ตอนที่ 340 เจ้ามารชั่วช้าลามก! ไปให้พ้นนะ!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เพราะว่าเขาไม่เคยกระทำเรื่องบีบบังคับใดๆ กับตู๋กูซิงหลันมาก่อนเลย

 

 

แม้แต่ตอนแรกๆ ที่มาถึง ก็เพียงแต่โยนทิ้งเอาไว้ในตำหนักเย็นปล่อยให้แตกดับไปเอง

 

 

หากว่าที่พวกมันได้เจอเป็นท่านปู่ของจีเฉวียน เกรงว่าคงจะต้องตายไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

 

 

อยู่ๆ วิญญาณทมิฬก็ชักจะรู้สึกว่า อีกหน่อยคงต้องพูดเรื่องเสียๆ หายๆ ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขให้น้อยๆ ลงไปสักหน่อย

 

 

มิเช่นนั้นถ้าเกิดว่าไปกระทบถูกต่อมหงุดหงิดของจีเฉวียนเข้า แล้วเขาก็หัวร้อนระเบิดขึ้นมา ที่โชคร้ายคงจะต้องเป็นพวกมันนั่นเอง

 

 

ฉู่เจียงมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำทั้งหมดร่วมกับตู๋กูซิงหลัน

 

 

สีหน้าของเขาเองก็มิได้ดีสักเท่าไร ผ่านไปอีกพักใหญ่ จึงได้ถอนหายใจพลางเอ่ยออกมา “ดังนั้นข้าถึงได้ชิงชังพวกมนุษย์ พวกมันเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกโหดเ**้ยมเสียยิ่งกว่าพวกภูติผีปีศาจที่ข้าเคยเจอในนรกเสียอีก”

 

 

“ตอนนั้น…เจ้าก็เอาแต่มองดูเช่นนี้น่ะหรือ?” ตู๋กูซิงหลันหันศีรษะไปอย่างช้าๆ จ้องมองดูฉู่เจียง

 

 

“มนุษย์ต่างก็มีโชคชะตาของตนเอง ข้าย่อมไม่เข้าไปแทรกแซง” ฉู่เจียงนั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนดีมีเมตตาหรือไร?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรกับเขาไม่ออก หากให้ยกเหลียงเซิงเซิงมากลั่นแกล้งเขาล่ะก็ นางสามารถทำได้สามวันสามคืนเลยทีเดียว

 

 

เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีอารมณ์แล้ว ชะตากรรมของเจียงเย่ว ทำให้นางพลอยทุกข์ใจ

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายนี้ก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของนางอีกด้วย

 

 

จะอย่างไรเสียสายเลือดก็เชื่อมถึงกัน ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงหัวใจนั้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนเกินไปแล้ว

 

 

เรื่องเช่นนี้มิว่าเกิดขึ้นกับผู้ใดก็ตาม ก็สามารถทำให้คนผู้นั้นใจสลายได้ทั้งนั้น

 

 

“เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ต้าโจวกระทำกับท่านย่าของเจ้า ถึงตอนนี้เจ้าก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แล้วตอนนี้เจ้ายังจะปฏิบัติต่อจีเฉวียนเหมือนดังเดิมหรือไม่?” ฉู่เจียงถามไถ่ด้วยความสนใจ

 

 

สาวน้อยผู้นี้ช่างน่าสนุกจริงๆ คืนวันก่อนนั้นมัวแต่ยุ่งเกินไป จึงมิทันได้สังเกตให้ดี

 

 

ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าภายใต้ร่างเนื้อร่างนี้ ยังมีเรื่องราวซับซ้อนอื่นอยู่อีก

 

 

ก่อนหน้านี้ผู้ที่ใช้พลังของหยกสรรพชีวิตต่อกรกับเขา คงจะเป็นนางสินะ?

 

 

“ยมราชฉู่เจียง ท่านสนใจเรื่องของผู้อื่นมากไปแล้ว” ตู๋กูซิงหลันถลึงตามองเขา ที่เขาโผล่ออกมาจากหมอกแดงมาแสดงร่างที่เก่งกาจเกรียงไกรอยู่ตรงหน้านาง ก็เพียงเพื่อจะมาแอบฟังเรื่องราวของผู้อื่น?

 

 

“แส่เรื่องชาวบ้านนั้นเป็นงานของพวกนักพรต ข้ากลับไม่มีความสนใจ” ฉู่เจียงส่ายศีรษะ ยื่นปลายนิ้วนิ้วหนึ่งชี้ไปที่ตัวนาง “ข้าเพียงแต่สนใจในตัวเจ้าอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าภายใต้เนื้อหนังนี้ จะเป็นจิตวิญญาณที่สวยงามหรือไม่?”

