หลิน ชูจิ่ว ได้ตระหนักว่าเธอลืมที่จะส่งกระจกให้เฉินซาน เพื่อให้เขาเห็นบาดแผลของตัวเอง

       หลิน ชูจิ่ว จึงขอโทษด้วยความจริงใจ“ข้าขอโทษ ข้าลืมส่งกระจกให้เจ้าตอนนี้บาดแผลของเจ้าได้ถูกพันไปเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้เจ้าดูมันในครั้งต่อไปเมื่อเราเปลี่ยนผ้าพันแผลตกลงหรือไม่?” หลิน ชูจิ่วไม่ควรถูกตำหนิ เพราะมันเป็นความผิดของเสี่ยวเทียนเหยา หากเขาไม่ปรากฏขึ้นในทันทีทันใด เธอก็จะไม่พะว้าพะวัง

       เฉินซานกลัวแทบตายในตอนนี้

       หวางเฟยของพวกเขาขอโทษเขา เขาได้ยินผิดไปใช่ไหม?

“ หวาง หวางเฟย …ไม่  ไม่  ข้าไม่ต้องการที่จะดูมันขอรับ” เฉินซานผู้ซึ่งไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงตอบกลับไปอย่างโง่เขลา

       หลิน ชูจิ่ว ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก“ เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะถ้าเจ้าไม่สนใจ” อย่างเป็นวิสัยปกติ หลิน ชูจิ่วจึง ตบไหล่ของเฉินซาน เพื่อปลอบเขา“ พักผ่อนให้ดีๆ แผลของเจ้าจะหายในเร็ว ๆ นี้”

       สำหรับหลิน ชูจิ่วนี่เป็นเพียงการให้กำลังใจผู้ป่วย มันเป็นนิสัยที่พัฒนาขึ้นในโรงพยาบาล ไม่มีความหมายอื่น ๆ แต่……

       เสี่ยวเทียนเหยา และเฉินซานไม่รู้เรื่องนี้!

       เฉินซานรู้สึกงงงวยอีกครั้ง เขาไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ แต่เขารู้สึกเย็นบนหลังของเขา โดยสัญชาตญาณ เฉินซานจึงพยายามหลีกเลี่ยงหลิน ชูจิ่วอย่างรีบเร่งแล้วพูดขึ้น “หวางเฟย ข้า ข้าจะดูแลบาดแผลของข้าเองขอรับ” เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โปรดอยู่ห่างจากข้าเอาไว้ขอรับ

       แม้ว่าหลิน ชูจิ่วจะมีเส้นประสาทที่หนา แต่เธอก็สังเกตเห็นว่ามันผิดปกติ แต่เมื่อเธอหันกลับไป เสี่ยวเทียนเหยาก็กลับมาเป็นปกติ ดังนั้นเธอจึงไม่พบอะไรแปลกแม้แต่น้อย

       หลิน ชูจิ่วเก็บข้าวของของเธอและกล่าวลาเฉินซาน จากนั้นเธอก็หันไปรอบ ๆ เพื่อทำความสะอาดบาดแผลของคนอื่นๆ

       โชคดีที่มีผู้บาดเจ็บไม่มากในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ ยาที่ซื้อมาก่อนหน้ายังไม่ได้ใช้ไปมากนัก มีคนในเรือนเพียงไม่ถึงสิบกว่าคนเท่านั้นที่ใช้ยานี้ที่ผสมกับสนิมทองแดง มิฉะนั้นหลิน ชูจิ่วจะต้องเหนื่อยมากกว่านี้จริงๆ

       หลังจากทำความสะอาดและเย็บแผลและมันก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร หลิน ชูจิ่ว จึงรักษาคนหนึ่งและต่อไปอีกคนหนึ่ง แต่ระบบการแพทย์นั้นให้คะแนนเพียงเล็กน้อย ซึ่งเธอพบว่าระบบนั้นค่อนข้างขี้เหนียวมาก

       โชคดีที่หลิน ชูจิ่ว ไม่สนใจเรื่องนี้มากนัก เธอเพียงแค่รักษาผู้ป่วยตามความรุนแรงของพวกเขา เธอยุ่งมาก เธอทำทุกอย่างเสร็จประมาณเที่ยงคืน หลิน ชูจิ่ว ผู้เหนื่อยล้าและหิวมากจึงนั่งลงไปบนเก้าอี้ไม้และไม่ขยับไปไหน แต่เธอก็รู้ว่าเสี่ยวเทียนเหยาก็ยังคงนั่งอยู่ในที่เดียวกัน หลิน ชูจิ่วจึงก้มหัวของเธอลงและไม่ได้พูดอะไร

       เขาบอกว่าเขาไม่ได้มาหาเธอ แล้วเขากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่?

       หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้เคลื่อนไหว เสี่ยวเทียนเหยาเอง ก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน พ่อบ้านเฮ้า ซึ่งค่อนข้างแก่แต่ก็ต้องนอนดึกพร้อมกับเจ้านายทั้งสองของเขา แต่การเฝ้าดูพวกเขาเช่นนี้ เขารู้สึกกดดันและรู้สึกเหนื่อยล้าจริงๆ

       และหลังจากที่รอมานาน ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้มีความคิดที่จะริเริ่มพูดคุยกัน พ่อบ้านเฮ้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปหาหลิน ชูจิ่ว และถามขึ้น“ หวางเฟย ท่านต้องการให้บ่าวชราผู้นี้จัดให้คนนำเกี้ยวมารับท่านหรือไม่ขอรับ”

       ในตอนกลางคืนเช่นนี้ ยังจะมีผู้คนจะมารับเธอและพาเธอกลับไปอีกหรือ?

“ ไม่จำเป็น” หลิน ชูจิ่ว ส่ายหัวของเธอ“ ข้าสามารถเดินไปเองได้” แม้ว่าเธอจะเหนื่อย แต่ก็ไม่ถึงจุดที่เธอไม่สามารถเดินไปด้วยตัวเองได้

       หากร่างของเธอไม่อยู่ในสภาพที่ไม่ดีและไม่มีพิษเรื้อรังอยู่ เธอคงจะไม่ต้องมาอับอายเช่นนี้ เธอเคยต้องยืนเป็นเวลาถึง 18 ชั่วโมงในการผ่าตัดครั้งสำคัญๆ

“ แต่…” ท่านดูไม่ค่อยดีนัก ท่านจะสามารถเดินไปได้ทั้งๆ แบบนี้จริง ๆหรือ?

       พ่อบ้านเฮ้า สงสัยมาก

“ข้าทำได้” หลิน ชูจิ่วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และลุกขึ้นยืน หลังจากเก็บสิ่งของของเธอแล้ว เธอก็พูดขึ้น“ แค่ให้คนยกกล่องยาของข้าไปก็พอ”

       พ่อบ้านเฮ้าจัดทหารสองคนมาทันที หลังจากที่ทหารทั้งสองทำความเคารพต่อเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่วแล้ว พวกเขาก็ยกกล่องยาขึ้นมาและยืนอยู่ข้างหลังของหลิน ชูจิ่ว

       ก่อนที่หลิน ชูจิ่ว จะจากไป เธอก็พูดกับเสี่ยวเทียนเหยาขึ้นอย่างสุภาพ“ หวางเย่ ข้าขอตัว”

       น่าเสียดายที่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่แสดงความสนใจใดๆแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะมองไปที่เธอ หลิน ชูจิ่วไม่รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด เธอเพิ่งแค่เดินออกไปข้างนอกกับทหารเท่านั้น