ตอนที่ 70-2 เกรียวกราวทั่วใต้หล้า

จารใจรัก

รองหัวหน้ามายังตำหนักบรรทมฮ่องเต้ พบว่าข้างในตำหนักยังสว่างไสวอยู่ เขารีบควบคุมความลนลานแล้วทูลรายงาน “ฝ่าบาท พระชายาอิงชินอ๋องอยู่นอกประตูวัง บอกว่าขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “หืม” สุรเสียงของฮ่องเต้พลันเคร่งขรึมขึ้น “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว นางเข้าวังมาทำไม” 

 

 

           “บอกว่ามีเรื่องด่วนต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทมิทรงให้เข้าพบ…” รองหัวหน้าสูดลมหายใจเต็มปอด “พระชายาบอกว่านางจะบุกเข้ามาเอง” 

 

 

           “สมกับเป็นแม่ลูกกัน แต่ละคนล้วนมาเพื่อขู่เข็ญสร้างความลำบากใจให้เรา เห็นว่าเราทำอะไรพวกเขาไม่ได้รึ” ฮ่องเต้ได้รับฟังเช่นนั้นก็ทรงกริ้ว 

 

 

           “ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงกริ้ว” อิงชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ก่อนหน้านี้นางออกไปตามหวาเอ๋อร์ ตอนนี้คงเพิ่งกลับมาถึง ด้วยความรีบร้อนจึงมิได้คำนึงว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว” 

 

 

           “เป็นเพราะท่านตามใจจนเคยตัว” ฮ่องเต้ทรงตำหนิด้วยโทสะ 

 

 

           อิงชินอ๋องจนปัญญา “ใช่ เพราะกระหม่อมตามใจเอง” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “หากฝ่าบาทมิอยากพบนาง เช่นนั้นกระหม่อมจะออกไปห้ามนางเอง” 

 

 

           ฮ่องเต้ทรงได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อไตร่ตรอง ครั้นแล้วก็ยกพระหัตถ์ไล่ “ท่านออกไปห้ามนางเถอะ นางเข้าวังมาเพื่อมาพบเราตอนกลางดึก ไม่ต้องถาม เราก็ทราบดีว่านางมาทำสิ่งใด จะต้องได้ยินเรื่องติดประกาศทั่วใต้หล้าเป็นแน่ มาเพื่อขู่ให้เราเรียกประกาศคืน” ตรัสจบก็ทรงแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเราตัดสินใจเองได้ คงไม่ปล่อยให้พวกเขาผลัดกันมาขู่บังคับเราหรอก นิสัยเหมือนกันจริงๆ” 

 

 

           “เช่นนั้นฝ่าบาททรงพักผ่อนเถิด กระหม่อมขอตัวก่อน” อิงชินอ๋องลุกขึ้นแล้วทูลอำลา 

 

 

           ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ 

 

 

           อิงชินอ๋องออกจากตำหนักบรรทมฮ่องเต้ มองท้องฟ้าแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจยาว ก่อนมุ่งตรงไปยังนอกวังหลวง 

 

 

           เมื่อมาถึงหน้าประตูวังหลวง ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกก็พบว่าพระชายาอิงชินอ๋องกำลังขี่ม้าด้วยเนื้อตัวคลุกฝุ่น ใบหน้าเย็นยะเยือกเด่นชัดภายใต้ฟ้ายามรัตติกาล เขาเหม่อลอยครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงเรียก “จื่อจิง” 

 

 

           พระชายาพบว่าผู้ที่เดินออกมาเป็นอิงชินอ๋องก็พินิจมองเขาตั้งแต่หัวจดเท้ารอบหนึ่ง พบว่านอกจากสีหน้าที่ค่อนข้างย่ำแย่แล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด นางรีบลงจากม้าแล้วเอ่ยถาม “ไฉนเป็นท่านที่ออกมา ฝ่าบาทมิให้ข้าพบหรือ” 

 

 

           “กลับจวนก่อนเถอะ กลับไปแล้วข้าค่อยเล่าให้ฟัง” อิงชินอ๋องกุมมือนาง “มือเย็นถึงเพียงนี้ ร่างกายก็คงเย็นด้วยเช่นกัน กลับไปแล้วให้คนต้มน้ำขิงมาถ้วยหนึ่งด้วย” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพลันอบอุ่นหัวใจแล้วส่ายหน้า “ไม่หนาว ข้าถามท่าน ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเช่นนั้นจริงหรือ ติดประกาศทุกหนแห่ง ประกาศพระราชโองการหย่าร้างต่อใต้หล้า” 

