จากหมู่บ้านของตระกูลอวิ๋นมุ่งหน้าไปทางเหนือ มีหนึ่งเส้นทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยแผ่นหิน สองปีที่ผ่านมานี้ถูกรถม้ารถวัวเหยียบจนเป็นร่องตื้นๆ และบนแผ่นหินมีน้ำค้างแข็งชั้นบางๆ คล้ายหิมะสีขาว
เมื่อใช้เส้นทางลาดเล็กๆ เดินลงไป จะมองเห็นต้นสนที่ปกคลุมสำนักศึกษาได้แต่ไกล
ชวีจั๋วเหยียบหิมะลื่นไถลลงมาจนถึงประตูหลังของสำนักศึกษา มองขึ้นไปก็เห็นลวดลายแกะสลักรูปกิเลนและมังกรบนแผ่นป้ายเหนือบานประตู หูได้ยินเสียงท่องพระคัมภีร์ดังอยู่นาน หลังจากที่เขาเดินผ่านประตูเข้าไป สายตามองตรงไปไม่มองซ้ายมองขวา เดินตรงผ่านลานด้านหน้าไป จนมาถึงห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยเพื่อรอเขาเลิกงาน
ห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยได้รับการยกย่องว่าเป็นที่ที่ลมเข้าได้ ฝนเข้าได้ ลูกศิษย์ อาจารย์ก็เข้าได้ มีเพียงเว่ยอ๋องหรือหลี่ไท่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า ดังนั้นชวีจั๋วจึงนั่งได้อย่างสบายใจ พิงพนักเก้าอี้ดูห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ย
เป็นห้องที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก ทั้งห้องเป็นสีหินอ่อน ดูเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน มองดูชั้นหนังสือในห้องที่ถูกวางหนังสือไว้จนไม่เหลือช่องว่าง หลังจากเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นไอกระดาษจากหนังสือ แยกไปทางด้านทิศตะวันตกจะเป็นห้องชุด แขวนผ้าม่านผืนหนาสีฟ้า ที่ริมหน้าต่างมีตู้หนังสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่ใส่ปากกาทำจากหยกถูกแกะสลักอย่างประณีต ที่ใส่ปากกาหยกและที่ทับกระดาษหยกเป็นสิ่งของที่อวิ๋นเยี่ยรัก นอกจากของเหล่านี้ก็ไม่เห็นอย่างอื่นอีก ไม่เห็นหนังสือและกระดาษ ผนังทั้งสี่ด้านก็ไม่เห็นภาพวาดหมึกหรือกรอบรูป มีเพียงแผนที่แปลกๆ ของเขตชายแดนต้าถังบนกำแพงด้านทิศตะวันตก
ทุกครั้งที่ชวีจั๋วมาก็อดคิดไม่ได้ ลายลักษณ์อักษรที่แขวนเต็มกำแพงของบัณฑิตผู้รอบรู้เหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่อาจไม่ใช่ผู้มีความรู้โดยแท้จริง เหมือนอาจารย์อวิ๋นเยี่ยผู้มีความรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรู้ มีเพียงแค่ตัวเองที่รู้ก็พอ ไม่ต้องเขียนอะไรไว้บนกำแพงหลอกผู้อื่น
กระดิ่งด้านนอกหน้าต่างดังขึ้น อวิ๋นเยี่ยหนีบหนังสือไว้ข้างเอวหนึ่งเล่ม ในมือถือไม้บรรทัดที่ทำจากไม้ และไม้บรรทัดสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา เพิ่งจะวางของในมือลง ชวีจั๋วก็เอากาน้ำชาที่อุ่นกำลังดีมาเสิร์ฟ
อวิ๋นเยี่ยยิ้มพร้อมรับน้ำชาในมือ จิบน้ำชาไปเล็กน้อย จากนั้นวางกาน้ำชาลงพร้อมกับถามชวีจั๋วว่า “เจ้าไม่ไปเรียนวิชากับถังกงหรือ เหตุใดจึงมาหาข้าถึงที่นี่”
“สามวันก่อนอาจารย์สั่งให้ข้ามารอที่นี่ เหตุใดถึงไม่ยอมรับแล้ว สามวันก่อนตอนลากันท่านยังตบไหล่ข้าเบาๆ สามทีอยู่เลย หากยังไม่ชัดเจนอีก ข้าก็ไม่มีอะไรจะเอ่ยแล้ว”
“ข้าตบไหล่เจ้าสามทีเพื่อให้กำลังใจเจ้าในการเล่าเรียน ไม่เห็นต้องคิดไปไกล เป็นคนควรซื่อตรงจะดีกว่า จะคิดซับซ้อนไปทำไมกัน”
“อาจารย์อย่าหลอกข้าเลย ข้าคนฐานะต่ำต้อย อาจารย์เมตตาข้า เลือกข้าจากในบรรดาคนเหล่านั้น ยากที่จะตอบแทนได้ มีเพียงใจที่กตัญญู หากอาจารย์ออกคำสั่ง บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่กลัว”
