ตอนที่ 72 สังหารในครั้งเดียว

จารใจรัก

ลูกตาของฉางเฟิงเบิกตามองเซี่ยฟางหวาด้วยความหวาดกลัว 

 

 

           “นี่เป็น…เป็น…เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผี…เจ้าใช้มันได้ด้วยรึ” 

 

 

           ประหลาดใจ ไม่อยากเชื่อ นึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่เขาต้องการ ตอนนี้กลับถูกเซี่ยฟางหวานำมาใช้กับตนเองเสียอย่างนั้น 

 

 

           เขาใช้ตาข่ายใหญ่จับกุมนาง ภายใต้ความลำพองใจจึงไม่คาดคิดถึง เดิมนางตกอยู่ในความควบคุมของตน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตนตกอยู่ในกำมือนางเพียงชั่วพริบตา ทั้งยังไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน 

 

 

           เขาทั้งตกใจทั้งโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองฉางเฟิง ริมฝีปากแย้มยิ้มขึ้นเล็กน้อย แสงสีดำใต้ฝ่ามือกลับไม่โอนอ่อนผ่อนตามแม้แต่นิดเดียว แสงสีดำทุกรัศมีดั่งดาบอันดุดัน จ้องจะสังหารฉางเฟิงทุกเมื่อ นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ปรมาจารย์ฉางเฟิง ท่านว่าวันนี้เป็นท่านสังหารข้า หรือข้าสังหารท่านกันแน่” 

 

 

           “เจ้ากล้ารึ!” ฉางเฟิงขึ้นเสียงดัง เพราะแสงสีดำรัดลำคอแน่น น้ำเสียงจึงหาได้เย็นชาแบบก่อนหน้านี้ หากแต่กลายเป็นเสียงแหลมฝืดไม่น่าฟัง 

 

 

           “ข้ากล้า!” เซี่ยฟางหวายืนยัน 

 

 

           “ปู่ของเจ้า ลุงของเจ้า ตระกูลเซี่ยของเจ้า…ไม่ไยดีแล้วรึ” ฉางเฟิงแม้ตกใจและโกรธแค้น แต่ยามนี้ก็มิได้แสดงความหวาดกลัวจนเกินเหตุ ราวกับมั่นใจนักหนาว่าเซี่ยฟางหวาจะไม่สังหารเขา “หากเจ้าสังหารข้า ย่อมมีคนอื่นไปสังหารคนเหล่านี้แทน” 

 

 

           “ในเมื่อข้ากล้าสังหารท่าน ย่อมมีความสามารถปกป้องพวกเขาได้ ผู้ที่จะตายที่นี่คือท่าน ที่อื่นจะเป็นใครไปคนผู้นั้นก็จะตายแบบเดียวกัน” เซี่ยฟางหวาแสยะยิ้มเย็น  

 

 

           “สตรีอย่างเจ้าช่างพูดจาอวดดีนัก เจ้า…รู้หรือไม่ว่าผู้ที่จะสังหารปู่เจ้าเป็นใคร” ฉางเฟิงพลันหัวเราะเสียงดังยกใหญ่ 

 

 

           “ท่านบอกข้าได้!” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           “ฝันไปเถอะ!” ฉางเฟิงมองนางด้วยแววตาดุดัน 

 

 

           “ช้าเร็วข้าก็สืบเจออยู่ดี ในเมื่อท่านปรมาจารย์ไม่บอกก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี หลังท่านตายไปแล้ว ข้าจะช่วยเผาศพท่านให้ ระหว่างทางไปยมโลก ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ” เซี่ยฟางหวาพลันหมุนข้อมือ แสงสีดำนำมาซึ่งจิตสังหารทันที จิตสังหารนี้แม้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความใจดีดุจดาบอ่อนโยน ราวคมดาบเคลื่อนไหวตัดตามร่างของฉางเฟิง 

 

 

           ฉางเฟิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของเซี่ยฟางหวาทั่วร่าง นางต้องการสังหารเขาจริงๆ ในที่สุดนัยน์ตาเขาก็สะท้อนความหวาดกลัวออกมา 

 

 

           เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่า ที่แท้ศพแข็งทื่อระดับสูงในเขาไร้นามก็กลัวตายเช่นกัน 

 

 

           “หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉางเฟิงตะโกนด้วยความเจ็บปวด “หากเจ้าไม่สังหารข้า ข้าจะบอกเจ้า…” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “สายไปแล้ว”  

 

 

           สิ้นเสียงก็มิให้โอกาสเขาอีกแล้ว แสงสีดำกลายเป็นใบมีดนับพันหมื่นร่ายรำรอบตัวเขา เส้นเลือด เอ็น และกระดูกทั้งหมดในตัวเขาถูกตัดขาดทีละจุด ไม่เกินหนึ่งถ้วยชา ฉางเฟิงก็กลายเป็นมนุษย์เลือด นัยน์ตาที่เคยแสดงความหวาดกลัวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นดำสนิทและสิ้นหวัง สุดท้ายก็หลับตาลง 

 

 

           หมดลมหายใจโดยสิ้นเชิง! 

 

 

           เซี่ยฟางหวาถอนมือกลับมาเชื่องช้า ร่างฉางเฟิงล้มลงบนพื้น ชั่วพริบตาบนพื้นก็เจิ่งนองด้วยกองเลือด 

 

 

           นางไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา ร่างกายอ่อนยวบ ฝ่ามือตกลงบนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง 

 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยกมือผิวปากเสียงเบา นกตัวหนึ่งบินออกมาหานางจากผืนป่าชั้นใน นางเอ่ยเสียงทุ้มต่ำว่า “ไปเรียกพวกซื่อฮว่าทั้งแปดมา” 

 

 

           นกตัวนั้นฟังภาษามนุษย์เข้าใจ รีบสยายปีกบินออกไปทันที 

 

 

           หนึ่งก้านธูปถัดมา ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ควบม้าห้อตะบึงมา เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาติดอยู่ในตาข่ายใหญ่กับมนุษย์เลือดที่จมอยู่ในกองเลือดตรงหน้านางจนแยกแยะรูปร่างไม่ออกก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบลงจากม้าแล้วส่งเสียงเรียกด้วยความร้อนรน “คุณหนู!” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลืมตาขึ้น สื่อให้พวกนางช่วยแก้ตาข่ายนี้ออก 

 

 

           พวกซื่อฮว่ารีบลงมือแก้ เชือกตาข่ายแม้ถักได้อย่างแน่นหนา แต่ก็ไม่คณามือเมื่อหลายคนช่วยกันแก้ ใช้เวลาไม่นานก็ช่วยเซี่ยฟางหวาออกมาจากตาข่ายได้ ม้าใต้ร่างก็ได้รับการช่วยเหลือในเวลาเดียวกัน มันลุกขึ้นยืน เตะขาไปมา ก่อนไปจากที่ตรงนั้นอย่างไม่ชอบใจนัก ถอยห่างออกจากศพฉางเฟิงไปค่อนข้างไกล 

 

 

           เซี่ยฟางหวาไร้เรี่ยวแรง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงนาง พบว่าใบหน้านางขาวซีด ทั้งร่างกายราวกับอ่อนแอยิ่ง สภาพพร้อมที่จะล้มหมดสติไปได้ทุกเมื่อ พวกนางตกใจ รีบเอ่ยขึ้น “คุณหนู ท่านเป็นเช่นไรบ้าง ท่านอย่าทำให้พวกบ่าวตกใจ!” 