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้า 

 

 

           “พระองค์ทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไร แค่ออกพระราชโองการยังไม่พออีกหรือ นึกไม่ถึงเลยว่าต้องป่าวประกาศต่อใต้หล้าด้วย พระองค์ทรงจะทำสิ่งใดกันแน่” พระชายาได้รับคำยืนยันจากอิงชินอ๋องก็กระวนกระวายใจ 

 

 

            “เจ้าอย่าเพิ่งกระวนกระวาย กลับจวนไปกับข้าก่อน เรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่สะดวกพูดตรงนี้”  

 

 

อิงชินอ๋องรีบโอบนาง 

 

 

           พระชายาได้ยินว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังก็สงบลง มองไปยังอิงชินอ๋อง 

 

 

           “กลับจวนกันก่อน” อิงชินอ๋องบอก 

 

 

           พระชายามองประตูวังแวบหนึ่ง เมื่ออิงชินอ๋องเดินออกมา ประตูวังก็ปิดสนิทตามหลังทันที นางถลึงตาใส่ด้วยความโกรธเคือง จากนั้นก็ขี่ม้าตัวเดียวกับอิงชินอ๋อง กลับไปยังจวนอิงชินอ๋องด้วยกัน 

 

 

           เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องก็มาที่เรือนหลักทันที พระชายาปิดประตูแล้วเอ่ยถามอิงชินอ๋องอย่างอดใจรอต่อไปไม่ไหวแล้ว “เกิดอันใดขึ้นกันแน่” 

 

 

           “ระหว่างเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้นกันแน่นั้นข้ายังไม่รู้ ทราบเพียงจากฝั่งฝ่าบาทว่า ก่อนหวาเอ๋อร์ออกจากจวนได้ส่งคนไปที่วังหลวง ขู่บังคับฝ่าบาทให้ทรงออกพระราชโองการหย่าร้าง หากฝ่าบาทมิทำตาม นางจะใช้อิทธิพลของตระกูลเซี่ยทั้งหมดตัดชีพจรในหนานฉิน” อิงชินอ๋องถอนหายใจ 

 

 

           “อะไรนะ” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ 

 

 

           อิงชินอ๋องเห็นว่านางไม่อยากเชื่อก็ส่ายหน้ากล่าว “ตอนข้าได้ยินครั้งแรกก็ไม่อยากเชื่อเหมือนเจ้าเช่นกัน แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างทราบดีว่าฝ่าบาทมิใช่คนพูดปด ตำแหน่งจักรพรรดิพันธนาการพระองค์มาหลายปีแล้ว ทุกสิ่งที่ตรัสออกมาคือสัจจะวาจาทองคำ มีหรือจะทรงกุเรื่องขึ้นตามอำเภอใจ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เจ้าก็ทราบว่าตระกูลเซี่ยเจริญรุ่งเรืองมาหลายร้อยปี สั่งสมมารุ่นสู่รุ่น อำนาจกระจายอยู่ทั่วหนานฉิน บัณฑิต เกษตรกร กรรมกร และพ่อค้าต่างมีคนของตระกูลเซี่ย ถึงแม้ไม่ได้ควบคุมชีพจรหนานฉินครบทั้งสิบส่วน แต่ก็ควบคุมบ้านเมืองครึ่งหนึ่ง เรื่องการแยกตระกูลและบรรพบุรุษเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น ลึกๆ แล้วยังเกี่ยวข้องเป็นหนึ่งเดียวกัน หากตัดชีพจรอย่างเด็ดขาด ผลที่ตามมาเป็นเช่นไรคงทราบดี” 

 

 

           “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องหน้าซีด “เหตุใดหวาเอ๋อร์ถึงเด็ดขาดเช่นนี้” 

 

 

           “นี่ต้องถามเจิงเอ๋อร์แล้ว เรื่องระหว่างพวกเขามีเพียงตัวพวกเขาที่ทราบ” อิงชินอ๋องตอบ 

 

 