อวิ๋นเยี่ยพยุงชวีจั๋วที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นให้ลุกขึ้น หัวเราะแล้วเอ่ยบอกว่า “สำนักศึกษาไม่เคยแสดงความเมตตาต่อใครเพื่อให้ตอบแทน ทุกอย่างที่พวกเราทำก็เพื่อให้คนที่อยู่ใต้หล้านี้ได้รับการศึกษาเล่าเรียน เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ฉลาด ไม่ผิดหรอก ตบบ่าสามทีก็เพื่อบอกเจ้าเป็นนัยๆ หากเจ้าเข้าใจ ข้าก็จะมีงานสำคัญให้เจ้าทำ แต่ว่าเรื่องสำคัญที่สุดของเจ้าในตอนนี้ก็คือตั้งใจร่ำเรียนวิชาของถังเจี่ยน แล้วภายหลังเจ้าจะมีโอกาสพัฒนาฝีมือได้อีกมาก มียศตำแหน่งดีๆ ที่ต้องการคนอย่างเจ้ามารับผิดชอบอยู่พอดี”
“อาจารย์เรียกข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้หรือขอรับ”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าบอกกับเขาว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นคน ข้าคิดแบบนี้ สำนักศึกษาก็คิดแบบนี้ ฝ่าบาทก็คิดแบบนี้เช่นกัน ทุกครั้งที่มีคนเหมาะแก่การฝึกฝนปรากฏขึ้น ผู้นั้นย่อมต้องได้รับการทดสอบ เจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี เพราะผู้นั้นต้องพบกับความยากลำบาก และบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”
จิบน้ำชาไปหนึ่งอึกแล้วเอ่ยอีกว่า “เจ้าสามารถรู้ถึงความหมายของการตบบ่าสามที ข้าภูมิใจในตัวเจ้า เด็กน้อย เตรียมตัวรับมันไว้ให้ดี เจ้าจะพบเจอปัญหามากมายไม่ขาดสาย ข้าหวังว่าเจ้าจะทนไหว”
“แม่เพิ่งได้รับอิสระจากการเป็นทาส ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ว่าตัวข้านั้น ท่านอย่าได้คิดว่าข้าเป็นคนเลย ข้าทนลำบากมาตั้งแต่ยังเด็ก เคยเกือบโดนวัวเหยียบตาย แล้วยังเคยเกือบต้องหนาวตาย มีชีวิตอยู่ได้ถึงตอนนี้ก็ถือว่าสวรรค์เมตตามากๆ แล้ว ที่ข้ามีชีวิตรอดมาได้เพราะไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนี่ล่ะ อาจารย์ ท่านไม่ควรบอกข้า ไม่เป็นการดีแน่หากข้านึกกลัวไปก่อนเช่นนี้?”
“เจ้าได้ยินตอนไหนว่าสำนักศึกษาให้บอกจุดมุ่งหมายของตัวเองกับคนอื่น ตัวเองเลือกทางเดินเอง จงอย่าได้เสียใจภายหลัง ไปเถิด ในเมื่อเจ้ารับปากแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมรับไว้ให้ดี ข้าจะไม่ช่วยเจ้า แล้วก็จะไม่เพิ่มความลำบาก หากรับไหว เจ้าจะได้รับการยอมรับ หากรับไม่ไหว สำนักศึกษาก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ปล่อยไปตามยถากรรม”
เห็นชวีจั๋วจากไป อวิ๋นเยี่ยยิ้มอย่างเอ็นดู พร้อมพูดเบาๆ กับตัวเองว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าช่วยเจ้าได้ถึงตรงนี้”
ต้นเหตุของเรื่องราวนี้เป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนกับที่เรากินข้าวอยู่ทุกวัน การทำภารกิจของชวีจั๋วครั้งนี้โดนดูถูกอยู่ไม่น้อย ผู้ดูแลวัดหงจ่งซื่อกังวลเกี่ยวกับเขาอยู่มาก โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กของถังเจี่ยน ถังซ่านจื้อไม่พอใจที่พ่อตนเองถ่ายทอดวิชาความรู้ให้คนนอกตระกูล ประกาศจะจัดการเด็กเลี้ยงวัวผู้นั้น
อวิ๋นเยี่ยไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือ แต่ก็หวังว่าเด็กคนนั้นจะผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมายหรือยศตำแหน่ง เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าคนพวกนั้น มีเพียงการให้ภาพลวงตาแก่เขา ให้คิดว่านี่คือการทดสอบ เขาก็อาจจะผ่านมันไปได้ บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่อยู่เฉยๆ แล้วจะได้มันมาเองหรอก หากเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ จะยังหวังอะไรจากคนเช่นนั้นได้อีก
คนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ได้มีเพียงชวีจั๋ว ผ่านก้านดอกไม้ไปอีกทางหนึ่ง มีผู้ชายสูงใหญ่สวมชุดสีคราม ในมือถือหนังสือหนึ่งเล่มเดินอย่างเศร้าสร้อยอยู่ตามลำพัง ศิษย์คนอื่นๆ เดินผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว ไม่มองเขาแม้แต่น้อย ทำเหมือนกับเขาเป็นอากาศธาตุ
หากไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าเขาจะมียศมีตำแหน่ง อวิ๋นเยี่ยก็จะให้เขาอยู่สอนหนังสือในสำนักศึกษาไปตลอดชีวิต เพราะคงแพ้อย่างราบคราบให้แก่กลุ่มลูกคนมีตระกูล เรื่องการจับจองที่ดินเป็นปัญหาที่จัดการไม่ได้เสียที ทุกคนต่างคิดว่าต้าถังมีที่ดินมากมาย เพียงพอที่จะให้ทุกคนมีที่ดินเป็นของตัวเอง
อย่างมากก็เป็นที่ดินใกล้ไกลต่างกัน หากหม่าโจวไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าเมื่อพวกตระกูลคนรวยได้รับเกียรติสูงสุด ก็ควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย ที่ดินที่อยู่ไกลเช่นนี้ยิ่งควรแบ่งให้แก่ตระกูลที่สูงศักดิ์ ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป ในฐานะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ชาวบ้านควรได้รับการดูแล
ไม่กี่วันมานี้ อวิ๋นเยี่ยได้เฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ เห็นหม่าโจวถูกกล่าวโทษก็ไม่ได้ออกตัวช่วยเขาแม้สักนิด ตอนนี้ศิษย์ผู้ยากไร้ผู้นี้กำลังเข้าสู่สถานการณ์ยากลำบากทีเดียว
คนในกลุ่มของเขาถูกพวกลูกคนรวยดึงไปเป็นพวกตัวเอง หลังจากดึงไปก็เหมือนกับนกกระจอกที่ส่งสัญญาก่อนภัยพิบัติจะมาถึง ร่ำร้องเสียงดังก่อนจะแตกรังแยกกันไป
คนพวกนั้นไม่ได้ใช้ไม้ตายอะไร เพียงแค่อาศัยความได้เปรียบของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ช่วยจัดการปัญหาที่เป็นกังวลให้แก่ลูกศิษย์พวกนั้นก็เท่านั้นเอง
ในสำนักศึกษา นี่เป็นสิ่งสมเหตุสมผล ทุกคนใช้สิ่งที่ตัวเองมีให้เป็นประโยชน์ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ใช้อำนาจให้ผู้อื่นเกรงขาม ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ขอเพียงไม่ข่มขู่ก็พอแล้ว
ลูกคนจนหากอยากบรรลุตามเป้าหมายก็ต้องหาวิธีอื่น การอาศัยบุญบารมีของผู้อื่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว เพลงสากลบอกไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีฮีโร่ พระเกาเซิงก็เคยบอกไว้ว่า การขอพรพระก็คือการปัดความรับผิดชอบของตัวเองด้วยคำพูดเหล่านี้ อวิ๋นเยี่ยเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
ความฉลาดเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด เห็นได้ชัดว่าหม่าโจวยังหาจุดบกพร่องของฝ่ายตรงข้ามไม่เจอ เห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมา ก็อยากให้อวิ๋นเยี่ยทวงความยุติธรรมให้ชาวบ้าน สำหรับเขาแล้ว อาจารย์เป็นคนยุติธรรมไม่เห็นแก่ตัว จึงคิดว่าตัวเองต้องได้รับการสนับสนุนอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาลืมไปว่า อาจารย์ก็เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ แล้วยังเป็นตระกูลใหญ่ที่สุด
