จางจิงจิ่วนั้นเป็นนักแสดงที่ใจดีที่สุดและใสซื่อที่สุดในบ้านผีสิง อันที่จริง เขาก็เคยคิดที่จะหลอกผู้เข้าชมเหมือนเพื่อนร่วมงานของเขา เขาคิดกลับไปถึงความทรงจำของเขาถึงเจ้าของโรงแรมตัวจริงและเกมบ้าคลั่งเล็ก ๆ ที่เขาเคยเจอ
แต่ว่า นี่เป็นการทำงานวันแรกของเขา เขายังไม่ทันได้เตรียมใจ ตอนที่เขาเห็นสภาพน่าสงสารของผู้เข้าชมที่เข้ามา เขาก็เอาตัวเองไปทำร้ายคนพวกนี้อีกไม่ได้
“เข้ามาสิ ที่นี่จะเป็นที่พักของคุณชั่วคราว” จางจิงจิ่วคิดว่าในเมื่อเขาไม่สามารถหลอกผู้เข้าชมได้ เขาอย่างน้อยที่สุดก็ควรให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของตน นั่นเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดของผู้ที่ทำงานในธุรกิจให้บริการ
เด็กสาวลังเล แต่ว่าชายหนุ่มนั้นเตรียมจะกลับออกไป
“อย่าไปที่นั่น!” แต่ละถ้อยคำของจางจิงจิ่วทำให้นักศึกษาชายก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
“ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรเลยจริง ๆ ผมแค่คิดว่าคุณอาจจะต้องการสถานที่พักชั่วคราว” จางจิงจิ่วต้องการช่วยพวกเขาจากใจจริง ทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้
“หวังตั้น พวกเราควรจะเชื่อเขาไหม?” เด็กสาวกระซิบเข้าไปในหูชายหนุ่ม
“ไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้าเลยหรือไง? พนักงานที่นี่ทุกคนล้วนเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์! ทำไมเธอถึงใสซื่อจนคิดจะเชื่อพวกเขาฮึ?” นักศึกษาชายลากร่างกายอ่อนล้าของตนวิ่งไปยัง ‘บ้านสุนัข’ ที่ตรงข้ามโรงแรม
ตอนที่เด็กสาวเห็นคู่หูของตัวเองถอย เธอก็ทำตาม
เห็นผู้เข้าชมทั้งสองคนเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ อย่างเต็มใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของจางจิงจิ่วก็ยากที่จะอธิบาย เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “ฉันเป็นหมาป่าห่มหนังแกะหรือปิศาจในคราบมนุษย์งั้นเรอะ ฮึ? ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้ความเป็นมืออาชีพโดยรวมของพนักงานที่นี่ลดลงวูบเลยแฮะ”
…
“หวังตั้น ฉันวิ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ พักสักเดี๋ยวเหอะนะ” แฟนสาวของหวังตั้นเอนตัวพิงกำแพงเพื่อพัก ลมหายใจสม่ำเสมอขึ้นเธอถึงได้ตระหนักขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าการมาชมบ้านผีสิงนั้นเหนื่อยขนาดไหน
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพัก บ้านหลังนี้ทำให้ฉันรู้สึกขนลุก” สัญชาตญาณของหวังตั้นตอนนี้นั้นเฉียบคมอย่างไม่นาเชื่อหลังจากเข้าชมบ้านผีสิงของเฉินเกอหลายครั้งเข้า เขากวาดตามองสวนเล็ก ๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะไปจับอยู่ที่บ้านสุนัขที่ทำจากไม้
