[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 39 เพียงแค่มีลูกชายก็ไม่ขออะไรอีกแล้ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

พระอาทิตย์ขึ้นและตกมานานนม เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้นไม้ใบหญ้าเปลี่ยนไปทุกสี่ฤดู ในหนึ่งปีมีสิบสองเดือน นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการนับวันที่ สำหรับเขาแล้ว ความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมทั้งหมดบนโลกใบนี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการหมุนวนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพียงเท่านั้น 

 

 

ต้าถังอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การพัฒนามาแล้วหกปี ส่วนแคว้นฉ่าวหยวนมีการรบราฆ่าฟันกันไม่หยุด เซวียเหยียนถัวร่วมมือกับถู่อวี้หุนโจมตีแดนเติร์กตะวันตก ชาวเติร์กตะวันตกจำต้องรีบหยุดการฆ่าฟันกันเอง แล้วรวมกองกำลังทหารไปรบกับผู้ที่เคยยอมสยบอยู่ใต้อำนาจของตัวเอง 

 

 

อวิ๋นเยี่ยมาอยู่โลกใบนี้ได้สี่ปีแล้ว เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีได้กลายเป็นขุนนางระดับสามแห่งต้าถัง นี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง ใส่ชุดข้าราชการสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางคนใหญ่คนโต จิตวิญญาณไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ท่ามกลางใบหน้าเ**่ยวย่นมีหนึ่งใบหน้าเด่นชัดที่ดูหนุ่มแน่น 

 

 

“เจ้าจะเขย่งเท้าทำไม ไม่รู้จักสำรวมเอาเสียเลย” หนิวจิ้นต๋าที่ยืนข้างๆ ดึงเขาไว้เพื่อให้สำรวมท่าทาง อย่ายืนเขย่งเท้ายืดอกเช่นนั้น ที่นี่มีแต่ผู้อาวุโสอย่าให้พวกเขาคิดว่าเจ้าทำอวดเก่งไม่เห็นหัวผู้อื่น 

 

 

หดคอลงยืนให้ดีๆ วันนี้เหล่าหนิวตำหนิไปหลายรอบแล้ว อวิ๋นเยี่ยไม่นึกอยากยั่วโมโหเขาหาเรื่องให้ตัวเอง 

 

 

ก็แค่บวงสรวงไม่ใช่หรือ ท้องฟ้ามืดครึ้มเช่นนี้ไม่รู้ว่าเทพองค์ไหนรองานเลี้ยงสุดหรูหราในวันนี้ 

 

 

พิธีการเช่นนี้ หลี่ซื่อหมินจะจัดขึ้นทุกปี ปีละหนึ่งครั้ง เพียงแต่ว่าปีนี้พิเศษกว่าปีอื่น บนโต๊ะบูชาไม่ได้มีเพียงวัว แพะ หมู ยังมีก้อนมันฝรั่งกลมๆ อีกด้วย ราชวงศ์ได้เพาะเลี้ยงมาเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็เพาะเลี้ยงจนเกิดผลผลิตที่เพียงพอ สิ่งนี้ที่กรมนาปลูกว่ากันว่าใช้พื้นที่ไปทั้งหมดถึงสี่ร้อยไร่ 

 

 

ในใจอวิ๋นเยี่ยรู้สึกยินดี ฮันฮันที่บ้านลุยใบหญ้าโคลเวอร์จนเละไปหมดก็ไม่โกรธ เสี่ยวตงที่กำลังกอดโถนับเงินเห็นอวิ๋นเยี่ยมาก็รีบหลบไปอยู่ข้างหลัง ก้มหัวลงรอพี่ชายตำหนิ คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะหยิบโถไปดูแล้วยังใส่เงินเพิ่มไปในโถอีกสองเหรียญ ใบไม้ร่วงลงอย่างมีจังหวะ ฝุ่นลอยขึ้นมาคือความงาม ลอยอยู่ในฝุ่นเหมือนดั่งปีศาจขี่เมฆ หรือจะเป็นปีศาจหวงเฟิง เมืองฉางอันที่เคยน่ารำคาญกลับดูน่าสนใจในวันนี้ 