“ท่านอวิ๋นโหว ท่านเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษา หรือว่าท่านจะมองต้าถังเดินลงเหวโดยไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ” พอพูดออกมาคำแรกก็เป็นเรื่องความชอบธรรม เขาอาจจะคิดว่าอาจารย์เป็นคนมีความยุติธรรม เห็นใครโดนเอาเปรียบไม่ได้ แม้จะขอร้องผิดคน แต่ว่าตอนนี้ก็รู้จักขอความช่วยเหลือ นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“หม่าโจว เจ้าขอร้องผิดคนแล้ว ดูจากเหตุผลเจ้า ข้าก็อยู่ในฝ่ายที่ได้ประโยชน์ เจ้ากำลังขอผิดคน ขอคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ช่วยก็เหมือนกับขอร้องเสือให้ฆ่าหมาป่าที่กินคน หมาป่ากินคน เสือไม่กินคนเหรอ”
ตบบ่าหม่าโจวเบาๆ อวิ๋นเยี่ยเดินออกไปอย่างได้ใจ ไม่สนใจหม่าโจวที่กำลังเสียใจเลยแม้แต่น้อย หากเขาไม่อยากหาวิธีเอง ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ แต่ว่าอวิ๋นเยี่ยเชื่อใจเขา คนที่มีชื่อเสียงมานับพันปีไม่ล้มลงง่ายๆ หรอก
ร้านเล็กๆ หน้าสำนักศึกษาครึกครื้นอยู่ดังเดิม นี่เป็นที่ที่เดียวที่ให้เหล่าศิษย์ได้ปลดปล่อย ไม่ว่าพวกเขาจะเอะอะโวยวายอย่างไร หวงสู่ก็ยังคงยิ้มอยู่หลังเคาน์เตอร์ มองดูพวกเขาหยอกล้อกัน ช่วงนี้ปกติเขาจะวางถ้วยเหล้าไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วก็มักจะมีถั่วคั่วสุกเหลืออยู่ในทุกวันที่ดื่มเหล้าหนึ่งจอก
เขาชอบวิถีชีวิตเช่นนี้ ภรรยาบอกว่าดื่มได้สองจอกต่อวัน เขาก็จะดื่มสองจอก ไม่มีทางดื่มมากกว่านั้น และไม่มีทางน้อยไปกว่านั้น
วันนี้ถั่วเหลืองคั่วจนแห้ง เคี้ยวกรุบกรอบอยู่ในปาก ผู้หญิงบอบบางน่ารักอยู่ข้างๆ เขา รวมเม็ดถั่วเหลืองที่กระจายออกไว้ให้เขา เพื่อให้พ่อหยิบขึ้นมาง่ายๆ เท่านั้นเอง
อวิ๋นเยี่ยกำถั่วเหลืองมาหมดอย่างไม่เกรงใจ โยนเข้าปาก เคี้ยวทีละเม็ด เขาไม่ดื่มเหล้า แต่ชอบแย่งถั่วเหลืองของหวงสู่มากินเล่น
คนที่ชอบทำแบบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อวิ๋นเยี่ย หลี่ไท่ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เพราะทำเช่นนี้จนไม่รู้ว่าโดนสาวน้อยมองตาขวางไปไม่รู้กี่ครั้ง เนื่องจากสนิทกันมาก เด็กที่กำลังเติบโตได้ครึ่งชีวิต ยังไม่รู้จักว่าองค์ชายกับท่านโหวหมายถึงอะไร รู้เพียงแต่ว่าสองคนนี้นิสัยไม่ดี ชอบหาวิธีแกล้งพ่อตัวเอง
“หวงสู่ ช่วงนี้เจ้าว่างจริงๆ เลย สำนักศึกษาให้เจ้าสองพันเหรียญต่อเดือนไม่ใช่ให้เจ้าเอาเวลาว่างเฝ้าร้านตัวเอง ตอนนี้คนในหมู่บ้านมากมายกำลังขุดห้องใต้ดิน เจ้าไม่ไปเฝ้าสักหน่อยหรือ หากดินยุบถล่มลงมีคนตาย เจ้าจะทำอย่างไร จะเอาหน้าแก่ๆ ไปไว้ไหนกัน”
“ท่านโหว ตอนนี้คนในหมู่บ้านล้วนบ้าไปแล้ว ทุกบ้านขุดห้องใต้ดิน มีหลายบ้านขุดห้องใต้ดินจนพอที่จะเอาคนทั้งหมดฝังลงไปได้ก็ยังไม่พอใจอีกหรือ ใช้ไม้มุงหลังคาแล้วขุดห้องใต้ดินต่อ ก็ไม่ใช่เพราะรากบัวกับมันฝรั่งหรือ เลยทำให้ปีที่แล้วทุกบ้านหาเงินได้ ปีนี้ก็เลยอยากจะเก็บรากบัวไว้ หวังว่าฤดูใบไม้ผลิมาจะเอาไปแลกเป็นเงิน รากบัวโง่ๆ ก็ยังขายครึ่งกิโลสองเหรียญ ทั้งหมู่บ้านมีแต่ห้องใต้ดิน มีหลายบ้านขุดติดต่อหากันแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปหมู่บ้านจะถูกขุดพรุนไปหมด แล้วเมื่อมีภัยพิบัติทางน้ำ ทำให้ดินถล่มก็จะเดือดร้อนไปกันหมดแน่ ข้าเพิ่งจะต่อว่าไปได้ไม่กี่ครอบครัว โลภมากกันจนไม่นึกถึงชีวิตตัวเองเลย”