ตอนที่ 71-1 ตาข่ายไร้รูปร่าง

จารใจรัก

เซี่ยฟางหวาพร้อมด้วยพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินทางตลอดทั้งคืน เมื่อฟ้าสว่างก็เดินทางห่างจากเมืองหลวงมาได้ห้าร้อยลี้แล้ว 

 

 

           ตั้งแต่ออกจากเส้นทางภูเขากระทั่งเข้าสู่ถนนทางการก็ได้ยินผู้คนสัญจรบนถนนวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องพระราชโองการหย่าร้างบนประกาศ 

 

 

           ฉินเจิงหย่ากับเซี่ยฟางหวา นับจากนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก ต่างฝ่ายต่างสมรสได้ใหม่ 

 

 

           มีพระราชโองการหย่าร้างเช่นนี้หลังเพิ่งเข้าพิธีสมรสกันได้ไม่กี่วันนับว่าหาได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบันยังไม่เคยมีการติดประกาศพระราชโองการหย่าร้างทั่วใต้หล้ามาก่อน เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตกใจอย่างยิ่ง 

 

 

           กระทั่งเข้าสู่ตัวเมือง รอบกายยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นไม่หยุด 

 

 

           หลังเข้ามาในเมือง ตัวเมืองชั้นในยิ่งมีคนเดินขวักไขว่มากยิ่งขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระราชโองการกันอย่างดุเดือดเหมือนเปลวเพลิงพุ่งสู่ท้องฟ้า 

 

 

           ทั้งถนนใหญ่หรือตรอกซอยเล็กๆ ต่างมีประกาศหย่าร้างติดจนทั่ว หน้าประกาศทุกแผ่นเต็มไปด้วยผู้คนมุงดูหนาแน่น 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองฝูงชนและเสียงวิจารณ์หนาหูแล้วลอบมองเซี่ยฟางหวา 

 

 

           ตั้งแต่ออกจากเส้นทางภูเขา เซี่ยฟางหวาก็นำผ้าคลุมหน้ามาสวมเพื่อบดบังใบหน้า ใต้ผ้าคลุมหน้าสีขาวมีเพียงดวงตาที่โผล่พ้นออกมา แฝงความขมุกขมัวและความเยือกเย็นเงียบเหงา แสดงอากัปกิริยาสงบนิ่งอย่างมาก เพียงกวาดตามองป้ายประกาศแวบหนึ่ง ก่อนมองหาโรงเตี๊ยมแล้วเดินเข้าไป 

 

 

           ภายในโรงเตี๊ยมยามเช้าตรู่นั้นเงียบเหงา ไร้แขกแวะเวียนมา 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันมาเหลือบมองให้ซื่อฮว่าเข้าไปพูดคุย 

 

 

           “มีห้องว่างหรือไม่ คุณหนูของข้าอยากพักผ่อนสักครึ่งวัน หลังบ่ายก็จะออกเดินทางต่อ” ซื่อฮว่ารีบเดินขึ้นมากล่าวกับเถ้าแก่  

 

 

           “มีห้องว่าง แม่นางทุกท่านเชิญตามข้าขึ้นไปชั้นบน” เถ้าแก่พินิจมองเซี่ยฟางหวาครูหนึ่งแล้วรีบยิ้มตอบ  

 

 

           เมื่อมาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เถ้าแก่เปิดประตูออก ข้างในเป็นห้องกว้างอย่างมาก ประดับตกแต่งอย่างประณีต เครื่องเรือนเครื่องใช้ครบครันและสะอาดอย่างยิ่ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินเข้าไป 

 

 

           ซื่อฮว่าขอน้ำอาบหนึ่งถังมาให้เซี่ยฟางหวา ทั้งสั่งอาหารมาจำนวนหนึ่ง เถ้าแก่รีบลงไปสั่งงาน 

 

 

           ไม่นานก็มีคนยกน้ำถังหนึ่งเข้ามา 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเข้าไปอาบน้ำหลังฉากกั้น เพราะเดินทางผ่านเส้นทางภูเขามาตลอดคืน ร่างกายจึงตากกระแสความเย็น เมื่อถูกน้ำอุ่นชโลมอาบจึงขับความหนาวเย็นออกไปได้บ้าง 

 

 

           ครึ่งชั่วยามถัดมา นางขึ้นจากถังไม้ อาหารก็ถูกยกเข้ามาในห้องพอดี 

 

 

           เมื่อทานอาหารเสร็จ เซี่ยฟางหวาก็บอกกับพวกซื่อฮว่าและซื่อม่อ “ไปจองห้องอีกห้องหนึ่งแล้วพักผ่อนด้วยกันเถอะ หลังบ่ายค่อยเดินทางต่อ วันนี้ต้องไปถึงเมืองหลินอันให้ได้” 