           “หลังข้ากลับมาก็กลับมาที่จวนก่อน อวี้จั๋วกับหลินชีบอกว่าตั้งแต่เจิงเอ๋อร์กลับจากวังก็เก็บตัวอยู่ในเรือนลั่วเหมย” พระชายาอิงชินอ๋องลดเสียงลง “ข้าจึงไปเรือนลั่วเหมย ให้พวกเขาพังประตูเข้าไป พบว่าเจิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในห้อง” 

 

 

           “แล้วเขาหายไปไหน” อิงชินอ๋องมึนงง 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า “ท่านเล่าเรื่องหลังเจิงเอ๋อร์ของข้าเข้าวังไปให้ฟังหน่อย” 

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้า เล่าว่าฉินเจิงบุกเข้าวังหลวงไปยังตำหนักบรรทมฮ่องเต้เพื่อซักถามให้ฟังคร่าวๆ กระทั่งเล่าถึงฝ่าบาทกับฉินเจิงคุยเรื่องใดกันนั้น ตัวเขาอยู่นอกตำหนักจึงไม่ทราบด้วย 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องฟังจบก็ถอนหายใจออกมา “ต่อมาฝ่าบาททรงให้ท่านอยู่ที่ตำหนักก่อน ได้ตรัสเรื่องใดหรือไม่” 

 

 

           “หลังเจิงเอ๋อร์ออกไป ฝ่าบาทก็ทรงเรียกข้าเข้าไปหา แรกเริ่มตำหนิเจิงเอ๋อร์ให้ฟังก่อน จากนั้นเมื่อพระองค์ระงับโทสะได้ก็สนทนาเรื่อยเปื่อยกับข้า” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  

 

 

           “สนทนาเรื่อยเปื่อย” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ 

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วทอดถอนใจ “บัลลังก์มังกรกับตำแหน่งจักรพรรดิสร้างความทรมานให้ฝ่าบาทจนชราลงทุกวัน สะสมจนล้มประชวร ยามนี้เรี่ยวแรงอ่อนแอ มีอุดมการณ์ทว่าสังขารหาอำนวยไม่ ย้อนนึกไปถึงสมัยก่อนนั้นฝ่าบาททรงมีท่วงท่าสง่างามเพียงใด ที่อดีตฮ่องเต้และเสด็จแม่ทรงเลือกพระองค์ก็เพราะเห็นถึงพรสวรรค์ในตัวพระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยมอบหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ให้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ข้าอายุมากกว่าพระองค์ตั้งหลายปี ตอนนี้แม้จอนสองข้างมีผมหงอกแล้วเช่นกัน ทว่าร่างกายก็ยังแข็งแรงดี ที่ผ่านมาพระองค์ต้องทรงอดกลั้นในหลายสิ่ง แม้แต่คนให้สนทนาด้วยยังหาไม่ คิดดูแล้วข้ายังเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่พระองค์จะสนทนาเรื่อยเปื่อยด้วยได้” 

 

 

           “เวลาใดแล้ว นึกถึงไม่ว่าฝ่าบาทยังทรงมีกะจิตกะใจมาสนทนาเรื่องในครอบครัวอีก” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวด้วยความไม่พอใจ 

 

 

           “ฝ่าบาทตรัสว่าพระองค์ควบคุมไม่ไหวแล้ว และจะไม่สนพระทัยแล้วเช่นกัน ทั้งบอกให้ข้าไม่ต้องสนใจแล้วด้วย บ้านเมืองจำต้องมีอัจฉริยะบุคคลกำเนิดขึ้นมา คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า พวกเราต่างกลายเป็นคนรุ่นเก่าแล้ว ให้คนรุ่นใหม่บากบั่นกันเองเถอะ” อิงชินอ๋องบีบไหล่พระชายาด้วยความเหนื่อยล้า “เจ้าตามหวาเอ๋อร์ไปไม่ทันหรือ” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า เล่าเรื่องเซี่ยฟางหวาสร้างค่ายกลขัดขวางนางให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ทั้งบอกเรื่องที่หลี่มู่ชิงตามไปด้วย ขณะเดียวกันเรื่องที่ฉินเจิงลั่นวาจาอันโหดเ**้ยมต่อหลี่หรูปี้ว่าหากได้พบจะสังหารก็เล่าให้ฟังด้วยเช่นกัน 

 

 

           อิงชินอ๋องฟังจบก็เกิดความไม่เข้าใจ 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน 

