เซี่ยฟางหวาควบม้าวิ่งไปราวครึ่งถ้วยชา มาถึงจุดพื้นที่ต่ำที่สุดในที่ราบแห่งนี้ ทันใดนั้นก็มีตาข่ายขนาดใหญ่ตกลงมาจากต้นไม้สองข้างอย่างรวดเร็ว ขนาดพอดีกับเซี่ยฟางหวาที่กำลังขี่ม้า
เซี่ยฟางหวาดึงกระบี่ใต้แขนเสื้อออกมา ตวัดฝ่ามือตัดฝ่าไป เดิมทีกระบี่ใต้แขนเสื้อเล่มนี้เป็นกระบี่ล้ำค่าตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน ทว่าเมื่อสัมผัสโดนตาข่ายกลับตัดไม่ขาด ชั่วพริบตา นางกับม้าก็ถูกตาข่ายครอบทับ เหตุการณ์อลหม่านวุ่นวาย
ม้าล้มตะแคงข้าง ขาข้างหนึ่งของเซี่ยฟางหวาถูกทับอยู่ใต้ม้า ตัวเองล้มตะแคงลงไปพร้อมม้าเช่นกัน
ชั่วพริบตานั้นตาข่ายก็บีบเข้าหากัน ทั้งคนและม้าติดอยู่ในตาข่ายอย่างแน่นหนา ม้ายกเท้าเตะสะเปะสะปะ ทว่าก็ขยับตัวดิ้นไม่หลุด
“ผู้ใด” เซี่ยฟางหวาลดเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด
ตาข่ายใหญ่นี้ถูกควบคุมด้วยกลไก ตาข่ายครอบทับลงมา ทว่ายังไม่เห็นเงาผู้บงการ เห็นได้ชัดว่ามีคนคอยควบคุมกลไกอยู่ในที่ลับ
เมื่อเซี่ยฟางหวาตะโกนจบ พลันมีเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากในป่า “เซี่ยฟางหวา คิดว่าเจ้าเก่งกาจมากเสียอีก ไม่นึกเลยว่าแค่ตาข่ายเล็กน้อยแค่นี้ยังติดกับได้ อย่างเจ้าเรียกว่าเข้ามาติดกับเองหรือไม่”
“เจ้าเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาตะโกนเสียงดัง
“ข้าเป็นใคร เจ้ายังฟังไม่ออกอีกหรือ เจ้าอยู่เขาไร้นามมาหลายปี เสียงของข้านั้นเจ้าฟังไม่ออกรึ” น้ำเสียงเย็นชาเยาะเย้ย “เจ้าโง่ฉือเฟิ่งนั่นบอกว่าเจ้าลงมือโหดเ**้ยม มีความสามารถมาก ตอนนี้เห็นแล้วเขาน่าจะไร้ความสามารถมากกว่ากระมัง ข้าว่าเจ้าจับตัวง่ายยิ่งนัก”
“ที่แท้คือปรมาจารย์ฉางเฟิง” เซี่ยฟางหวากระจ่างแจ้ง “ข้าเป็นเพียงสตรีตัวน้อย ถึงได้เรียนรู้วิชามาบ้าง ย่อมเทียบความสามารถของท่านปรมาจารย์ไม่ติด” หยุดชั่วครู่แล้วมองตาข่ายที่ครอบตัวนาง “แต่ตาข่ายนี้ทำจากวัสดุใด กระบี่ในมือข้าตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน กลับไม่อาจตัดตาข่ายนี้ได้แม้แต่เสี้ยว”
“นี่เป็นตาข่ายจักจั่นทอง ถึงกระบี่ในมือเจ้าเป็นกระบี่ล้ำค่าเพียงใดย่อมตัดไม่ขาด ตาข่ายนี้ตัดไม่ได้ เผาก็ไม่ได้ อุตส่าห์นำมาใช้จับเจ้า เสียเวลาข้าโดยแท้” ฉางเฟิงแค่นเสียงในลำคอ
“ลำบากปรมาจารย์แล้วที่ต้องทุ่มความคิดจับข้าเช่นนี้” เซี่ยฟางหวายิ้ม
ฉางเฟิงเดินออกมาจากจุดลับ สวมอาภรณ์สีดำตลอดร่างพร้อมผ้าปิดหน้า คล้ายกับปีศาจร้ายที่เดินมาจากขุมนรก ท่ามกลางกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เขายังแผ่กลิ่นอายน่ากลัวเย็นยะเยือกออกมา เขาเดินมาหยุดหน้าเซี่ยฟางหวา พินิจมองนางแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “หากไม่ใช่ฉือเฟิ่งชมว่าเจ้าเก่งกาจนักหนา ข้าคงไม่ต้องมานั่งรอกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้ตาย***[1]ถึงสองวัน เสียเวลายิ่งนัก”
“ที่แท้ปรมาจารย์ฉางเฟิงก็มารออยู่สองวันแล้ว กล่าวเช่นนี้แสดงว่าตั้งแต่ข้าออกจากเมือง ปรมาจารย์ทราบว่าข้าต้องผ่านมาทางนี้แน่นอน” เซี่ยฟางหวามองเขา ราวกับถูกกลิ่นอายจากตัวเขาแผ่กระทบ นางรู้สึกหนาวสะท้านเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มซีดขาว