 

 

ว่าแล้วเขาก็ยื่นปลายนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง เห็นอยู่ว่ากำลังจะสัมผัสลงไปบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ทันใดนั้นเอง ผ้าม่านของรถม้าก็เปิดออก

 

 

ฮ่องเต้นำพระวรกายที่เย็นยะเยือกเสด็จเข้ามา

 

 

ทันทีที่พระองค์เสด็จ ฉู่เจียงก็สลายร่างกลายเป็นหมอกสีแดงลอยออกไปทางหน้าต่าง

 

 

เขายังไม่คิดจะพัวพันกับฮ่องเต้องค์นี้ในตอนนี้

 

 

จีเฉวียนเองก็มิได้ตาบอด พระองค์ย่อมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศภายในรถม้า เพียงแต่มิได้กระโตกกระตากออกไป ก็นั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน

 

 

พอจีเฉวียนมาถึง ในสมองของนางก็ผุดภาพอันโหดเ**้ยมบ้าคลั่งของจีจ้านเสด็จปู่ของเขาขึ้นมา

 

 

ดวงพักตร์ของจีเฉวียนกับจีจ้านละม้ายคล้ายคลึงกัน

 

 

พอตู๋กูซิงหลันมองอยู่ครู่หนึ่งก็ชักจะเห็นคนเป็นจีจ้านขึ้นมา

 

 

“ซิงซิง เรื่องของเมืองกู่เย่วใกล้จะเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เราจะพาเจ้ากลับวัง”

 

 

น้ำเสียงของจีเฉวียนเองก็คล้ายคลึงกับจีจ้านอยู่หลายส่วน พอพระองค์เอ่ยพระโอษฐ์ตรัสออกมา ในสมองของตู๋กูซิงหลันก็เกิดเป็นภาพที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก

 

 

จีเฉวียนเห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดี ก็ยื่นพระหัตถ์มาจับนาง

 

 

ยังไม่ทันจะสัมผัสกับมือของตู๋กูซิงหลัน ก็ถูกนางตบหน้าไปฉาดหนึ่ง “จอมมารชั่วช้าลามก! ไปให้พ้นนะ!

 

 

จีเฉวียน “?”

 

 

เขาก็แค่ไปดูเหลียงป๋อถูกฝังด้วยตนเองเท่านั้น ไปทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ที่ไหนให้นางต้องไม่ยินดีกัน?

 

 

ฝ่าบาททรงหันไปทอดพระเนตรวิญญาณทมิฬที่ซุกตัวอยู่ในมุม

 

 

“สตรีอารมณ์เสียมีสาเหตุได้นับร้อยนับพันประการ อย่ามามองข้า ข้าเองก็ไม่รู้ เรื่องพรรณนี้ต้องใช้ความเข้าใจ”

 

 

เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนย่อมไม่กล้าทำอะไรวิญญาณทมิฬ

 

 

ในสมองของพระองค์ปรากฏคำสั่งสอนของภรรยาซุนต้มยาขึ้นมาก่อน ระหว่างคนสองคน ไม่ว่าฝ่ายสตรีจะโกรธเกรี้ยวด้วยเรื่องอันใด ไม่ว่าจะใช่ความผิดของตนเองหรือไม่ ก็ให้ขอโทษออกไปก่อน

 

 

ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงรู้สึกว่าวิธีการนี้น่าอับอายแต่พอเห็นตู๋กูซิงหลันไม่ยุ่งเกี่ยวหรือสนใจพระองค์ขึ้นมา ความกังวลนั้นก็หมดค่าไป

 

 

ในเมื่อพระองค์พระพักตร์หนาขนาดมิว่าเช่นไรก็ต้องไล่จีบให้ได้ ถ้าเช่นนั้นยังจะต้องมากังวลใส่ใจรักษาหน้ากันไปเพื่ออะไร

 

 

“ซิงซิง เราผิดไปแล้ว”

 

 

สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเป็นจริงเป็นจัง สองพระหัตถ์ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ “ต่อไปเราจะไม่เป็นจอมมาร ไม่เป็นชายเจ้าชู้ อย่าได้ผลักไสเราออกไปจะได้ไหม?”

 

 

ถึงแม้ว่าฝ่าบาททรงไม่คิดว่าพระองค์เองจะเป็นปีศาจในที่ใด และก็มิใช่บุรุษเจ้าชู้

 

 

แต่ก็เอาเถอะ….พระองค์ก็มีลูกเล่นพอตัวอยู่บ้าง ในใจก็มีแผนการณ์อยู่ไม่น้อย

 

 

แต่นั่นสมควรเรียกว่าชาญฉลาดมิใช่หรือ?

 

 

อีกอย่างต่อหน้านางก็ทำตัวโง่หน่อยก็ได้?

