ตอนที่ 730 คุณสำคัญกว่าชีวิต (1)

อรุณสวัสดิ์ ท่านประธานาธิบดีที่รัก!

ตอนที่ 730 คุณสำคัญกว่าชีวิต (1) โดย Ink Stone_Romance

 “แล้วเย่เซียวล่ะ?”

 “ตอนนี้คุณเย่เซียวกับคุณหยูอันกำลังพักผ่อนอยู่ นายท่านบอกว่าพวกเขาเหนื่อยล้าเกินไป ห้ามเราไปรบกวน”

ไป๋ซู่เย่ถึงพยักหน้ารับและโล่งอกไปที เมื่อคืนที่ทะเลทรายเย่เซียวไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วยังเพ่งสมาธิอยู่เป็นเวลานาน ไม่เหนื่อยสิแปลก

 “คุณเอาโจ๊กมาให้ฉันเถอะ ฉันจะทานสักคำสองคำ”

 “ได้ค่ะ”

คนรับใช้กางโต๊ะบนเตียงออกแล้ววางถ้วยโจ๊กลงไป

 “คุณไป๋ เมื่อกี้ตอนที่ฉันอาบน้ำให้คุณ เห็นตุ่มแดงๆ ขึ้นตรงหลังคอของคุณ น่าจะถูกแมลงที่ทะเลทรายกัดเข้า คุณจะให้ฉันหายามาประคบให้หน่อยมั้ย?”

ไป๋ซู่เย่เผลอลูบจับหลังคอทีอย่างไม่รู้ตัว เดิมทีตรงนั้นคันหน่อยๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

 “ถ้างั้นก็ดีแล้วค่ะ”

 “อ้อ ที่นี่ปิดกั้นสัญญาณมั้ย? ฉันอยากโทรศัพท์สักหน่อย”

 “คุณรอสักครู่นะคะ” สาวรับใช้หมุนตัวไปเอาโทรศัพท์ไร้สายมา ไป๋ซู่เย่กล่าวคำขอบคุณทีแล้วโทรศัพท์ไปที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง คนที่รับสายคือปลัดกระทรวง พอได้ยินเสียงของเธอเจ้าตัวก็ถอนหายใจยาว

 “คนของเราไปถึงนอกเขตทะเลทรายซ่าเหยียนแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะปลอดภัยแล้ว”

 “คุณให้คนถอยกลับไปเถอะ อย่าเข้ามาในทะเลทรายจะได้ไม่เกิดความเสียหายโดยไม่จำเป็น ตอนนี้ฉันปลอดภัยดี เดี๋ยวจะออกไปจากทะเลทรายแล้ว”

 “ตอนนี้คุณอยู่ไหน?” ปลัดกระทรวงไล่ถามต่อ

 “ฉัน…” ไป๋ซู่เย่ไม่อยากพูดถึงเย่เซียว กล่าวเพียง “ฉันเจอคนตระกูลถัง ตอนนี้น่าจะอยู่ในฐานของถังเจวี๋ย”

 “ถังเจวี๋ย?” ปลัดกระทรวงเงียบไป ถังเจวี๋ยเองก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เขาไม่คิดว่าคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐบาลอย่างอีกคนจะยอมช่วยคนของรัฐบาลประเทศ S

 “ปลัดคะ ตัวประกันปลอดภัยดีใช่มั้ย?”

 “เรื่องนี้คุณสบายใจได้ ตอนนี้ตัวประกันถูกส่งตัวกลับประเทศหมดแล้ว ปลอดภัยดี”

ไป๋ซู่เย่ถึงรู้สึกเบาใจลง “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะต้องพักฟื้นที่นี่สักสองวันถึงจะกลับประเทศได้”

 “ไม่รีบ แค่คุณปลอดภัย อะไรก็ดี!”

อาจเป็นเพราะพิษไข้ ไป๋ซู่เย่รู้สึกอ่อนล้าเลยวางสายไปโดยไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทานโจ๊กเสร็จถามคนรับใช้ว่า “เย่เซียวพักอยู่ห้องไหนเหรอ?”