 

 

           ทั้งแปดพยักหน้า 

 

 

           เซี่ยฟางหวาล้มตัวนอนบนเตียง แม้เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง กลับไร้ซึ่งความง่วง นางหลับตานอนนิ่ง 

 

 

           นอกหน้าต่างคิดกับถนนพอดี เสียงวิจารณ์เกี่ยวกับพระราชโองการหย่าร้างดังแว่วเข้าโสตประสาทผ่านทางหน้าต่าง 

 

 

           มีคนพูดว่า ในเมื่อพระราชโองการออกมาแล้ว เช่นนั้นนับจากนี้ท่านอ๋องน้อยเจิงกับคุณหนูฟางหวาก็ไร้ความเกี่ยวข้องกันแล้วจริงหรือ 

 

 

           มีคนพูดว่า แน่นอน ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้วเป็นแน่ 

 

 

           มีคนพูดว่า ฟังว่าแรกเริ่มเพื่อแต่งกับคุณหนูฟางหวา ท่านอ๋องน้อยเจิงพยายามต่อสู้ด้วยเหตุผล ต้องทนความลำบากทุกข์ยากมาไม่น้อย ตอนนี้เพิ่งสมรสกันไม่กี่วัน ฝ่าบาทก็ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง ท่านอ๋องน้อยเจิงยอมหรือ 

 

 

           มีคนพูดว่า ถึงท่านอ๋องน้อยเจิงไม่ยอมแล้วจะทำเช่นไรได้ นั่นเป็นฝ่าบาท หรือว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะต่อต้านฝ่าบาทเล่า 

 

 

           มีคนรีบอุดปากคนผู้นั้นทันที แล้วเตือนว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ ถึงได้กล้าพูดเช่นนี้ 

 

 

           เสียงกลุ่มคนเบาลงทันที 

 

 

           แต่ไม่นานก็ทนไม่ไหว กล่าววิจารณ์ตามอำเภอใจต่ออีก 

 

 

           โดยลอบตำหนิผู้เป็นฮ่องเต้เสียส่วนใหญ่ หลังดื่มชากินข้าวประชาชนส่วนใหญ่รักการดูงิ้ว เหตุการณ์นี้เหมือนกับบทงิ้วแนวกระบองตียวนยาง*[1]ที่นำมาออกแสดงอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่โบราณกาล หลังฝ่ายบุรุษหย่าร้าง ไม่นานก็แต่งภรรยาคนใหม่เข้าบ้านแล้ว แต่หลังฝ่ายสตรีหย่าร้างกลับต่างกัน ยากจะหาคู่ครองดีๆ ออกเรือนด้วยอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าผู้คนมากน้อยกำลังวิจารณ์อย่างไร ต่างก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเซี่ยฟางหวา น่าสงสารคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากตระกูลเซี่ยอันร่ำรวยฟุ้งเฟ้อเช่นนี้ ยังหนีไม่พ้นจากโชคชะตาที่ต้องถูกหย่าร้างเช่นกัน 

 

 

           สำหรับเรื่องแบบนี้นางเป็นแค่สตรีบอบบางคนหนึ่ง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ คนนับไม่ถ้วนต่างพากันทอดถอนใจด้วยความสงสาร 

 

 

           เซี่ยฟางหวานอนอยู่บนเตียงพลางหัวเราะไร้เสียง คล้ายเยาะเย้ยคล้ายถากถาง ผ่านไปพักหนึ่งก็ตัดสินใจเข้านอน 

 

 

           นอนหลับจนถึงตอนบ่าย หลังทานมื้อกลางวันแล้ว เซี่ยฟางหวาก็เตรียมเดินทางต่อ 

 

 

           เวลานี้เถ้าแก่คนเดิมก็เดินเข้ามาในห้อง คำนับต่อเซี่ยฟางหวาด้วยความเคารพ “คุณหนูฟางหวา คุณชายของข้าเพิ่งส่งจดหมายมา ขอให้ข้าน้อยมาบอกคุณหนูฟางหวาว่าให้พักผ่อนที่นี่ต่ออีกครึ่งวัน รอคุณชายของข้าก่อน” 

 

 

           “คุณชายของเจ้า” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว 

 

 

           “เรียนคุณหนูฟางหวา คุณชายของข้าคือคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ตอนนี้กำลังรีบเดินทางมาขอรับ” เถ้าแก่รีบตอบ 

 

 

           “ที่แท้โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็เป็นของหลี่มู่ชิง มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นกับการตกแต่งนัก” เซี่ยฟางหวาได้ยินแบบนั้นก็มองเขา 

 

 