 

 

ความโชคร้ายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาถูกปัดออกไป สุดท้ายหลี่อันหลานได้คลอดลูกชายอ้วนจ้ำม่ำ น้ำหนักสามพันเจ็ดร้อยกรัม เห็นจดหมายที่นางส่งมาดูก็รู้ว่านางเหมือนแม่ไก่ที่ออกไข่ได้สำเร็จ 

 

 

ในจดหมายยังบอกอีกว่า หากซินเย่วไม่ได้ลูกชาย ลูกชายของนางหลี่หรงก็สามารถสืบต่อกิจการของอวิ๋นเยี่ยได้ เปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นหรงได้เลย 

 

 

เพียงแค่มีลูกชายก็ไม่ขออะไรแล้ว หลี่อันหลานได้ลูกชายแน่นอนจึงมีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก สิ่งที่อยากได้ก็สมเหตุสมผล ช่วงหลังคลอดร่างกายยังคงอ่อนแอ ต้องการเสบียงห้าพันชั่งมาบำรุงร่างกาย ลูกน้อยยังมีร่างกายอ่อนแอ มักเป็นไข้บ่อยๆ ต้องการสมุนไพรหลายชนิด สรุปก็คือเอามาให้เต็มรถก็พอ ไม่รู้ว่าลูกชายมีอะไรผิดปกติถึงต้องใช้ยาพวกนี้ หมดนี้ก็พอกินไปสองชาติแล้ว 

 

 

ลูกชายไม่มีพ่อปั้นของเล่นดินเผาให้มักร้องเสียงดัง ทำเอาคนเห็นรู้สึกกังวล ให้ทองไปหนึ่งร้อยจินก็ไม่สน จะเอาแต่รถดินเผา และต้องส่งมาในวันที่ลูกชายมีอายุครบร้อยวัน เมื่อถึงวันนั้น นางในฐานะผู้เป็นแม่สามีจะเชิญชาวเหลียวที่หลิ่งหนานมาให้หมด บอกพวกเขาว่าราชาของชาวเหลียวได้ประสูติแล้ว แม้ว่าจะรู้แต่เรื่องร้องกินนม แต่หากใครไม่ฟังคำสั่งของราชาก็จะต้องเสียใจ 

 

 

มีเด็กเกิดใหม่ แต่คนรับใช้ในบ้านมีไม่พอใช้งาน ชาวเหลียวก็ไม่รู้จักดูแลเด็กอย่างอ่อนโยน ยังคงเป็นคนรับใช้ตระกูลอวิ๋นที่รับใช้ได้ดี จึงเลือกคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลอวิ๋น เพราะไม่ต้องการผู้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ เด็กไม่มีคนคอยดูแลยังนับเป็นปัญหา ต้องส่งเกราะมาสามสิบอัน และต้องการเพียงเกราะหมิงกวังเท่านั้น 

 

 

ท่านย่ารับปากทั้งหมดยกเว้นชุดเกราะ เสบียงห้าพันชั่งจะไปพออะไร ตระกูลอวิ๋นเป็นเจ้าของร้านอยู่ที่เวยโจวไม่ใช่เหรอ รีบส่งไปสิ ใช้เสบียงจากที่นั่นส่งไป 

 

 

เสื้อผ้าลูกชายของนางใส่มาเต็มคันรถ อวิ๋นเยี่ยปั้นตุ๊กตาดินเผาเอาเข้าเตาอบให้แห้งแข็งแล้วส่งไปด้วย และเพื่อให้มีอนาคตที่ดีกว่านี้หลิวจินเป่าจึงอาสาไปที่หลิ่งหนาน พาองครักษ์ไปด้วยหกคน เป็นเด็กๆ ในตระกูลทั้งหมด เมื่อสิ้นหวังในการสืบทอดกิจการของครอบครัว จึงลองไปเสี่ยงที่หลิ่งหนานดู 

 

 

หยุนซานถูกส่งไปเพื่อดูแลนายน้อยโดยเฉพาะ ยังมีภรรยาเขาติดตามไปด้วย แม้ต้องจากอวิ๋นเยี่ยไป เขากลับไม่มีอาการเสียใจเลย แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก 

 

 

“เดี๋ยวเจ้าก็เป็นลิงเป็นค่าง เดี๋ยวก็ทำตัวโง่ๆ พูดเองตอบเองไม่พอ ยังยิ้มโง่ๆ อีก หรือว่ามีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้น บอกข้ามาสิมีอะไรน่าสนใจ” 

 

 

เหล่าเฉิงขยับเข้ามาใกล้ เขาอยู่ด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยและเหล่าหนิว ไม่รู้ว่ามาโผล่ตรงนี้ได้อย่างไร เหมือนจะให้ความสนใจอวิ๋นเยี่ยอยู่นานแล้ว 

 

 

“ท่านลุงเฉิง ท่านลุงหนิว หลังจากพิธีบวงสรวงสวรรค์ พวกเราไปตรอกซิ่งฮว่าฟางกันเถิด ข้าจะทำอาหารสองสามอย่างไปด้วย เรามาดื่มด้วยกันสักสองสามแก้ว ข้ามีเรื่องยินดี แต่ไม่สะดวกที่จะพูดที่นี่” 

 

 

เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แล้วยืนตั้งใจฟังหลี่ซื่อหมินพูดพร่ำพรรณนากับเหล่าเทพต่อไป 

 

 

บ้านเกิดเมืองนอน มีรบมีพัก อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าทุกครั้งที่บวงสรวงสวรรค์ หลี่ซื่อหมินทำด้วยความสัตย์จริง กินมังสวิรัติล่วงหน้าสามวัน อาบน้ำทุกเช้าเย็น ปกติหลี่ซื่อหมินเป็นคนมักมากในกามแต่ช่วงนี้ก็จะหยุดเรื่องอุ่นเตียงไปก่อน นั่งกินแครอทคนเดียวในตำหนักสักการะด้วยใจบริสุทธิ์ 

 

 

เสียงดาบเหล็กกระทบกันดังขึ้นเป็นเสียงทุ้มต่ำ เหมือนกับกาบินวนใกล้พื้นดิน ทุกครั้งหลี่ซื่อหมินจะยืนอยู่ที่สูงสุด กางแขนออกแสดงถึงการโอบกอดท้องฟ้าและพื้นดิน นักรบที่ไม่ใส่เสื้อเหล่านั้นก็จะตีกลองหนังวัวขนาดใหญ่ แล้วต่อด้วยฆ้องเหล็ก และสุดท้ายตามด้วยเสียงดาบเหล็ก 

 

 

การเผาเงินกระดาษ อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าเริ่มมีตอนไหน จึงไปถามนักประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ ฉู่ซุ่ยเหลียงดูถูกคำถามของอวิ๋นเยี่ย สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่เริ่มเป็นมนุษย์คลอดออกมา ก็ควรรู้จักเผากระดาษให้บรรพบุรุษ อวิ๋นเยี่ยถามเรื่องนี้ แสดงถึงความอกตัญญู 

 

 

ไม่เพียงแต่เขาที่ดูถูก ขงอิ่งต๋าที่บังเอิญได้ยินเข้าก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยหางตา เหมือนเห็นขี้ก้อนหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว ความกตัญญูเป็นพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี เป็นปัญหาที่ไม่ควรถามอย่างเช่นว่าทำไมคนต้องมีสองมือ 

 

 

“แต่ว่ากระดาษถูกขุนนางสร้างขึ้นสมัยตงฮั่น หรือว่าก่อนหน้านี้เราเผาไม้ไผ่? ก่อนหน้านี้ไปอีกเราเผากระดองเต่า? ศิลาจารึก? เครื่องสังคโลกสามขา?” 