 

 

จีเฉวียนทรงตรัสพลางก็นวดใบหน้านางเบาๆ

 

 

อืม หลายวันมานี้ขุนได้ไม่เลว อ้วนขึ้นบ้างแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!!”

 

 

สวรรค์ทรงโปรดเถอะ นางยังรู้สึกว่า

 

 

ตนเองยังไม่ทันได้หลุดออกจากเรื่องที่เจียงเย่วสูญสิ้นชาติบ้านเมือง ก็มาเจอกับท่าทีของจีเฉวียนเช่นนี้ ทำเอาสติและจิตของนางจะแตกซ่านอยู่แล้ว

 

 

นี่มันคือการสืบทอดพันธุกรรมกันมาหรือไร หากจีเฉวียนมิทรงตรัสออกมา ก็คล้ายคลึงกับจีจ้านมากไปแล้ว

 

 

พอคิดถึงวิธีการที่ชั่วร้ายปานปีศาจของจีจ้าน ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกตัวสั่นสะท้าน เหงื่อแตกขนลุกขึ้นมา

 

 

จีเฉวียนเห็นนางสั่นสะท้านหนาวยะเยือก ก็คิดว่าตนเองแสดงออกได้ธรรมดาจนเกินไปแล้ว

 

 

พระองค์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็แย้มสรวลออกมา มุมปากขยับโค้ง ดวงตาโค้งๆ หัวคิ้วก็โค้งด้วย

 

 

ภรรยาของซุนต้มยากล่าวเอาไว้ เวลายิ้มให้เห็นฟันทั้งซี่ออกมาเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุด

 

 

สตรีชมชอบบุรุษที่อ่อนโยน ฝ่าบาทไม่อาจขึงขังมากไป จะต้องอ่อนโยน

 

 

ฝ่าบาทย่อมทรงทำตาม

 

 

แต่คราวนี้ กลับทำให้ตู๋กูซิงหลันตกใจแทบตายแล้ว

 

 

รอยแย้มสรวลของฮ่องเต้สุนัขยิ้มออกมาดูน่าตื่นตระหนกราวกับว่าเป็นปีศาจ

 

 

ทันใดนั้น เงาของจีจ้านในสมองของนางก็ขยายใหญ่ขึ้น ตู๋กูซิงหลันกระเถิบไปซุกอยู่อีกด้านหนึ่งทันที สองมือกอดอกเอาไว้ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”

 

 

จีเฉวียนขมวดพระขนง ปล่อยพระหัตถ์ที่ประคองใบหน้าของนางเอาไว้กลับมา ด้วยความสับสนในพระองค์เอง

 

 

พระองค์แย้มสรวลไม่น่าดูหรืออย่างไร? ทำไมสีหน้าของนางถึงได้เป็นเช่นนี้

 

 

ทรงเหลือบพระเนตรไปมองดูถวนจื่อที่อยู่ข้างหลังนาง

 

 

วิญญาณทมิฬตื่นตระหนกจนขนลุกชัน

 

 

ฮ่องเต้สุนัขยิ้มขึ้นมาล้วนไม่มีเรื่องดี ทั้งยังยิ้มได้แข็งทื่อและน่าสยอง

 

 

นี่คิดว่าตนเองเป็นปีศาจหรืออย่างไร?

 

 

ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าพระองค์ล้มเหลวอยู่บ้าง พระเศียรตกลงมาอย่างไม่เกรงใจ ราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่กระทำความผิด

 

 

ในพระทัยครุ่นคิดถึงแต่ ‘รอยยิ้มแสนอบอุ่น’ ที่ลอบฝึกฝนมาหลายสิบรอบ ขณะที่ตู๋กูซิงหลันคิดว่าแรงกดดันจากเขาลดต่ำลงจนถึงขนาดจะกลายเป็นซึมเศร้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาในทันทีทันใด

 

 

เผยรอยแย้มสรวลที่ทั้งแข็งทื่อและสยดสยองออกมา

 

 

ฟันใหญ่ๆ สีขาวนั่น….ไม่เอาไปปอกหัวแครอทช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ

 

 

“ซิงซิง เราตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เรื่องที่รับปากเจ้าเอาไว้จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ หากว่าทำได้ไม่ดี เจ้าก็โบยเราได้เลย เราจะตั้งใจแก้ไข” ฝ่าบาททรงพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ ยื่นพระหัตถ์มากระตุกชายเสื้อของนาง “ดังนั้น อย่าโกรธเลยได้ไหม นะ นะ โกรธแล้วจะแก่เร็วน้า”

 

 

ตู๋กูซิงหลันกันวิญญาณทมิฬ “!!!”

 

 

พวกนางชักจะเชื่อว่าฝ่าบาททรงถูกสิงเข้าแล้ว

 

 

 

 

——

 

 

ตอนต่อไป “ซิงซิงคือความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา”