้จินตนาการจากประสบการณ์ในการวิเคราะห์ประเด็นความรู้ เขานวดคลึงศีรษะที่รู้สึกปวดเล็กน้อย แม้จะเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย แต่ว่านิสัยการคิดของเธอมัน…

            มันก็พูดยาก ถ้าเธอเรียนเองก็คงจะทรมานมากสินะ

            “เรื่องนี้น่ะ ที่จริงแล้ว ฉันก็หาไม่เจอเหมือนกันว่าชอบเรียนอะไร” เธอโบกไม้โบกมือ

            เธอคิดว่าเรื่องบางอย่างแค่ตั้งใจเรียนก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ ใครจะรู้ว่าจะมีเรื่องที่ทำเท่าไรก็ไม่เสร็จแบบนี้ แค่รู้สึกว่าของที่สับสนวุ่นวายพวกนั้นจะวางไว้ตรงนี้ก็ได้หรือจะวางไว้ตรงนั้นก็น่าจะโอเคนี่นา ใครจะไปรู้ว่าจะมีเงื่อนไขจำกัดและอันตรภาคมาตรฐานที่มากมายแบบนี้

            ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวจริงๆ

            ไม่เรียนแล้ว ไม่เรียนแล้ว ไปทำสิ่งที่ตัวเองชอบยังจะดีกว่า

            “ฉันจะช่วยจัดการให้เธอ”

            “หา? จัดการอะไร?”

            “สอบย้ายคณะไง จะอะไรอีกล่ะ”

            เธอหัวเราะ “อืม ก็ดีนะ”

            อี้เป่ยซีมองดูขวดใบเล็กสีน้ำตาลที่อยู่เหนือศีรษะ หยดลงมาทีละน้อย ลั่วจื่อหานอุ้มเธอขึ้นมา อี้เป่ยซีซบอยู่บนอกของเขาอย่างเชื่อฟัง

            ทำไมถึงยิ่งมีความรู้สึกไม่อยากจากนายไปไหนมากขึ้นเรื่อยๆ

            “กินอะไรก่อนแล้วค่อยส่งเธอกลับบ้านดีไหม?”

            “ฉันอยากกินกับข้าวฝีมือนาย”

            “ได้ งั้นไปที่บ้านฉันก่อน”

            รถขับมาถึงสถานที่ที่คุ้นเคย หลังจากลั่วจื่อหานเข้าห้องครัวไปแล้ว อี้เป่ยซีก็ค่อยๆ ย่องขึ้นไปชั้นบน ห้องที่เธอเคยอยู่ก่อนหน้านี้ตอนนี้เป็นห้องของเขา มันสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของผู้ชาย เธอนั่งลงบนเตียง มองไปรอบทิศก็รู้สึกว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม จากนั้นก็เดินไปยังห้องวาดภาพแผ่วเบา ลั่วจื่อหานราวกับว่ากำลังเตรียมแข่งอะไรบางอย่าง บริเวณหน้าต่างถูกล้อมรอบด้วยกระดานวาดภาพ

            เธอเดินเข้าไป สเก็ตช์ที่สวยงามนั้นล้วนเป็นบุคคลคนหนึ่ง ภาพขณะนอนหลับ ขณะยิ้มไร้เดียงสา ขณะที่กินข้าว และขณะที่โมโห มันคือการสะท้อนท่าทางของเธอทั้งหมด

            มือของเธอสัมผัสเบาๆ “รูปนี้ไม่เหมือน ฉันยิ้มกว้างแบบนั้นที่ไหนกัน”

            อี้เป่ยซีครุ่นคิดแล้ว รู้สึกว่าควรจะทำให้มันเท่าเทียมกันสักหน่อย แม้ฝีมือการร่างภาพของตัวเองจะไม่ได้เรื่อง แต่ว่าวาดได้คร่าวๆ ก็พอแล้ว เธอหากระดาษขาวแผ่นหนึ่งจากด้านข้าง หยิบอุปกรณ์วาดภาพบนชั้นแล้วขีดๆ เขียนๆ อยู่คนเดียว แสงอาทิตย์ที่ด้านหลังเธอเปลี่ยนองศาแล้ว

            “เป่ยซี” ลั่วจื่อหานเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก ก็เดินเข้าไปที่ห้องวาดภาพโดยตรง พบว่าอี้เป่ยซีกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งที่เขานั่งประจำจริงๆ กำลังแก้ไขอะไรบางอย่างอยู่หน้ากระดานภาพวาด บางทีคิ้วเธอก็ขมวดกัน บางทีก็ผ่อนคลาย บางทีก็บ่นสองสามคำ ในระหว่างที่กำลังติดพันอยู่นั้น แม้เขาเดินเข้าอี้เป่ยซีก็ยังไม่สังเกตเห็น

            “เฮ้อ ทำไงดี วาดลั่วจื่อหานซะขี้เหร่ทุกครั้งเลย” เธอกำลังจะหยิบยางลบขึ้นมาลบ แต่มือกลับถูกบางอย่างกอดเอาไว้แน่น เธอตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้ว

            “ไม่ต้องแล้ว มันสวยมากเป่ยซี ฉันก็หล่อมากด้วย”

            “นายรังเกียจที่ฝีมือฉันแย่มากใช่ไหม?”

