ส่วนที่ 4 ตอนที่ 252 แสงอาทิตย์อัสดง

ความลับแห่งจินเหลียน

ตอนที่ยังไม่เห็นก็ช่าง แต่เมื่อจ่านป๋ายได้เห็นแล้วก็เผลอชกไปอย่างควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้…ทักษะการถ่ายภาพของเขาธรรมดา แต่การประมูลผลภาพใช้ได้เลย อีกทั้งซีเหมินจินเหลียนยังซื้อกล้องดิจิตอลรุ่นดีที่สุด ดังนั้นประสิทธิภาพของรูปที่ล้างออกมาจึงเยี่ยมยอดเป็นที่หนึ่ง

 

และรูปใบหนึ่งที่อยู่ในมือของชายชุดดำก็เป็นรูปที่ซีเหมินจินเหลียนทำท่าลอยสู่เวหา กระโปรงยาวเบาบางห่อหุ้มร่างกายที่ได้สัดส่วน แม้เธอจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น แต่มันก็เซ็กซี่เย้ายวนได้อยู่ดี

 

จ่านป๋ายไม่ทันได้คิดอะไร ก็กำหมัดมุ่งตรงไปหาชายชุดดำอย่างเ**้ยมโหด

 

“เสี่ยวป๋าย อย่า!” ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนเปล่งเสียงออกมา จังหวะที่ประตูเปิดออกนั้นเธอกำลังนิ่งงัน คนคนนั้น…ชายชุดดำคนนั้นเป็นคนที่เธอคุ้นเคย เขายังมีชีวิตอยู่ตามที่เธอคิดเอาไว้ เพียงแต่ผ่านเวลามาหลายปี เขาก็ไม่คิดจะกลับมาหาเธอบ้างหรืออย่างไร?

 

ลุงงูบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเขาก็ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ตามที่คาดไว้ อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายดี

 

ชายชุดดำหันมาอย่างช้าๆ ก่อนจะกันหมัดของจ่านป๋ายออกไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ฉวยโอกาสคว้าข้อมือของเขามาหักเป็นเสี่ยงๆ

 

“อย่านะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นอีกครั้ง

 

จ่านป๋ายได้ยินแล้วก็รีบดึงมือชักเท้าถอยหลังกลับทันที แต่ชายชุดดำก็จับแขนเขาไว้และพลิกมือตบไปยังใบหน้าของจ่านป๋ายอย่างไม่ทันคาดคิด เพราะว่าจ่านป๋ายฟังที่ซีเหมินจินเหลียนพูด เขาเลยถอยหลังหนึ่งก้าวและเก็บมืออย่างสงบเสงี่ยม จะมาหลบตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ได้แต่ต้องยอมจำนนรับฝ่ามือตบของชายชุดดำคนนี้

 

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ซีเหมินจินเหลียนเดือดดาล เขาคิดว่าเขาเป็นใครกันถึงได้กล้ามาตบจ่านป๋าย

 

เดิมทีจ่านป๋ายคิดจะสวนหมัดคืน แต่ได้ยินน้ำเสียงของซีเหมินจินเหลียนเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วจึงรีบเก็บไม้เก็บมือก้าวถอยหลังอีกสองเก้าไปยืนข้างกายเธอ “ผมแค่อยากจะแย่งรูปกลับคืนมา!”

 

ซีเหมินจินเหลียนโคลงศีรษะไปมา ไฟโกรธในตัวเธอแน่นอนว่าไม่ใช่พุ่งไปทางจ่านป๋าย แต่เป็นชายชุดดำคนนั้น

 

“ฉันควรจะเรียกคุณว่าอะไรดีคะ” ซีเหมินจินเหลียนมุ่นหัวคิ้ว และถามชายชุดดำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

 

“หืม?” ชายชุดดำถอนหายใจเบาๆ ถามด้วยเสียงโทนต่ำ “หลายปีมานี้ หนูสบายดีหรือเปล่า”

 

“คุณก็รู้หมดแล้วนี่คะ?” ซีเหมินจินเหลียนฉุนเฉียว

 

ชายชุดดำเปลี่ยนมาเป็นรูปอีกใบของซีเหมินจินเหลียน มันเป็นภาพที่เธอใส่ชุดสตรีจีนสมัยราชวงศ์ถัง ผมยาวสลวยใช้ปิ่นปักผมหยกม้วยขึ้นไป ได้ทรงผมมวยสวยอย่างไร้ที่ติ ประกอบกับการถ่ายภาพที่เธอจงใจนำปิ่นหยกดอกโบตั๋นระย้ามาสวมใส่

 

ชายชุดดำทอดสายตามองรูปภาพสลับกับมองซีเหมินจินเหลียน ส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “ตัวจริงสวยไม่เท่าในรูปเลย”

 

“เอารูปคืนมาให้ผม!” จ่านป๋ายเดือดจัด เขาไม่มีทางอ่อนข้อยอมความแน่ รูปภาพของซีเหมินจินเหลียนตกไปอยู่ในมือของคนแปลกหน้า อีกอย่างซีเหมินจินเหลียนจะสวยหรือไม่สวยมันเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?