 

 

“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี” สองคนนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย พวกเขาไม่สนใจว่าสิ่งต่างๆ จะสอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ รู้แต่ว่าความกตัญญูยิ่งใหญ่คับฟ้า เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ 

 

 

แพะคุกเข่าคำนับดั่งเด็กให้ความเคารพผู้อาวุโส นกกากลับรังดั่งหนุ่มสาวกลับไปดูแลคนแก่คนเฒ่า เป็นภาพที่สวยงามบนโลกมนุษย์ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยคนอกตัญญูเอาแต่ถามถึงความเป็นมา ช่างเป็นที่น่าอับอายของโลกมนุษย์ 

 

 

เหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวดูความครึกครื้นอย่างสนุกสนาน แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นอวิ๋นเยี่ยที่กำลังถกเถียงกับผู้มีความรู้ทั้งสอง 

 

 

อวิ๋นเยี่ยอยากจะเล่าให้พวกเขาทั้งสองฟังว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้สามารถหาที่มาที่ไปของมันได้ จะเชื่ออย่างงมงายไม่ได้ ก็เหมือนกับที่ฉู่ซุ่ยเหลียงได้บันทึกวิธีการเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น ทั้งหมดมีหกตัวอักษรคือ ‘นำโคลนเข้าพิมพ์เผาไฟ’ 

 

 

ไม่ผิดหรอก มีเพียงหกตัวอักษร เขาผู้นี้เป็นผู้ที่จดบันทึกที่สำคัญของต้าถัง มีประโยชน์ต่อทั้งการทหารและเศรษฐกิจของแคว้นเป็นอย่างมาก การคิดค้นครั้งใหญ่ แต่บันทึกลงไปเพียงหกตัวอักษร 

 

 

ไม่รู้ว่าใครจะสามารถเผาอิฐออกมาได้ตามหกตัวอักษรนี้ แต่ข้างล่างกลับมีบันทึกความเป็นมาของอวิ๋นเยี่ยและบรรพบุรุษ เป็นหลักฐานข้อความที่มีรายละเอียดชัดเจน ความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษ เพราะอวิ๋นติ้งซิ่งคนกะล่อนทำให้เป็นที่สนใจ ช่างเป็นความขายหน้าแห่งประวัติศาสตร์ แล้วยังทำให้ตระกูลอวิ๋นแปดเปื้อนอีกด้วย 

 

 

“เติงช่านกง ปั๋วซือกง ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลอวิ๋นไม่มีความสามารถขนาดนั้น ข้าน้อยขอแค่ตอนที่จดบันทึกถึงตระกูลอวิ๋น เขียนแค่ชื่อตระกูลอวิ๋นลงไปก็พอแล้ว อย่าได้ต้องเปลืองหมึกท่านเลย แต่ขอให้ท่านจดการเผาอิฐที่ทำจากโคลน วิธีก่อสร้างทางวิศวกรรมนี้ลงไปด้วย เมื่อสืบต่อไปในภายภาคหน้า จะเป็นประโยชน์ให้แก่ลูกหลาน” 

 

 

ฉู่ซุ่ยเหลียง อวี๋ซื่อหนานมองหน้ากันแล้วหัวเราะ บอกอวิ๋นเยี่ยว่า “เชื้อสายของจูโหวมีชื่อเสียงกึกก้อง การเผยแพร่วีรกรรมบรรพบุรุษ มีแต่คนต้องการ ทำให้มีชื่อเสียงไปสามชั่วอายุคน เหตุใดเจ้าจึงอกตัญญูเช่นนี้” 

 

 

“อาจารย์ทั้งสองท่านมีวิชาความรู้ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ไม่เหมือนข้า ไม่มีวิชาความรู้ไปเทียบท่านได้ ข้าเพียงแต่คิดว่า การค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ นั้นจะทำให้แคว้นเข้มแข็งขึ้น ราษฎรมีรายได้ ก็ควรจดบันทึกให้มากกว่านี้ เพียงแค่หกตัวอักษร ไม่สามารถเข้าใจความหมายได้ทั้งหมดจริงๆ หากขาดการสืบทอด ก็จะเป็นผลเสียต่อลูกหลานเรา ข้ายอมให้ตระกูลข้าไม่มีชื่อเสียงกึกก้อง แต่จะไม่ยอมให้ความพยายามของสำนักศึกษาศูนย์เปล่า” 