 “อยู่ห้องทางขวามือของห้องคุณนี่เองค่ะ”

ไป๋ซู่เย่ได้ยินเธอว่าเช่นนั้นเลยหันไปมองกำแพงทางขวามือราวกับพอรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ตัวเองขนาดนี้ ใจก็สงบลงอย่างมาก

เพียงแต่…

รอไปจากที่แห่งนี้ ระหว่างพวกเขา…จะกลายเป็นเขากับเธออีกครั้ง

เขากลับไปยังเมืองเยียวของเขา เมืองที่มีคู่หมั้น มารดาและพ่อบุญธรรมของเขา…

เธอกลับประเทศ S ของเธอ มีงานและหน้าที่ที่เธอควรทำให้สำเร็จ…

รู้สึกน้อยใจขึ้นมาดื้อๆ ไป๋ซู่เย่หลับตาลงใหม่ห้ามไม่ให้ตัวเองคิดมากไปกว่านี้ เธอเผลอหลับไปอีกครั้งอย่างสะลึมสะลือ

…………

กลางดึก

เธอถึงตื่นมา

เข็มตรงแขนถูกดึงออกไปแล้ว เธอจับหน้าผากตัวเองพบว่าไข้ลดลงมากแล้วเช่นกัน

แต่ยังรู้สึกลำคอแห้งผากอยู่

นอนไปนานขนาดนี้ก็รู้สึกมีพลังขึ้นมามากโข เธอเลิกผ้าห่มลงจากเตียงเดินไปที่ห้องข้างๆ

อาจเป็นเพราะอยู่ในกลางดึกคฤหาสน์ทั้งหลังเลยเงียบสงัด ไม่เปิดไฟ เธออยากดื่มน้ำแต่กลับไม่รู้ทิศทางว่าห้องครัวอยู่ทางไหน คลำหาทางตรงกำแพงตั้งนานจนหาฝาปิดสวิตช์ไฟจนเจอแต่ก็ไม่รู้ว่าเปิดอย่างไร เธอเข้าใจได้สักทีว่าคนอย่างพวกถังเจวี๋ยแต่ละคนล้วนรอบคอบและระมัดระวัง แม้แต่ฝาปิดสวิตช์ไฟยังต้องแสกนนิ้วมือเพื่อเข้าระบบ

เกรงว่าคฤหาสน์หลังนี้ล้วนเต็มไปด้วยกับดัก

ไป๋ซู่เย่คิดได้ดังนั้นก็ไม่กล้าเดินไปไหนเองมั่วๆ แล้ว

เธอนึกถึงเย่เซียว…

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังอยู่ห้องข้างๆ หรือเปล่า…

นึกถึงเขาก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนมากมายขึ้นในใจ เธอย่ำเท้าเดินไปที่ห้องข้างๆ เสียงเบา เคาะประตูเบาๆ ทีหนึ่ง แนบหูกับประตูก็ไม่ได้ยินเสียงใด

เงียบไปชั่วขณะ เธอบิดกลอนประตูเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

 “ใคร?”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู เธอถูกชายหนุ่มตะครุบตัวไว้และสัมผัสเย็นเฉียบที่จ่ออยู่ตรงคอตัวเอง

ปลายมีดแหลมคมจ่ออยู่ตรงเส้นเลือดใหญ่ตรงลำคอเธอ

ไป๋ซู่เย่สูดหายใจไม่กล้าขยับตัว

 “ซู่ซู่?”

แค่อาศัยเสียงหายใจก็ฟังออกว่าเป็นเธอ เย่เซียวสบถหยาบทีรีบโยนมีดสั้นไปมุมห้อง

 “เจ็บตัวตรงไหนหรือเปล่า?” เขาถามเสียงเบา

ไป๋ซู่เย่ลูบคอตัวเองก่อนจะส่ายศีรษะ “เปล่า แต่ อีกนิดเดียว”

เพิ่งสิ้นคำของเธอก็รู้สึกอุ่นร้อนตรงคอเพราะปลายนิ้วของเย่เซียวได้สัมผัสแตะตรงผิวเนียนละเอียดของเธอ ตรงจุดตำแหน่งที่ปลายมีดสั้นจ่อไว้เมื่อครู่