 

ชั่วขณะที่หลินเสวียนหลานเห็นซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายนั้น เขาก็รู้สึกงงงัน แต่ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มให้ซีเหมินจินเหลียน ใบหน้ายังคงไม่ไหวติง

 

ซีเหมินจินเหลียนตั้งสติระงับความโกรธในใจ มองไปยังชายชุดดำและพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเรียกจ่านป๋ายว่า “เสี่ยวป๋าย พวกเราไปกันเถอะ”

 

จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ก่อนที่จะหันไปมองชายชุดดำ หรือเธอจะให้เรื่องผ่านไปแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?

 

แต่ซีเหมินจินเหลียนหันกายเดินไปข้างนอกแล้ว เขาก็ได้แต่รีบวุ่นเดินตามไป รอให้ซีเหมินจินเหลียนเดินถึงปากประตู ชายชุดดำจึงเปล่งเสียงขึ้นฉับพลัน “จินเหลียน…”

 

ซีเหมินจินเหลียนผ่อนฝีเท้าลง แต่ยังคงเดินไปหน้าปากประตูเช่นเดิม ไม่มีความคิดที่จะหยุดเดินแม้แต่น้อย หลังจากที่เดินพ้นจากบ้านไม้หลังเล็กนั่นแล้วเธอจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

 

ในเวลานี้จ่านป๋ายก็รวบรวมสติกลับมาได้แล้ว เขาลูบไล้ไปยังใบหน้าที่ถูกตบยิ้มขื่นพูดว่า “รอยตบนี้ถือว่าโดนไปฟรีๆ ชาตินี้ก็อย่าหวังว่าจะได้แลกหมัดคืน”

 

 ซีเหมินจินเหลียนมองเขาจากด้านข้าง ส่ายศีรษะพูดขึ้น “ถ้าคุณมีปัญญา คุณก็หาโอกาสไปตบเขาคืนสิ”

 

จ่านป๋ายเหลือแค่รอยยิ้มขื่นๆ เขาเคยเรียนต่อสู้ วิชามัดมวยมา แต่มีแค่คนในวงการเท่านั้นที่แค่ยื่นมือก็รู้แล้วว่ามีฝีมือหรือเปล่า เมื่อครู่นี้เขาเป็นคนลงมือก่อน แม้ว่าจะได้ยินเสียงตะโกนของซีเหมินจินเหลียนแล้วถึงรีบชักมือกลับมา แต่ในเวลานั้นในใจก็รู้แจ้งถึงตัวตนของคุณหูท่านนี้ดี จึงได้แต่ยอมถอยทัพ ถึงอย่างไรแม้เขาจะลงมือเข้าจริงๆ แต่ก็ไม่มีแววที่จะชนะอย่างแน่นอน…คนสุดท้ายที่ถูกฝ่ามืออรหันต์ก็ยังไม่ถูกตีตราว่าเป็นใคร

 

“จินเหลียน ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล” จ่านป๋ายขมวดคิ้วเป็นปม

 

“อะไรไม่ชอบมาพากล?” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

“เดิมทีผมคิดว่าจะมีฉากพ่อลูกหลังจากไม่ได้พบกันมานานกอดคอร้องห่มร้องไห้ แต่พวกคุณ… ” จ่านป๋ายโคลงศีรษะ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เห็นได้ชัดว่าซีเหมินจินเหลียนไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับคุณหูท่านนี้เท่าไหร่

 

“คุณย่าของฉันก็คือแม่ของเขา ตอนที่ใกล้ตายท่านยังเอ่ยถึงเขาอยู่เสมอ…ในเมื่อเขายังไม่ตาย ทำไมหลายปีที่ผ่านมาถึงไม่กลับไปล่ะ? แม้แต่กลบดินเพิ่มที่หลุมฝังศพของย่าหรือจุดธูปสักดอกเขายังไม่เคย… ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “สำหรับฉันแล้ว เขาเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง และเขายังใช้หลินเสวียนหลานเป็นเครื่องมือในการสืบหาเรื่องของฉันทั้งหมด”