 

 

           “ข้าแค่เสียแรงมากเกินไป ไม่เป็นไรหรอก พักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกังวล” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 

 

 

           “จริงหรือเจ้าคะ” ซื่อฮว่ารีบถาม 

 

 

           “จริงสิ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนชี้ไปยังต้นไม้ต้นใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล “พยุงข้าไปนั่งตรงนั้น แล้วพวกเจ้าช่วยกันค้นตัวศพผู้นี้ ดูว่าบนตัวเขานำสิ่งใดมาด้วยบ้าง หลังค้นหาเสร็จแล้วก็จัดการเผาศพด้วย” 

 

 

           “คุณหนู คนผู้นี้เป็นใครหรือ” ซื่อฮว่าถาม 

 

 

           “ฉางเฟิง หนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นาม” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           พวกซื่อฮว่าได้ยินคำตอบก็ตกใจใหญ่ พวกนางได้ยินกิตติศัพท์ของปรมาจารย์เขาไร้นามว่าร้ายกาจยิ่ง มีวิทยายุทธ์เข้าขั้นบรรลุ นึกไม่ถึงเลยว่าคุณหนูจะสังหารคนผู้นี้ตายแล้ว มิน่ายามนี้ถึงได้หมดเรี่ยวแรงเช่นนี้ คิดว่าส่วนที่พวกนางมองไม่เห็นคงอันตรายถึงชีวิตแน่นอน จึงรีบพยุงเซี่ยฟางหวาไปนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นนั้น 

 

 

           หลังเซี่ยฟางหวาได้นั่งพิงต้นไม้แล้วก็หลับตาลง เอ่ยบอกทุกคนด้วยความอ่อนแรง “ไปเถอะ ระวังตัวด้วย แม้เขาตายไปแล้ว แต่บนตัวอาจมีหนอนพิษหรือยาพิษอยู่ อย่าได้บาดเจ็บเข้า” 

 

 

           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านเดินกลับไปด้วยกัน 

 

 

           พวกผิ่นจู๋สี่คนอยู่กับเซี่ยฟางหวา 

 

 

           ผิ่นจู๋เห็นว่านางทรมานอย่างยิ่ง จึงกล่าวเสียงเบา “คุณหนู บ่าวถ่ายทอดพลังภายในให้ท่านดีกว่า” 

 

 

           “ไม่ใช่เรื่องของพลังภายใน ตอนนี้พลังภายในไร้ประโยชน์สำหรับข้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 

 

 

           “เช่นนั้นท่านใช้สิ่งใดสังหารฉางเฟิงหรือ” ผิ่นจู๋ไม่เข้าใจ 

 

 

           “เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผี” เซี่ยฟางหวาอ่อนล้ายิ่ง “สิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่พลังภายใน แต่เป็นเลือด” 

 

 

           “คุณหนู แล้วทำเช่นไรดีเล่า เลือดของท่านแค่มองดูก็รู้แล้วว่าสูญเสียไปเยอะมาก จะฟื้นฟูกลับมาอย่างไร” ผิ่นจู๋ได้ยินคำว่าเลือดก็ตกใจจนหน้าถอดสี 

 

 

           “รอจัดการตรงนี้ให้เรียบร้อยแล้วหาที่พักก่อน วันนี้เดินทางต่อไม่ได้แล้ว ข้าจะใช้ลมปราณภายในฟื้นฟูกลับมา คืนหนึ่งคงดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 

 

 

           “ฟื้นฟูได้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋เบาใจขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้ม ไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           อีกฝั่ง พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อสี่คนใช้ปลายกระบี่เขี่ยผ้าคลุมหน้าฉางเฟิงออกก่อน เผยให้เห็นใบหน้าหวาดกลัวแต่ไม่ยินยอมอันเรียบนิ่ง หน้าตาธรรมดาสามัญ หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ไม่มีใครแยกออก ทั้งสี่มองหน้ากัน ก่อนใช้กระบี่แหวกเสื้อคลุมตัวนอกออก เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีของมีพิษจึงใช้กระบวนท่าที่ฝึกขึ้นเฉพาะค้นตัวเขา  

 

 

           พักใหญ่ต่อมาก็ค้นหาสิ่งของในอกเสื้อเขามาได้กองหนึ่ง 

 

 