“พวกเราไม่เคยเจออะไรที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงที่อื่นเลย ดังนั้นนี่น่าจะมีจุดสยองขวัญซ่อนอยู่” หวังตั้นรู้สึกเหมือนมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในหน้าอก แต่เขาก็ไม่กล้าช้าลง ไม่มีที่ไหนในฉากที่ปลอดภัย การหยุดพักนั้นมีแต่หมายถึงการถูกจับตัวได้
เขาผ่อนลมหายใจ เอนตัวพิงกำแพงและมองออกไปข้างนอก
โรงแรมที่ฝั่งตรงข้ามนั้นยังสว่างไสวด้วยแสงไฟ แต่ว่าพนักงานคนนั้นกลับไม่ได้เดินออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนหน้า เขาอาจจะยังรอให้พวกตนกลับไป ถนนนั้นมืด และเขาก็สาบานเลยว่าเห็นเงาหลายเงาลอยวูบผ่านไป ครู่หนึ่งเลยที่เขาเชื่อว่าเขาเห็นมีคนกำลังโบกมือให้พวกตนจากอีกฝั่งถนน
โรงแรมไม่ปลอดภัย ถนนก็ไม่ปลอดภัย และตอนนี้พวกเขาก็ถึงขีดจำกัดทางกายแล้ว พวกเขาวิ่งไม่ไหวแล้ว
“พวกเรายอมแพ้ดีไหม?” แฟนสาวของหวังตั้นแนะนำ น้ำตาคลอตา และเครื่องสำอางของเธอก็เละเทะไปหมดแล้ว
“ฉันเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่ฉันได้เดินออกไปด้วยเท้าตัวเอง เวลาเข้าชมเกือบจะหมดแล้ว ดังนั้นยอมแพ้ตอนนี้ก็เสียเปล่าอยู่นะ” เมื่อคิดว่าแฟนสาวของตนเหนื่อยขนาดไหน หวังตั้นก็ตัดสินใจแอบอยู่ในนี้ชั่วคราว “พวกเราซ่อนตัวอยู่ในตึกเปล่าก่อนหน้านี้และไม่เกิดอะไรขึ้น หวังว่ามันจะเป็นแค่จินตนาการของฉันว่าที่นี่ต่างไปจากที่อื่น”
ปิดประตูเข้าสวนแล้วหวังตั้นกับแฟนสาวก็เดินเข้าไปใน ‘บ้านสุนัข’ ประตูเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดและกระดิ่งลมที่แขนอยู่เหนือประตูก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเหมือนกำลังเตือนเจ้าของบ้านว่าเขามีแขก
“ดูมีรสนิยมดีทีเดียวที่แขวนกระดิ่งลมเอาไว้เหนือทางเข้า” หวังตั้นมองเข้าไปในห้อง ที่นี่นั้นตกแต่งแบบญี่ปุ่น ทางเดินอยู่ตรงกลางแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน ประตูที่เปิดเอาไว้ครึ่ง ๆ นำเข้าสู่ห้องที่แต่ละฟากทางเดิน พื้นนั้นปูกระเบื้องและรองเท้าแตะใส่ในบ้านหลายคู่ก็ถูกวางเอาไว้ตรงทางเข้า
“หวังตั้น นายได้กลิ่นไหม? กลิ่นเหมือนน้ำหอมปรับอากาศ” แฟนสาวของหวังตั้นดึงเสื้อเขาของขณะเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง “บ้านผีสิงอื่น ๆ มักจะตั้งใจใช้กลิ่นแย่ ๆ เพื่อสร้างความสยองขวัญแต่ที่นี่กลับลงทุนไปกับน้ำหอมปรับอากาศมากมาย ราวกับกลัวว่ากลิ่นเหม็นเน่าจะทำให้ผู้เข้าชมคลื่นไส้”
“เดี๋ยวนะ!” หวังตั้งชะงักทันที เขาหันหน้ากลับไปมองแฟนสาวของตัวเอง “เมื่อกี้นี้เธอว่าอะไรนะ?”
