“เอาล่ะ ของเจ้าเท่านี้ ส่วนข้าเท่านี้”
ฮอนวางกองเอกสารลงตรงหน้าด้วยความลังเล ก่อนจะเหลือบมองฮาแบคพร้อมแบ่งมันออกเป็นสองส่วน แต่มันไม่ได้เรียกว่าครึ่งนัก เพราะตรงหน้าตนมีเพียงสิบสามสิบสี่ม้วน ส่วนฮาแบคมีราวๆ สามสิบสองม้วน แม้จะเป็นการแบ่งที่ค่อนข้างยุติธรรมแล้วเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ทว่าไม่ใช่สำหรับฮาแบค
“ทรงเพิ่มส่วนของพระองค์อีกห้าม้วนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ข้าคัดเลือกจากปัญหาที่เจ้าต้องเป็นคนดูแลนะ”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเลือกจากงานที่ฝ่าบาทจะต้องทรงดูแลจากกองนี้ แล้วจะถวายคืนให้อีกรอบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮอนต้องจำใจเอื้อมมือไปหยิบม้วนกระดาษมาเพิ่มอีกห้าอัน ฮาแบคจึงพยักหน้าและคลี่กระดาษม้วนอันแรกออก
“ท่านมหาเสนาบดี หมู่นี้มีเจ้าเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ไม่ว่าอย่างไรก็ดูแปลกไป แน่นอนว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทีไม่อยากทำงานหรือบ่นอิดออดเล็กน้อยมาตลอด แต่ก็เป็นคนใช้ เอ๊ย มหาเสนาบดีที่ไม่เคยขอลดงานแน่วแน่ถึงเพียงนี้ ฮอนเอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยความเป็นกังวลผสมกับความสงสัยใคร่รู้
“ไม่มีเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
และตามคาด ฮาแบคตอบอย่างไม่ใส่ใจนักโดยไม่เงยหน้ามาด้วยซ้ำ พลางลากเส้นตัวอักษรลงบนกระดาษม้วนด้วยหมึกสีเข้ม ซึ่งหมายความว่าไม่มีประโยชน์ใดจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
“อ้อ ฝ่าบาท”
แต่แล้วจู่ๆ คนไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสักนิดก็เลื่อนสายตามามองเขา
“กระหม่อมขอประทานอนุญาตหยิบสมุนไพรจากสำนักหมอหลวงเล็กน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก จวนเจ้ามีคนป่วยหรืออย่างไร”
จวนของฮาแบคก็คือจวนของภรรยาตน ดังนั้นฮอนจึงไม่ปล่อยผ่านคำขออนุญาตนำสมุนไพรไปใช้ง่ายๆ แต่เท่าที่รู้ ภายในจวนหลังนั้นไม่น่ามีผู้ใดป่วยมิใช่หรือ ก็ไม่แปลกหากเขาจะเกิดความสงสัย
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ใช่ครอบครัวของกระหม่อม เป็นเพียงแขกผู้หนึ่ง”
“เจ้าจึงหมายจะนำสมุนไพรจากวังหลวงไปใช้กับแขกผู้นั้นใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ความสนใจปรากฏพาดผ่านสีหน้าของฮอนทันที เขารู้ดีว่าฮาแบคมักจะใช้ยาและสมุนไพรที่ดีที่สุดเท่านั้น คราวนี้อีกฝ่ายถึงขั้นขอประทานสมุนไพรจากวังหลวงไปใช้ด้วย แสดงว่าคนป่วยผู้นั้นคงจะสำคัญมากทีเดียว
“แม้แต่ต้นหญ้าเพียงต้นเดียวในวังหลวงก็มาจากภาษีขูดเลือด ดังนั้นข้าก็จำเป็นต้องรู้ว่าจะใช้มันกับผู้ใดก่อน ว่าอย่างไรคนผู้นั้นเป็นใครหรือ”
“กระหม่อมก็ไม่ทราบเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ทั้งๆ ที่เป็นแขก? นี่เจ้าให้คนแปลกหน้าเข้าจวนอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮาแบคไม่ใช่คนชอบพูดเล่น คำตอบของอีกฝ่ายดึงความสนใจฮอนมากขึ้นกว่าเดิม
“ไยต้องทำเช่นนั้น”
“หากมีเวลา กระหม่อมจะทูลให้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
หากมีเวลาอย่างนั้นหรือ แต่ข้าอยากฟังตอนนี้นี่ ฮอนทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหวและไม่สามารถรั้งรอจนถึงตอนนั้นได้ เกิดความขัดแย้งระหว่างความสงสัยใคร่รู้กับสติสัมปชัญญะ และแน่นอนว่าเป็นชัยชนะของความสงสัยใคร่รู้โดยไม่ต้องคาดเดาให้มากความ
“ห้าม้วน ข้าจะช่วยเพิ่มแล้วกัน”
“สิบม้วน น้อยกว่านั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“…เจ็ด”
“สิบ”
“แปดม้วน มากกว่านี้มันเยอะเกิน”
“สิบม้วนพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
สุดท้ายม้วนกระดาษม้วนก็ย้ายไปอยู่ฝั่งฮอนพร้อมเสียงถอนหายใจหนัก หากอิงจากความทรงจำของฮาแบคแล้ว วันนี้เป็นวันแรกที่งานต่างๆ ถูกแบ่งได้ใกล้เคียงกับคำว่ายุติธรรมมากที่สุด
“เช่นนั้นก็เล่ามาได้แล้ว เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกพ่ะย่ะค่ะ กลางดึกเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนกระหม่อมกำลังจะออกจากวัง บังเอิญเจอสตรีนางหนึ่งหมดสติอยู่หน้าประตูวัง ด้วยไม่อาจทิ้งนางไว้เช่นนั้นได้จึงต้องพากลับจวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่านางประสบพบเจอเรื่องอะไรมา ชีพจรถึงอ่อนแรงเป็นอย่างมาก กระหม่อมต้มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายให้อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาดูแลห้องยาจึงไม่ค่อยเหลือสมุนไพรสำคัญเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จากคำกล่าวทั้งหมดนั่น มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่ฮอนสนใจ… สตรี