 

“ในใจของฉันร้อนรุ่มเหมือนไฟสุม คุณไปเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจยาวออกมา ตอนที่ลุงงูเกริ่นบอกกับเธอ เธอก็รู้ดีว่าวันนี้คงจะมาถึงในไม่ช้า วันที่เธอได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องทุกอย่างจะเร็วขนาดนี้! เธอคุ้นชินกับการใช้ชีวิตตามลำพัง มีอิสระเต็มไปด้วยอารมณ์รักโกรธเศร้าสุขแตกต่างกันไป โลกของเธอไม่ต้องการแบ่งปันกับใคร

 

เมื่อมองซีเหมินจินเหลียนเดินจากไปแล้ว คุณหูก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง เริ่มสำรวจดูรูปภาพพวกนั้นอยู่นานถึงปริปากคุยกับหลินเสวียนหลานว่า “ทำไมรูปภาพถึงได้สวยกว่าตัวจริงล่ะ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย…”

 

“คุณหูครับ คุณซีเหมินสวยมากนะครับ” หลินเสวียนหลานยิ้มขื่นๆ “คุณอย่าพูดแบบนี้สิครับ?”

 

“อืม…ใช่” คุณหูพยักหน้าหงึกหงัก

 

หลินเสวียนหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อสักครู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋าย บัดนี้กระวนกระวายใจรีบถามขึ้นว่า “คุณหูครับ ของที่ท่านอยากได้ ผมก็นำมาส่งให้ที่พม่าตามที่ท่านต้องการแล้ว ท่านสามารถปล่อยปู่ผมไปได้แล้วหรือยัง”

 

“ฉันไม่ได้กักขังปู่ของเธอ” คุณหูส่งเสียงหึๆ ในลำคอ “พูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่าฉันกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นอย่างผิดกฎหมายอย่างนั้นหรือ?”

 

“คุณหูครับ ขอร้องท่านเถอะครับ” หลินเสวียนหลานพลันรู้สึกว่าตัวเองไร้ซึ่งอำนาจ ยามที่พูดคุยธุรกิจกับคนคนนี้ก็เท่ากับว่าฝากปลาย่างไว้กับแมว “เห็นแก่ที่ตระกูลหลินของพวกเราช่วยท่านจนสายตัวแทบขาดมาตั้งหลายปี ปู่ของผมก็อายุปูนนี้แล้ว ท่าน…”

 

“ไม่มีอะไรแล้ว คุณไปเถอะ” คุณหูออกคำสั่งไล่แขกอย่างเยือกเย็น

 

หลินเสวียนหลานถอนหายใจออกมา ตั้งแต่ต้นเขาก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกคนอื่นควบคุมไว้ในมือ อยากจะวางไว้ที่ไหนก็ได้ดั่งใจ…

 

เมื่อเห็นเขาเดินไปถึงหน้าประตู คุณหูก็เอ่ยปากพูดขึ้นทันทีว่า “วันนี้คุณก็ล้มไม่เป็นท่า!”

 

หลินเสวียนหลานเข้าใจความหมายของเขาดี ตัวเองมาส่งรูป แต่คิดไม่ถึงว่าซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายจะสะกดรอยตามมาด้วย เกรงว่าพูดอะไรกับฝั่งนั้นแล้วก็คงไม่มีประโยชน์

 

“นั่นเป็นเรื่องของผม ผมจัดการเองได้” หลินเสวียนหลานหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า “น่าเสียดายที่ท่านโชคร้ายกว่าผมเสียอีก”

 

ครั้งนี้คุณหูไม่เอื้อนเอ่ยอะไร รอให้หลินเสวียนหลานเดินจากไปแล้ว เขาก็ไล่มองรูปภาพของซีเหมินจินเหลียนทีละรูปอย่างเหม่อลอยจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี

 

“เจ้านาย พวกเรากลับกันเถอะครับ” เงามืดสีดำราวกับภูตผีสางย่างกรายเข้ามาและยืนข้างกายเขาอยู่เงียบๆ “รถเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

 

“อ้อ…ดี!” คุณหูตอบกลับ เงามืดเดินเข้ามาช่วยเขาจัดการเก็บรูปภาพบนโต๊ะ แต่คุณหูปัดมือออกแสดงว่าห้ามแตะต้อง ตนเองจะเป็นคนจัดการเอง จากนั้นก็ใส่เข้าไปในแฟ้มและยื่นให้เงามืด “ไปหาร้านถ่ายรูปที่ดีที่สุดแล้วทำเป็นอัลบั้มซะ”

 