“บ้านนี้มีแต่กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศเต็มไปหมด…”
“ฉันบอกเธอแล้วว่าที่นี่มันไม่ปกติ! พวกเราต้องกลับออกไป พวกเราต้องหาที่อื่นซ่อนตัว” หวังตั้นเพิ่งก้าวเท้าเข้าไปในห้อง พวกเขายังไม่ทันเดินไปในทางเดินด้วยซ้ำ และพวกเขาก็เตรียมจะกลับออกไปแล้ว
“น้ำหอมปรับอากาศมันผิดยังไงเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้นยังจับจุดเชื่อมโยงกันไม่ได้
“กลิ่นนี่ไม่มีในบ้านหลังอื่น มันมีเฉพาะที่นี่ และกลิ่นยังเข้มมาก มันหมายความได้แค่มีคนจงใจใช้กลิ่นปกปิดกลิ่นที่แท้จริงของที่นี่!” เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาตามหน้าผากของหวังตั้น “เดือนที่แล้ว ระหว่างเรียนกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรลิ่ว มีคดีหนึ่ง หลังจากผู้ต้องสงสัยแยกชิ้นส่วนศพแล้วเขาก็ซ่อนชิ้นส่วนร่างกายเอาไว้ในหลาย ๆ ห้องในบ้านของเขา และแต่ละวันเขาก็ค่อย ๆ แอบเอาชิ้นส่วนเล็ก ๆ ออกไปทิ้ง เพราะกลัวว่ากลิ่นจะเปิดเผยความลับของเขาออกมา เขาเลยสั่งซื้อน้ำหอมปรับอากาศจำนวนมากเพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยของซากศพ ตอนที่เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายพบชิ้นส่วนร่างกาย หมอลิ่วก็พบร่องรอยของน้ำหอมปรับอากาศหลงเหลืออยู่บนชิ้นส่วนร่างกายพวกนั้น และพวกเขาก็ติดตามคดีจากร่องรอยนั่นกลับไปยังฆาตกร”
หวังตั้นไม่เคยคิดเลยว่าความรู้ที่เขาได้เรียนในชั้นเรียนจะสามารถเอามาใช้ระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง ถ้าเขาเรียนด้านอื่นมันก็คงไม่เป็นไร แต่ว่าเขาเรียนนิติวิทยาศาสตร์น่ะสิ
“นายหมายความว่ากลิ่นน้ำหอมปรับอากาศนี่ไว้ปกปิดกลิ่นศพงั้นเหรอ?” แฟนสาวของหวังตั้งก็เริ่มตระหนกแล้วเหมือนกัน ก็ใครมันจะยังใจเย็นอยู่ได้เมื่อมาเจอกับคดีฆาตกรรมเข้าระหว่างการเข้าชมบ้านผีสิง?
“ไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อปกปิดกลิ่นเน่าเปื่อยเท่านั้น มันอาจจะเป็นกลิ่นอื่นก็ได้” หวังตั้นนั้นไม่ใช่เด็กหนุ่มวู่วามและหัวร้อนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ประสบการณ์ภายในบ้านผีสิงของเฉินเกอทำให้เขากลายไปเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญ
เมื่อดึงประตูเปิด เสียงกระดิ่งลมก็ดังขึ้นอีกครั้ง เดิมที หวังตั้นไม่ได้คิดอะไรเรื่องกระดิ่งลมนี่ แต่ตอนที่เสียงกระดิ่งจางหายไป ก็มีเสียงอ่อนแรงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น “ช่วยผม พาผมไปกับคุณด้วย”
หวังตั้นยืนอยู่ที่ประตูแล้วหันกลับไปมอง ในทางเดินมืด ๆ ไม่มีใคร
“เธอได้ยินเสียงผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือไหม?” หวังตั้นหันไปถามแฟนสาว และเธอก็ส่ายหน้า
“เป็นเพราะว่าฉันกระวนกระวายเกินไปจนเริ่มได้ยินเสียงหลอนงั้นเหรอ?” เขาดึงประตูปิด
ตอนที่ประตูแตะถูกกระดิ่งลม เสียงผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ได้โปรดอย่าทิ้งผมไว้ที่นี่! ช่วยผมด้วย!”
คราวนี้ หวังตั้นแน่ใจว่าเขาได้ยินเสียง เขาเงยหน้าขึ้นและพยายามมองหาที่มาของเสียง
“กระดิ่งลม?” เสียงผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะดังมาจากด้านในกระดิ่งลม หวังตั้นเปิดประตูอีกครั้งและเขาก็เอื้อมมือออกไปคว้ากระดิ่งลมเอาไว้ เขาสั่นมันเบา ๆ และที่ด้านในผนังของกระดิ่งลม ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น