 

 

           สองสามีภรรยานั่งเข้าหากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ไม่เอ่ยคำใดชั่วเวลาหนึ่ง 

 

 

           กระทั่งถึงยามจื่อ*[1] อิงชินอ๋องก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เจ้าวิ่งเต้นมารอบหนึ่งคงเหนื่อยแล้ว หากเหนื่อยจนล้มป่วยไปอีกคนคงไม่ดีนัก พักผ่อนก่อนเถอะ ฝ่าบาททรงให้พักราชการสามวัน ขุนนางทั้งหมดไม่ต้องเข้าราชสำนัก พรุ่งนี้ข้านัดเสนาบดีฝ่ายขวามาพูดคุย ดูว่าคุณหนูหลี่ทำสิ่งใดลงไปกันแน่” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็เหนื่อยมากแล้วจึงพยักหน้าด้วยความเหนื่อยล้า 

 

 

           ราตรีนี้จวนอิงชินอ๋องดับตะเกียงในยามจื่อ จวนใหญ่ในเมืองต่างพากันคาดเดาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันในจวนอิงชินอ๋อง ทว่าหาสาเหตุไม่กระจ่าง กลางดึกแล้วถึงล้มเลิกแล้วพักผ่อนเช่นกัน 

 

 

           อวี้จั๋วกับหลินชีเฝ้าเรือนลั่วเหมย ฉินเจิงไม่กลับมาตลอดทั้งคืน 

 

 

           รุ่งสางวันถัดมา ราษฎรที่ตื่นแต่เช้าก็เห็นประกาศพระราชโองการหย่าร้างถูกติดไปทั่วทั้งถนนใหญ่และตรอกซอกซอยในเมืองหลวง 

 

 

           เหล่าราษฎรแปลกใจอย่างยิ่ง ต่างพากันคาดเดาว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกพระราชโองการหย่าร้างกะทันหันเช่นนี้ ทรงมีเจตนาเหยียดหยามจวนจงหย่งโหว หรือพระชายาน้อยทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่ กระทั่งฝ่าบาททรงออกพระราชโองการหย่าร้างหลังจากพวกเขาเพิ่งสมรสกันได้ไม่นาน ทั้งยังป่าวประกาศต่อใต้หล้า 

 

 

           นอกจากเมืองหลวง ทุกหนแห่งต่างมีประกาศติดอยู่ทั่วเช่นกัน ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ราชการทำงานมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง พระบัญชาของฝ่าบาทเพิ่งออกมาตอนพลบค่ำเมื่อวาน แต่ดำเนินการติดประกาศไปแล้วภายในคืนเดียวถึงพันลี้ รัศมีพันลี้จากเมืองหลวงหนานฉิน ประชาชนในแต่ละมณฑลต่างเห็นพระราชโองการหย่าร้างบนประกาศในตอนเช้าของวันถัดมา 

 

 

           พระราชโองการหย่าร้างสร้างความแตกตื่นฮือฮายิ่งกว่าสมรสพระราชโองการสองครั้ง เนื่องจากเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลายพื้นที่ยังมีควันหลงงานมงคลสมรสระหว่างฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาที่เพิ่งจัดไป ทว่าเมื่อมีพระราชโองการหย่าร้างเช่นนี้ รัศมีพันลี้จากเมืองหลวงตกอยู่ในสภาพดั่งน้ำเดือดปะทุขึ้น  

 

 

           ส่งเสียงเกรียวกราวทั่วใต้หล้าชั่วเวลาหนึ่ง 

 

 

           เมื่อฟ้าสว่าง หมอกก็จางลง ค่ายกลก็ถูกทำลายไปเองดังคาด 

 

 

           หลี่มู่ชิงใช้เวลาเดินวนรอบบริเวณค่ายกลเก้าหยางเก้าหยินที่ถูกสร้างขึ้นเนิ่นนานเพื่อเก็บรวบรวมเศษปิ่นปักผมเก้าชิ้น ทั้งมองภูเขาเก้าวงแหวนเบื้องหน้าอยู่พักใหญ่ถึงจะเก็บเศษปปิ่นปักผมจนครบเก้าชิ้น เขาพลิกกายขึ้นม้า นำคนเดินทางเลียบเส้นทางภูเขาตามไป 

 

 

 

 

 

[1] *ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01:00 น.