ฉางเฟิงดูพอใจกับความกลัวที่สะท้อนในแววตานางเล็กน้อย พยักหน้าตอบ “แน่นอน เจ้าจะไปเมืองหลินอัน จำต้องผ่านเส้นทางนี้ ถ้าข้าไม่มารอตรงนี้แล้วจะไปรอที่ใด”
“ข้าออกจากเมือง ฝ่าบาททรงมิได้ขัดขวางข้าจากมา อย่างไรเล่า ปรมาจารย์สายลับราชสำนักตัดสินใจเองโดยพลการ หรือว่าได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทกันแน่ ไม่สังหารข้าในเมืองหลวง ต้องมาไกลขนาดนี้เพื่อสังหารข้าเชียวหรือ” เซี่ยฟางหวาถาม
“สังหารเจ้า?” ฉางเฟิงส่ายหน้า “ข้าไม่ได้จะสังหารเจ้า”
“ไม่ได้สังหาร?” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ขอเพียงเจ้าส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ฉางเฟิงกล่าวอย่างเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“หากข้าไม่ส่งให้เล่า” เซี่ยฟางหวาถาม
“ไม่ส่งมาข้าก็จะส่งตระกูลเซี่ยไปตาย ปู่เจ้า พี่ชาย พี่น้องทั้งหลาย ตระกูลเซี่ยทั้งหมดจะต้องกลายเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความโง่เขลาของเจ้า” ฉางเฟิงกล่าวด้วยความเย็นยะเยือก
“ข้าส่งคนคุ้มครองท่านปู่ออกเดินทางแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก
“คุ้มครองไปส่งที่ทะเลบูรพาน่ะหรือ” ฉางเฟิงหัวเราะเสียงเย็น เสียงหัวเราะนั้นไม่น่าฟังอย่างยิ่ง ทำเอานกน้อยบนยอดไม้ตกใจจนบินหนีไป “เด็กน้อย คิดหรือว่าอยู่เขาไร้นามมาหลายปีแล้วจึงปีกกล้าขาแข็ง ข้าจะบอกให้ ปู่เจ้าไปไม่ถึงทะเลบูรพาหรอก ต้องถูกฝังศพไว้ก้นทะเลนั่นแหละ”
“ท่านทำอะไรกับท่านปู่” เซี่ยฟางหวาพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป
“ขอเพียงเจ้ารู้สถานการณ์ ปู่เจ้าก็จะไม่ตาย” ฉางเฟิงมองนางด้วยใบหน้าดำทะมึน “มิฉะนั้น ข้าจะทำให้เจ้าได้พบกับจุดจบของการไม่รู้จักสถานการณ์”
เซี่ยฟางหวาตัวสั่นขึ้นมาทันที
“อย่างไรเล่า จะยอมส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมาหรือไม่!” ฉางเฟิงมองนัยน์ตานางหดลงเพราะความกลัวด้วยความพึงพอใจ
เซี่ยฟางหวาพยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวสั่น ทว่าก็ควบคุมไม่อยู่ เนิ่นนานกว่าจะตามหาเสียงกลับมาได้ “ข้าเพิ่งถามปรมาจารย์ว่าฝ่าบาททรงอยากลอบสังหารข้าเพื่อนำเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีกลับไป หรือปรมาจารย์ต้องการมันเองกันแน่”
“ฝ่าบาท?” ฉางเฟิงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าหมายถึงฮ่องเต้เฒ่าของหนานฉินน่ะหรือ ช่างไร้ความสามารถ คิดหรือว่าจะควบคุมพวกเราต่อไปได้ ฝันไปเถิด!”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจ ปรมาจารย์ต้องการเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปทำไม” เซี่ยฟางหวามองเขา
“เจ้าไม่ต้องมาหลอกถามข้า ไม่ต้องสนด้วยว่าข้าต้องการเคล็ดวิชาไปทำไม เจ้าแค่ส่งเคล็ดวิชาลับในมือมาให้ข้าก็พอแล้ว” ฉางเฟิงมองนาง “มิฉะนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นตระกูลเซี่ยตายไปทีละคนกับตา ฟังว่าเจ้าให้ความสำคัญกับตระกูลเซี่ยมาก เช่นนั้น ข้าจะก็สังหารพวกเขาทีละคน”
“นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ข้าปรารถนาปกป้องตระกูลเซี่ย ปรมาจารย์ยังทราบด้วย” เซี่ยฟางหวาเผยสีหน้าสิ้นหวัง กัดฟันกล่าวต่อ “หากข้าส่งเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีให้แล้วท่านกลับคำสังหารตระกูลเซี่ย ข้าก็ทำอะไรท่านไม่ได้เหมือนกัน ปรมาจารย์ฉลาดเช่นนี้ ข้าเซี่ยฟางหวาก็ไม่ได้โง่”
“อืม เจ้าฉลาดกว่าสตรีทั่วไปจริง” ฉางเฟิงมองนาง “ข้ายังไม่สนใจตระกูลเซี่ย ขอเพียงเจ้าบอกเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีกับข้า ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่สังหารตระกูลเซี่ย”
“ตระกูลเซี่ยของข้าสืบทอดมาหลายร้อยกระทั่งพันปี เป็นตระกูลใหญ่ มีรากฐานสมบูรณ์ แค่ข้ากระดิกปลายนิ้วก็ตัดขาดชีพจรเศรษฐกิจในหนานฉินได้ ควบคุมบ้านเมืองหนานฉินครึ่งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่านจะไม่สนใจตระกูลเซี่ย เหยียดหยามตระกูลเซี่ยเช่นนี้ ยังคิดว่าข้าจะมอบเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีให้ท่านอีกหรือ” เซี่ยฟางหวาพลันโกรธจัด
“สตรีบอบบาง เพียงแค่ฉลาดหน่อยก็เท่านั้น แค่แข็งแกร่งกว่าสตรีโง่เขลาส่วนใหญ่บนโลกนิดหน่อย แต่ความแข็งแกร่งก็มีขีดจำกัด มองให้กว้างอย่าว่าแต่ตระกูลเซี่ยเล็กๆ ของเจ้าเลย ถึงเป็นบ้านเมืองหนานฉิน บ้านเมืองเป่ยฉี ดินแดนน้อยๆ มากมายรวมเข้าด้วยกัน ก็เทียบเผ่าภูตผีไม่ได้” ฉางเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
“เผ่าภูตผีไม่ใช่ล่มสลายไปนานแล้วหรอกหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามองฉางเฟิงด้วยความโกรธ “ฟังว่าเผ่าภูตผีเป็นดินแดนเล็กๆ อย่าว่าแต่หนานฉินกับเป่ยฉีเลย แต่หนึ่งถึงสองในสิบของตระกูลเซี่ยยังไล่ไม่ทัน มีความสำคัญมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ปรมาจารย์อยู่ในนรกเขาไร้นามมานานแล้ว ความคิดเลอะเลือนไปแล้วหรือ”
“สามหาว!” ฉางเฟิงเดือดจัด “เจ้ากล้าหาว่าข้าเลอะเลือนรึ”
“ไม่ใช่เลอะเลือนแล้วสิ่งใด เผ่าภูตผีเป็นดินแดนเล็กๆ ที่ล่มสลายไปตั้งนานแล้ว ใต้หล้านอกจากคนที่ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อขยายเวลามีชีวิตอยู่ ไหนเลยจะยังมีร่องรอยของเผ่าภูตผีอีก” เซี่ยฟางหวาเหยียดหยาม “แม้แต่บ้านเมืองหนานฉิน บ้านเมืองเป่ยฉี และตระกูลเซี่ยยังไม่สนใจ หากปรมาจารย์ไม่เลอะเลือนแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
ฉางเฟิงเดิมทีโกรธจัด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็พลันหัวเราะขึ้น “สตรีอย่างเจ้าช่างเป็นกบในกะลาโดยแท้ ไม่รู้จักสิ่งล้ำค่าของเผ่าภูตผี สิบดินแดนใต้หล้ายังเทียบไม่ได้” หัวเราะจบก็กล่าวด้วยใบหน้าดำทะมึน “อย่ามัวไร้สาระอีกเลย รีบส่งเคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีมา แล้วเจ้ากับตระกูลเซี่ยจะไม่ตาย”
“หากได้เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปแล้ว ปรมาจารย์จะปล่อยตระกูลเซี่ยกับข้าไปจริงหรือ” เซี่ยฟางหวาแคลงใจ
“แน่นอน ข้าพูดคำไหนคำนั้น” ฉางเฟิงบอก
“หลังปรมาจารย์ได้เคล็ดวิชาลับเผ่าภูตผีไปแล้วจะทำสิ่งใด” เซี่ยฟางหวาถามอีก