           “คุณชายตามท่านออกจากเมืองมาตั้งแต่เมื่อคืน เพียงแต่ถูกขัดขวางที่ภูเขาเก้าวงแหวน ยามเฉิน**[2]วันนี้เพิ่งจะออกจากที่นั่น ข้าได้รับข่าวเมื่อเช้าว่า หากท่านมาที่นี่ ขอให้แวะพักก่อนหนึ่งวัน” เถ้าแก่รีบประสานมือกล่าว  

 

 

           “เจ้าบอกเขาว่าให้กลับไปเถอะ!” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 

 

 

           เถ้าแก่ชะงักแล้วรีบกล่าว “คุณชายเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อรีบตามมา ทั้งยังเป็นห่วงท่านด้วยเช่นกัน คุณชายส่งจดหมายมาว่าขอให้ท่านรอเขาก่อน” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาถอนหายใจออกมา “หลี่มู่ชิงรักษาสัจจะ ข้านับถือจากใจ เพียงแต่ตอนนี้ใต้หล้าต่างวิจารณ์เรื่องพระราชโองการหย่าร้าง เพื่อชื่อเสียงของเขา ตอนนี้อย่าเข้าใกล้ข้าจะดีกว่า จะได้ไม่โดนลูกหลงไปด้วย” พูดจบก็กล่าวกับเถ้าแก่ “คุณชายเจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าบอกเขาว่าให้กลับไปเถอะ! หากมีความจำเป็น ข้าจะขอความช่วยเหลือจากเขาเอง” 

 

 

           เถ้าแก่ชะงักไปครู่หนึ่ง คำนึงถึงชื่อเสียงคุณชายตนเช่นกัน “นี่…” 

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือปรามไม่ให้เขาพูดมากไปกว่านี้แล้วออกจากห้อง 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนรีบตามนางลงไปข้างล่าง 

 

 

           ทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้วออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมา หลี่มู่ชิงก็ได้รับจดหมายจากพิราบส่งข่าว เขาแกะกระดาษที่ถูกผูกบนขานกพิราบ อ่านครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา 

 

 

           “คุณชาย” ผู้ติดตามคนสนิทมองเขา 

 

 

           “หากข้ากลัวโดนลูกหลง คงไม่ตามออกจากเมืองมาหรอก” หลี่มู่ชิงฉีกกระดาษจดหมาย ลมวูบหนึ่งพัดมา หอบเอากระดาษจดหมายลอยกระจายออกไป เขาพูดขึ้น “เดินทางต่อ” 

 

 

           ทุกคนพยักหน้ารับ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาออกจากเมืองก็ควบม้าตรงไปยังเมืองหลินอันต่อ หลังเดินทางมาได้หนึ่งร้อยลี้ เบื้องหน้ามาถึงที่ราบโอบล้อมด้วยภูเขา รอบทิศเป็นป่าหนาทึบ ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม ตรงกลางเป็นเส้นทางดินทางหนึ่ง หลังฝนตกหนักผ่านไป ด้วยอากาศแจ่มใสหลายวันที่ผ่านมาทำให้บริเวณนั้นโดนแดดส่องจนกลายเป็นทางแห้งกรัง โคลนที่ถูกเพลารถม้าเหยียบผ่านกลายเป็นดินแห้งแตก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพลันดึงเชือกบังเ**ยน 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อฮว่าเห็นนางหยุดจึงรีบดึงเชือกบังเ**ยนตาม มองนางเอ่ยขึ้น “คุณหนู จะพักสักครู่หรือเจ้าคะ” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองป่าข้างหน้า ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อติดตามนางมาช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงพอคุ้นเคยกับนิสัยนางบ้าง เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ตื่นตัวระแวดระวังขึ้นมาทันที คิดว่าเบื้องหน้าต้องมีบางสิ่งเป็นแน่ มิฉะนั้นคุณหนูคงไม่แสดงออกเช่นนี้ 

 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้ารอตรงนี้” 

 

 

           “คุณหนู” ทุกคนต่างงุนงง 

 

 

           “ฟังคำสั่งข้า รอตรงนี้ ถ้าข้ายังไม่สั่งก็ห้ามตามมา” เซี่ยฟางหวาออกคำสั่งเด็ดขาดอีกครั้ง จากนั้นก็หนีบขาสองข้างเข้ากับท้องม้า มุ่งเข้าไปในที่ราบตรงนั้น 

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นนางจากไปก็ร้อนใจ ทว่าด้วยคำสั่งของนางจึงไม่กล้าตามไป ได้แต่มองตาปริบๆ 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] *กระบองตียวนยาง อุปมาหมายถึง การพรากสามีภรรยาที่รักกันมากออกจากกัน 

 

 

[2] **ยามเฉิน คือ ช่วงเวลา 7:00 น. – 9:00 น.