เงามืดประคองเขาเดินออกไปข้างนอก ด้านนอกมีแต่ต้นไม้กับแสงอาทิตย์อัสดง เมื่อคุณหูเห็นแสงอาทิตย์อัสดงก็ราวกับปรับตัวไม่ทัน จากนั้นควานหาแว่นกันแดดสีดำใส่ไว้บนใบหน้า ถอนหายใจพูด “ได้เจอแสงอาทิตย์อีกครั้ง บังเอิญเสียจริง”

 

ข้างในรถเมอร์เซเดสเบนซ์สมรรถนะยอดเยี่ยมคันหนึ่ง คุณหูสูดลมหายใจยาวลึก ขมวดคิ้วพูด “พวกเขาพักที่ไหน”

 

“โรงแรมย่างกุ้ง แกรนด์ครับ” เงามืดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพนับถือ “ท่านอยากไปดูเธอหรือเปล่าครับ”

 

“เฮ้อ…” คุณหูไม่ปริปากพูดว่าจะเอาอย่างไรต่อ “เรื่องที่ฉันให้แกไปทำ แกก็ทำพลาดหรือ?”

 

 เงามืดตัวสั่นระริก ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูด คุณหูมองเขาด้วยสายตาแน่นิ่ง “หากคนคนนั้นมันทำเรื่องใหญ่ของฉันพังล่ะก็ หึ!”

 

“เกิดเหตุไม่คาดฝันนิดหน่อยครับ…” เงามืดรีบพูด

 

“ไปโรงแรมย่างกุ้ง แกรนด์” คุณหูนั่งพิงเบาะหนังแท้แล้วปิดตาลง

 

มือสีขาวซีดของเงามืดสองคู่นั้นยังคงสั่นเทา รถเมอร์เซเดสเบนซ์สมรรถนะยอดเยี่ยมคันหนึ่งถึงกับต้องใช้แรงสตาร์ทถึงสองครั้งจึงได้เคลื่อนทะยานตัว

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายกินมื้อเย็นมาแล้วที่ห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรมย่างกุ้ง แกรนด์ และเห็นหลินเสวียนหลานกำลังนั่งอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองเขาก็เลยรีบกล่าวทักทาย

 

“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานยิ้มอ่อนโยนด้วยท่วงท่าสง่างาม

 

“อ้อ!” ซีเหมินจินเหลียนผงกศีรษะถาม “คุณกินข้าวเหรอยังคะ ช่วงนี้บริษัทเป็นอย่างไรบ้าง”

 

“บริษัทราบรื่นดีครับ ช่วงนี้ธุรกิจดีมาก เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้” หลินเสวียนหลานตอบ

 

“คุณก็มาร่วมงานที่พม่าด้วยเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก พวกเราน่าจะมาด้วยกัน”

 

“จินเหลียน…” หลินเสวียนหลานยิ้มฝืน เขาไม่ได้มาพม่าเพื่อพนันหินหยก เขาเคยเห็นซีเหมินจินเหลียนกับอวิ๋นอวิ้นพนันหินเขาถึงได้รู้ว่าความรู้ในการพนันหินพวกนั้นไม่มีค่าที่จะพูดถึง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินมาละลายแม่น้ำไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นคนที่แสวงหาความมั่นคง

 

“คุณก็พักที่นี่เหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

หลินเสวียนหลานผงกศีรษะ แม้ห้องพักของโรงแรมแห่งนี้จะมีห้องหลงเหลืออยู่น้อยนิด แต่เขาก็ยังจองมันได้สำเร็จ

 

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปดูด้วยกันสิคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

“พม่ากับจีนไม่เหมือนกันนะครับ” หลินเสวียนหลานขมวดคิ้วพูด “เพราะรัฐบาลพม่าถูกควบคุมโดยทหาร ดังนั้นงานประมูลหินหยกที่พม่าเลยมีข้อเสียอยู่บ้าง”

 

“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว หรือเรื่องนี้ก็สามารถใช้อำนาจมืดจัดการได้? นี่ยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า?

 

“แต่ คุณก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก เพราะยังไงครั้งนี้เป็นงานประมูลหยกใต้ดิน รัฐบาลพม่าไม่สะดวกจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเท่าไหร่ ขอแค่ไม่ใช่หินหยกดิบที่ล่อตาล่อใจ พวกเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจจะมายุ่งเกี่ยว” หลินเสวียนหลานอธิบายอีกครั้ง

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วเป็นปม เรื่องพวกนี้เจี่ยหยวนฮวาก็ไม่น่าที่จะไม่รู้สิ? แต่ทำไมเขาไม่พูดถึงเลย?