ฉางเฟิงพลันดึงกระบี่ออกมา เล็งมายังใบหน้าเซี่ยฟางหวา “ถ้าเจ้าไม่ส่งเคล็ดวิชาลับมา ข้าย่อมไม่สังหารเจ้า แต่นอกจากสังหารตระกูลเซี่ยทั้งหมดแล้ว ยังทรมานเจ้าด้วยการกรีดใบหน้าเจ้าก่อน” พูดจบ คมกระบี่ก็สะท้อนแสงเย็นยะเยือก เอ่ยถามด้วยความดุดัน “ข้าถามเจ้า เจ้าจะส่งเคล็ดวิชาลับมาหรือไม่”
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้” เซี่ยฟางหวารีบกล่าวด้วยความกลัว “ในเมื่อปรมาจารย์พูดคำไหนคำนั้น ไม่สังหารตระกูลเซี่ยกับข้า ตัวข้าสำหรับปรมาจารย์แล้ว ผู้อ่อนแอหรือจะสู้ผู้มีกำลังเข้มแข็งได้ อีกอย่างชีวิตของท่านปู่ก็อยู่ในกำมือของท่านปรมาจารย์ ข้าย่อมไม่กล้าไม่มอบให้ ท่านนำกระบี่ออกไปก่อน ปล่อยข้า แล้วข้าจะบอกเคล็ดวิชาลับกับท่าน”
ฉางเฟิงนำกระบี่ออกห่างเล็กน้อย กล่าวด้วยความเยือกเย็น “เจ้าอย่าตุกติก ถ้าข้าปล่อยเจ้าแล้ว มีหรือเจ้าจะไม่หนีไป”
“เคล็ดวิชาลับซ่อนอยู่ในใจข้า ข้าต้องเขียนออกมา ในเมื่อปรมาจารย์จับข้าได้ง่ายดายเช่นนี้ ยังกลัวว่าข้าจะหนีไปอีกหรือ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน จะหนีไปที่ใดได้” เซี่ยฟางหวาบอก
“ในเมื่อเจ้าจำไว้ในใจก็ไม่ต้องเขียนออกมา เจ้าแค่บอกมากับข้าก็พอแล้ว” ฉางเฟิงไม่ตกหลุมพราง
“ปรมาจารย์อยู่ที่นี่เพียงลำพังหรือ หากข้าพูดออกไปแล้วมีคนได้ยินเข้าเล่า” เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็กัดริมฝีปาก
“มีแค่ข้าที่อยู่ตรงนี้ เจ้าพูดมา ไม่มีใครได้ยินหรอก” ฉางเฟิงยืนยัน
“แต่ก็ควรระวังไว้หน่อยดีกว่า ปรมาจารย์ ท่านขยับเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะกระซิบบอกท่าน” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็กล่าวเพิ่มเติม “แต่ท่านต้องสาบานมาก่อน เมื่อได้เคล็ดวิชาลับไปแล้ว ห้ามลงมือกับตระกูลเซี่ยและข้าโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี”
“ได้!” ฉางเฟิงรีบสาบานต่อฟ้า อดใจรอไม่ไหวแล้ว
เซี่ยฟางหวาเห็นเขาสาบานอย่างรวดเร็ว ขยับเข้ามาใกล้นางจนห่างเพียงก้าวเดียว เขาย่อตัวลง ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมเป็นประกายร้อนวูบวาบ นางแค่นหัวเราะในใจ ทันใดนั้นก็ลงมือ แสงสีดำลอยออกจากฝ่ามือนางด้วยความเร็วว่องไว ชั่วพริบตาก็รัดลำคอเขาไว้
ฉางเฟิงตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน รีบตวัดกระบี่ขึ้น ทว่าสายไปแล้ว
หนึ่งคือเขาลดการป้องกันตัว สองคือเซี่ยฟางหวาลงมืออย่างว่องไว โดยเฉพาะหลังแสงสีดำของนางพุ่งไปรัดคอเขา มันเหมือนกับวงแหวนม่านพลัง ชั่วพริบตาก็รัดแน่นขึ้นสามเท่าตั้งแต่หัวจดเท้า ห่อหุ้มตัวเขาไว้ท่ามกลางพลังแสงสีดำ
เขาวางตาข่ายมีรูปร่างกับเซี่ยฟางหวา กลับนึกไม่ถึงว่าเซี่ยฟางหวาจะวางตาข่ายไร้รูปร่างกับเขา
ชั่วพริบตาเขาก็ขยับตัวไม่ได้ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ทว่าแสงสีดำรวมตัวกันกลายเป็นตาข่ายที่ยิ่งรัดยิ่งแน่นยิ่งถี่ยิบขึ้นตามแรงดิ้นของเขา ต่อให้เขามีลมปราณแท้ มีความสามารถ และมีความอดทนเพียงใด เวลานี้ก็มิอาจแสดงออกมาได้
[1] ***นั่งรอกระต่ายวิ่งมาชนต้นไม้ตาย หมายถึง นั่งรอคอยให้โชคลาภลอยมาหา