หากสัมผัสที่มีดสั้นเมื่อกี้เป็นความเยือกเย็นเข้ากระดูก ถ้าอย่างนั้นตอนนี้…

ไป๋ซู่เย่รู้สึกเพียงปลายนิ้วร้อนผ่าวของเขากำลังแผ่ซ่านกระจายไปทั่วอณูร่างกายผ่านพื้นผิวของเธอ

หัวใจเธอเต้นรัวเร็ว

หอบหายใจทีหนึ่งพลางจับปลายนิ้วเขาไว้

 “…ฉันไม่เป็นไร” แม้แต่เสียงยังอ่อนลงมากโดยไม่รู้ตัว

แววตาเย่เซียวล้ำลึกกว่าเดิม

ในห้องไม่เปิดไฟ มีเพียงแสงจันทร์จางๆ ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง

พวกเขาทั้งคู่ใกล้กันมาก ร่างสูงใหญ่ของเขาโอบล้อมเธอไว้ทั้งหมด ลมหายใจทั้งสองสอดประสานกัน สถานการณ์นี้บรรยากาศเริ่มคลุมเครือยากจะเอื้อนเอ่ยอยู่บ้าง

ไป๋ซู่เย่หายใจติดขัด ได้ยินเพียงเขาถามเสียงเบา “ไข้ ลดหรือยัง?”

 “…อืม”

เย่เซียวยกมืออังหน้าผากเธอคล้ายไม่ไว้วางใจ “ทำไมถึงยังร้อนขนาดนี้?”

 “…” ไป๋ซู่เย่ยันสองมือไว้ที่หน้าอกเขา “คุณขยับมาใกล้ขนาดนี้ จะไม่ร้อนได้ยังไง?”

เธออยากดันตัวเขาออกไปแต่เย่เซียวตัวใหญ่ เธอดันตัวเขาแล้วแต่เขากลับยืนนิ่งไม่ขยับสักนิด

เขาล็อกสายตาไว้ที่เธอนิ่ง “ดึกขนาดนี้คุณมาห้องของผม อยากทำอะไร?”

 “…” ไป๋ซู่เย่แลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งของตัวเองที “ฉันไม่ได้อยากมาห้องของคุณ”

เย่เซียวหน้าตึง น้ำเสียงกดต่ำลงกว่าเดิมมาก “แล้วคิดจะทำอะไร?”

ไป๋ซู่เย่พูดอย่างยอมแพ้ “ฉันหิวน้ำ อยากดื่มน้ำ แต่ฝาปิดสวิตช์ไฟที่นี่ต้องแสกนนิ้ว ฉันเปิดไม่ได้ และไม่รู้ว่าตรงไหนคือห้องครัว เลย…มาหาคุณไง”

เป็นข้ออ้างที่ฝืดเสียจริงๆ!

เย่เซียวแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เขาแค่นเสียงทีแล้วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แตะสัมผัส ‘พรึ่บ’ ไฟในห้องก็สว่างโร่

ถังเจวี๋ยเคยบันทึกรอยนิ้วมือของเขา เขาอยู่ที่นี่เปรียบเสมือนอยู่บ้านตัวเอง

แสงไฟสว่างจ้ากระทบลงมา ไป๋ซู่เย่ที่ยังปรับตัวไม่ทันหรี่สองตาลงและยกมือบังแสงอัตโนมัติ สักพักถึงวางมือลง

เผลอหันไปมองเย่เซียวที่สายตาเขากำลังจดจ่ออยู่บนตัวเธอเขม็ง

หลังเธออาบน้ำตัวสะอาดสะอ้าน ผมยาวที่ไม่ผ่านการเป่าผมมาก่อนหน้ากำลังคลอเคลียลาดไหล่และปกคลุมแผ่นหลังอ้อนแอ้นนั้น

ชุดนอนสีขาวยิ่งขับให้เธอดูงดงาม เธอในสภาพนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงไป๋ซู่เย่ร่าเริงบริสุทธิ์เมื่อสิบปีก่อนอย่างอดไม่ได้

นัยน์ตาล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม

ไป๋ซู่เย่ถูกเขาจ้องจนทำตัวไม่ถูก เธอเปิดประตูออกให้มีช่องแคบๆ ก่อนหันกลับมามองเขา “คุณ…ช่วยเปิดไฟข้างนอกให้ฉันหน่อยได้มั้ย? ฉันจะไปดื่มน้ำ”

…………………………