           มีขวดกระเบื้องหลายใบ กระบอกไม้ไผ่สองลำ ขลุ่ยไม้หนึ่งเลา ยังมีสมุดบันทึกสีดำหนึ่งเล่ม รวมถึงกระดาษหนังวัวหนึ่งม้วน 

 

 

           ซื่อฮว่าหอบของพวกนี้เดินไปหาเซี่ยฟางหวา 

 

 

           ซื่อม่อ ซื่อหว่าน และซื่อหลานใช้หินเหล็กไฟเผาศพฉางเฟิง ทันทีที่ศพเริ่มเผาไหม้ก็ส่งเสียงแตกร้าวขึ้น 

 

 

           ซื่อฮว่าเดินมาหาเซี่ยฟางหวา วางของทั้งหมดลงแล้วกล่าวเสียงเบา “คุณหนู พบของพวกนี้บนตัวเขา” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ลืมตาขึ้น ก่อนยื่นมือหยิบมาดูทีละชิ้นเชื่องช้า 

 

 

           สิ่งที่บรรจุในขวดหลายใบคือยา มีทั้งยาพิษและยาวิเศษ ด้วยวิชาแพทย์ของเซี่ยฟางหวาย่อมแยกแยะได้ง่ายมาก 

 

 

           กระบอกไม้ไผ่สองลำถูกปิดสนิท ข้างในเลี้ยงหนอนตัวเล็กไว้สองคู่ คู่หนึ่งสีแดง คู่หนึ่งสีดำ ส่วนขลุ่ยไม้เลานั้นน่าจะใช้เป่าบรรเลงเพื่อควบคุมหนอนในกระบอกไม้ไผ่ 

 

 

           สมุดบันทึกสีดำเล่มนั้นเขียนด้วยอักษรสันสกฤตผี สิ่งที่เขียนไว้เป็นชื่อคนทั้งหมด บางชื่อถูกขีดฆ่าออกไปแล้ว บางชื่อใช้ลายมือต่างกันในการเขียน นางเห็นชื่อของหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกขีดฆ่าไปแล้ว ยังมีตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางที่ถูกขีดฆ่าทิ้งไปแล้วด้วยเช่นกัน เหนือจากนี้ นอกจากชื่อขุนนางหรือคนตระกูลใหญ่ในหนานฉิน นึกไม่ถึงว่ายังมีชื่อคนในเป่ยฉี หนึ่งในชื่อที่สะดุดตามากที่สุดคือชื่อของเหยียนเฉินซึ่งถูกเขียนไว้เป็นอันดับแรก และยังไม่ถูกขีดฆ่า 

 

 

           นี่หมายถึงคนที่ต้องสังหารใช่หรือไม่ 

 

 

           หรือว่าลายมือเขียนชื่อต่างกันมีวัตถุประสงค์ต่างออกไป 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพลิกสมุดอ่านดูพักหนึ่งแล้ววางลง ทั้งหยิบม้วนกระดาษหนังวัวมาคลี่ออก พบว่าข้างในว่างเปล่า นางยื่นมือลูบคลำกระดาษ พักต่อมาก็กล่าวกับซื่อฮวา “นำหินเหล็กไฟมาให้ข้า” 

 

 

           ซื่อฮว่าส่งหินเหล็กไฟให้นาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาจุดไฟเผาม้วนกระดาษหนังวัว สักพักใหญ่มุมทั้งสี่ก็เกิดการเผาไหม้ มีกระดาษบางแผ่นหนึ่งลอดออกมาจากข้างใน 

 

 

           เป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวานิ่งมองพักหนึ่ง ก่อนวางลงด้วยความอ่อนล้า เอ่ยบอกซื่อฮว่า “เก็บของพวกนี้ไว้ให้ข้าก่อน” 

 

 

           ซื่อฮว่ารับคำ รีบเก็บของพวกนี้อย่างว่องไว 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลับตาลงอีกครั้ง ไม่ไกลกันนั้น กลิ่นเผาไหม้จากศพก็โชยมา ไม่น่าพิสมัยอย่างยิ่ง 

 

 

           ครึ่งชั่วยามถัดมา ศพถูกเผาจนเหลือเพียงขี้เถ้า พวกซื่อม่อสามคนกลับมาบอกเซี่ยฟางหวา “คุณหนู เผาศพฉางเฟิงเรียบร้อยแล้ว บนพื้นเหลือเพียงเถ้ากระดูก…” 

 

 

           “ลมพัดมาก็สลายหายไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาลืมตาแล้วสั่งงาน “หาที่พักไกลจากตรงนี้หน่อย เลือกเป็นสถานที่ในป่าค่อนข้างลึก ข้าจะพักฟื้นร่างกายที่นั่น” 

 

 

           ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงเซี่ยฟางหวาขึ้นม้า มุ่งหน้าไปยังหุบเขาลึกเบื้องหน้า 

 

 

           เดินทางไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามก็หยุดลงในป่าลึก ซื่อฮว่าถามเสียงเบา “คุณหนู ตรงนี้เป็นเช่นไร” 

 

 

           “ตรงนี้แล้วกัน!” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ตอบอย่างอ่อนแรง 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยุงเซี่ยฟางหวาลงมา พวกผิ่นจู๋รีบไปหาพื้นที่ที่เหมาะสม เก็บกวาดพื้นที่โล่งให้สะอาด ทั้งเก็บหญ้าแห้งมาจำนวนหนึ่งเพื่อปูรองพื้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งขัดสมาธิบนหญ้าแห้ง เริ่มถ่ายพลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเชื่องช้า ฟื้นฟูกำลังและเลือดที่สูญเสียไปกลับมา 

 

 

           ฉางเฟิงมีวิทยายุทธ์สูงเกินไป แรกเริ่มนางไม่อยากสังหารเขาในทันที คิดอยากล้วงข้อมูลอันมีค่าจากปากเขามาให้ได้มากกว่านี้ ทว่าต่อมาก็พบว่าประสิทธิภาพในวิชาภูตผีของนางกำลังลดต่ำลง หากยังถ่วงเวลานานไปกว่านี้ นางเดิมทีติดอยู่ในตาข่ายนั้นย่อมไม่มีหนทางสังหารฉางเฟิงได้ หากผิดพลาดขึ้นมา ซ้ำเขายังชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตายกลับมาได้ เช่นนั้นนางต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน 

 

 

           ดังนั้นนางถึงบอกว่า ‘สายไปแล้ว’ และไม่ให้โอกาสเขาอีกต่อไป จากนั้นก็ลงมือสังหารเขาในครั้งเดียว 

 

 

           สังหารปรมาจารย์เขาไร้นามไปหนึ่งคน ทำให้เสียพลังที่เดิมมีอยู่ไม่มากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

 

 

           สำหรับเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีนั้น ตั้งแต่วันที่นางได้มันมา ก้นบึ้งหัวใจก็เกิดการรังเกียจและขัดแย้งกันตลอดมา ดังนั้นแม้ร่ำเรียนไปแล้ว แต่ก็มิได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง เพียงอาศัยเลือดในร่างกายตนเอง ความได้เปรียบที่มีมาแต่กำเนิด เรียนรู้เองโดยไร้อาจารย์กำกับดูแลจนทำได้สามส่วน 

 

 

           สามส่วนนี้นำมาใช้สังหารคนผู้หนึ่ง ยิ่งเป็นปรมาจารย์เขาไร้นาม ย่อมลำบากอย่างยิ่ง 

 

 

           ดูท่าถึงนางไม่อยากเรียนก็ต้องเรียนแล้ว 

 

 

           วันนี้หากมิใช่ฉางเฟิงลำพองใจ นางเข้าใกล้ตัวเขามิได้ ด้วยเคล็ดวิชาลับที่นางรู้เพียงน้อยนิด ไม่แน่ว่าจะทำอันใดเขาได้