“แขกของเจ้าเป็นสตรีอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากตอบกลับ ฮาแบคก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ จนต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงพร้อมถอยกรูดไปด้านหลัง เหมือนมีอาการปฏิเสธฉายชัดบนหน้าผากอีกด้วย
“ฝ่าบาท จำได้ว่าครั้งก่อนกระหม่อมกราบทูลแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าอย่าทรงทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนั้น”
“ข้าก็แค่จะมองข้าหลวงของตนสักหน่อย เหตุใดถึงไม่ได้เล่า”
เจ้าของรอยยิ้มแปลกๆ ชอบกลค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุนั้นฮาแบคเองก็ค่อยๆ ถอยหลังเช่นกัน และอาการปฏิเสธเมื่อครู่นี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดใจแทน
“กระหม่อมไม่มีปัญหาหากจะทรงทอดพระเนตรเฉยๆ แต่กระหม่อมไม่อยากได้รับสายตาเช่นนั้นจากบุรุษด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะไม่ได้แสดงออกว่าเห็นด้วยยามโฮจินชี้ไปทางพระราชาและล้อว่าเป็นบุรุษหน้าสวย หรือไม่ก็เด็กคงแก่เรียนแห่งวังหลวงเป็นประจำ แต่ฮาแบคก็พยักหน้าตามอยู่ในใจ ทว่าพอบุรุษผู้นั้นขยับเข้ามาอยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก จนแทบจะคิดว่าตนกลายเป็นคนประหลาดไปแล้วจริงๆ แต่ไม่ว่าฮาแบคจะพูดหรือส่ายหน้าเพียงใด ฮอนก็ดูไม่คิดจะขยับใบหน้างดงามออกห่างเลย
“สวยหรือไม่”
“หา? เดี๋ยว ก่อนอื่นช่วยนำพระพักตร์…”
“ข้าถามว่าสตรีผู้นั้นสวยหรือไม่”
การตรัสถามอย่างกะทันหันทำให้เขาต้องนึกถึงสตรีผู้ตกเป็นประเด็น หน้าตานางเป็นเช่นไรนะ แต่ไม่ว่าจะลองนึกเท่าไร สิ่งที่ปรากฏในหัวก็มีเพียงดวงตาเป็นประกายระยิบระยับเป็นพิเศษเท่านั้น รูปร่างหน้าตาสูบผอมจนเห็นกระดูกและองุ่นป่าสองลูกที่มีประกายชัดเจน
“จำมิได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่อาจตอบคำถามของพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮาแบคตัดความคาดหวังของฮอนทิ้งในคราเดียว ก่อนจะลุกหนีย้ายที่นั่งไปยังตรงปลายสุดของโต๊ะยาว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงถอยห่างไกลถึงเพียงนั้น ฮอนหัวเราะคิกคักพร้อมจ้องมองฮาแบค
“อ้อ ท่านมหาเสนาบดี”
ผ่านไปสักพัก หลังจากมองเอกสารทีหนึ่ง มองฮาแบคอีกทีหนึ่ง คนกำลังตรวจเอกสารช้าๆ ก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายขึ้นมา
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เลิกงานเร็วหน่อยแล้วกัน ไหนดูสิ อย่างน้อยก็สักยามซุล[1]ดีหรือไม่”
“หากทรงมอบงานให้กระหม่อมน้อยลงด้วยก็น่าจะดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอกน่า คิดว่าคนทำงานในท้องพระโรงมีแค่มหาเสนาบดีอย่างเจ้าเพียงผู้เดียวหรืออย่างไร”
“แต่ทรงเคยตรัสว่าไม่ไว้ใจผู้ใดนอกจากกระหม่อมไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ข้าเชื่อใจทุกคนแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้เจ้าก็กลับได้แล้ว ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการให้เอง”
“อ๋อ งั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อน”
ฮาแบคลุกพรวดโดยไม่ปฏิเสธสักคำ เดิมทีฮอนควรรู้สึกผิดหวัง แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย ท่านพี่ทั้งหลายผู้ให้ความสนใจกับงานที่ตนถนัดเพียงอย่างเดียว ควรต้องรีบสร้างครอบครัวและมีหลานให้ท่านพ่อตาอุ้มเล่นไม่ใช่หรืออย่างไร นับเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่งอีกด้วย เพราะฉะนั้นในเมื่อยามนี้มีสตรีเข้ามาแล้ว เขาก็ต้องช่วยผลักดันอย่างเต็มที่สิ
หากทำให้พี่ชายของภรรยาทยอยแต่งงานทีละคนได้สำเร็จ รยูฮาก็คงจะชื่นชมเขาว่าทำได้ดีมากและมอบรางวัลให้แน่นอน เลือกไว้ล่วงหน้าก่อนเลยดีกว่า ถ้าอย่างนั้นต้องคงขอให้ใส่ชุดซับในสีครีมอมส้มตัวบางนั่นเสียแล้ว จินตนาการอันแสนสุขใจวาดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ฮอนจัดการงานทั้งหมดรวมถึงส่วนของฮาแบคด้วยจนกระทั่งดึกดื่น โดยไม่รู้สึกเลยว่ามันเหน็ดเหนื่อยเพียงใด
* * *
[1] ยามซุล เวลาประมาณหนึ่งทุ่ม-สามทุ่ม