 

 

“หลังจากนี้หากใครกล้าพูดว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นจอมล้างผลาญ หรือว่าผู้ทำลายล้างฉางอัน ข้าจะตบปากเขาอย่างแน่นอน” อวี๋ซื่อหนานย้ายคทามาถือไว้ที่มือซ้าย ตบไปที่บ่าอวิ๋นเยี่ยเบาๆ สองที เอาหนังสืออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งเล่ม ยัดลงไปที่มือของอวิ๋นเยี่ย หัวเราะอย่างพอใจแล้วเดินจากไปพร้อมกับฉู่สุ้ยเหลียง 

 

 

หนังสือที่ไม่มีชื่อ ข้างนอกเป็นปกแข็งเปล่าๆ เปิดดูหน้าแรก ข้อความบรรทัดหนึ่งได้ดึงดูดสายตาของอวิ๋นเยี่ย 

 

 

ฤดูใบไม้ผลิปีที่สี่ภายใต้การปกครองของหลี่ซื่อหมิน ได้มีลูกศิษย์ต่างแดนนามว่าอวิ๋นเยี่ย ฉลาดหลักแหลม มีความมหัศจรรย์ สามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ เผาอิฐเป็นหมื่นก้อน วันเดียวหมื่นก้อน สิบวันหนึ่งแสนก้อน สร้างตึกสูง สร้างสระว่ายน้ำ เป็นผู้มีคุณธรรม 

 

 

อวิ๋นเยี่ยเปิดไปอีกหน้า เห็นเพียงวิธีปลูกมันฝรั่ง การใช้ปุ๋ยของตระกูลอวิ๋น รถไถ วิธีสอดเชือกเข้าจมูกวัว การปลูกผักใบเขียวในฤดูหนาว มีหมดทุกอย่าง ฝึกใช้รถราง เครื่องสูบน้ำ ปฏิทิน และอื่นๆ อีกมากมาย 

 

 

ใช้ความคิดที่น่ารังเกียจเพื่อคาดเดาจิตใจของคนที่ดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกละอายใจ เอาหนังสือซุกไว้ที่อก เดินตามฉู่สุ้ยเหลียงกับอวี๋ซื่อหนานที่เดินนำไปแล้ว ยิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนโค้งคำนับแล้วเดินเข้าตำหนักสักการะ 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยได้ของขวัญอันอบอุ่นจากราชสำนักแห่งต้าถัง ไม่ต้องมีค่าทางทรัพย์สิน เพียงแต่มีค่าทางใจก็พอแล้ว 

 

 

หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น เพียงแค่อยากบอกกับชาวต้าถังทุกคนว่าอย่าได้ลืมทุกเรื่องที่ตัวเองเสียสละทำเพื่อโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ก็ต้องมีการจารึก สะสมไว้เล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 

 

 

พอได้เห็นพวกเขาเข้าใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หลังจากการล้มลงของตระกูลโต้ว ชาวฉางอันก็ได้รู้ถึงพละกำลังที่ตนเองมี คนรับใช้ของพวกขุนนางที่ร่ำรวยก็เริ่มตั้งตัวได้ 

 

 

ไม่มีใครฆ่าคนรับใช้ได้ตามอำเภอใจ ยุคการฆ่าคนอย่างผักปลาในที่สุดก็ได้จบลง 

 

 

เพียงแค่ต้องรักษาวิธีนี้ให้คงอยู่ตลอดไป ให้การที่ทุกคนได้กินอิ่มนอนหลับไม่ใช่แค่ความฝัน 

 

 

เพลงประกอบพิธีดังขึ้นมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยตั้งใจขอพรต่อสวรรค์ ในที่สุดเขาก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของต้าถังแล้ว