            “เปล่า ฉันแค่ไม่ชอบที่เธอขาดอะไรไปบางอย่าง” พูดจบ ลั่วจื่อหานก็จับมือขวาของอี้เป่ยซี พูดขึ้นข้างหูของเธอ “วาดตามมือของฉัน”

            สองมือที่กำอยู่ด้วยกันเริ่มร่างภาพที่พวกเขามีร่วมกันในใจบนกระดาษสีขาวดำ เพียงแค่ตวัดไปมาไม่กี่ครั้ง ภาพวาดตรงหน้าก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

            ลั่วจื่อหานที่บ้าคลั่งจูงมือขออี้เป่ยซี ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวพริ้วไหวอยู่ในสายลม ด้านหลังของพวกเขาคือแสงอาทิตย์สีทอง

            “ฉันยังไม่เคยพูดว่าจะแต่งงานกับนาย”

            “ฉันแค่คิดว่าพูดแบบนี้ดีกว่า ไม่มีความคิดอื่น”

            “ไม่มีเหรอ?”

            “ถ้าจะให้พูดก็มีอย่างอื่นนิดหน่อย” ลั่วจื่อหานดึงร่างของอี้เป่ยซีเข้ามา จูบบนริมฝีปากของเธอ เสียงที่ทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูเธอ “เจ้าหานน้อยคิดถึงเธอมาก”

            แก้มของอี้เป่ยซีแดงก่ำทันที ผลักลั่วจื่อหานออกไปแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง ทำทีเป็นนั่งอย่างสงบที่โต๊ะอาหารแล้วก้มหัวกินข้าว ลั่วจื่อหานนั่งอยู่ตรงหน้าเธอ คีบกับข้าวลงในถ้วยของเธอเป็นครั้งคราว

            “พี่!” เสียงแหลมที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ทั้งสองคนขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองมองไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญ หลิงจื่อเซี่ยก้าวเท้ายาวๆ มาหาอี้เป่ยซี

            “ปากก็พูดว่าไม่สนใจพี่ชายฉัน แล้วตอนนี้เธอกำลังทำอะไร?”

            “หลิงจื่อเซี่ย พี่เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่ามาที่นี่อีก”

            “แต่ว่าพี่คะ พี่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว แม่ก็กลับไปแล้ว ฉันอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นคนเดียว ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ”

            “มีลุงสวี่อยู่เป็นเพื่อนเธอ”

            หลิงจื่อเซี่ยแอบหยิกตัวเอง “พี่คะ ลุงสวี่ก็เป็นแค่คุณลุง จื่อเซี่ยก็คิดถึงพี่เหมือนกันนะ แล้วยังทำไมพี่จื่อหานถึงมาอยู่กับเขา อี้เป่ยซีเป็นคนยังไง พี่จื่อหานไม่รู้เหรอ? เขาเคยทำอะไรไว้…”

            “พอได้แล้ว” ลั่วจื่อหานขัดจังหวะเธอด้วยความโมโห แม้แต่อี้เป่ยซีที่อยู่ข้างๆ ก็หดตัวเนื่องด้วยความโกรธของเขา “จะให้พี่ส่งเธอกลับไปไหม?”

            “คืนนี้ฉันจะอยู่ที่นี่”

            “ที่นี่มีแค่ห้องเดียว ไม่มีที่ให้เธออยู่”

            “งั้นพี่ก็ให้เขากลับสิ” หลิงจื่อเซี่ยชี้ไปที่อี้เป่ยซี นิ้วมือสั่นเทาด้วยความโกรธ

            อี้เป่ยซีมองไปที่ลั่วจื่อหาน เห็นเขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “เธออยากนอนห้องเดียวกับลั่วจื่อหานเหรอ?”

            “ถ้าเธอกลับฉันก็กลับ”

        เธอพยักหน้า “รอให้ฉันกินเสร็จก็กลับแล้ว” หลิงจื่อเซี่ยคิดไม่ถึงว่าเธอจะตอบเร็วแบบนี้จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อี้เป่ยซียังคงกินอย่างเชื่องช้า

————