ส่วนที่ 4 ตอนที่ 251 รูปภาพ

ความลับแห่งจินเหลียน

นักธุรกิจหยกไม่ว่าจะอิจฉาตาร้อนหรือถึงขั้นริษยาก็ดี แต่พวกเขาก็ยังคงรักษามารยาทไว้อยู่ พากันมาแสดงความยินดีกับซีเหมินจินเหลียนที่ชนะพนันหินกันทีละคน ซีเหมินจินเหลียนได้แต่อมยิ้มอธิบายว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่เป็นจ่านป๋ายที่ดวงดีต่างหาก

 

 

เมื่อชื่นชมกันไปมาไม่มีหยุดหย่อน ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายที่ว่าออกมาสายแล้ว ตอนนี้ดวงอาทิตย์อยู่ตรงศีรษะพอดิบพอดี ไม่ทันได้รู้สึกตัวท้องของทุกคนก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหิวโหย ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนเสนอไอเดียเลี้ยงข้าวทุกคนที่ร้านอาหารแถวนี้

 

 

เพราะว่าเธอเพิ่งจะชนะพนันหินหยกมา แม้บอกว่าจ่านป๋ายจะเป็นคนลงมือลงแรง แต่สายตาของทุกคนก็ดูออกว่าระหว่างซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายนั้นไม่ใช่แค่เจ้านายกับบอดี้การ์ดธรรมดา…มีบอดี้การ์ดที่ไหนบ้างที่จะพักอาศัยกับเจ้านายผู้หญิงอย่างเปิดเผย?

 

 

ดังนั้นทุกคนจึงตกปากรับคำอย่างยินดี ในระหว่างที่นั่งพูดคุยกันมีนักธุรกิจหยกบางท่านที่ดื่มเหล้ากันจนเมามาย พากันพูดพล่ามถึงเรื่องความรักของชายหญิง อีกทั้งยังถือโอกาสเหย้าหยอกซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋าย ซีเหมินจินเหลียนที่หน้าบาง เมื่อพูดแค่ไม่กี่ประโยคเธอก็หน้าแดงก่ำ ยิ่งทำให้คนอื่นๆ โหมโรงกันเข้าไปใหญ่

 

 

เจี่ยหยวนฮวาขมวดคิ้วมุ่น ปัญหาเรื่องความรักของซีเหมินจินเหลียนนั้นค่อนข้างซับซ้อน เขาได้ยินว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขานั้นสนอกสนใจหลินเสวียนหลาน…หลานชายของหลินเสวียเหวิน

 

 

เด็กหนุ่มคนนั้นเขาเคยเห็นมาก่อน รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติ สุภาพอ่อนโยน…เฮ้อ นี่ก็ไม่รู้ว่าซีเหมินจินเหลียนคิดอย่างไร

 

 

 หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ทุกคนก็เริ่มคุ้นเคยกันและนัดกันไปดูหินหยกต่อ เจียหยวนฮวาพูดคุยกับซีเหมินจินเหลียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปดูสินค้ากับพรรคพวกคนสนิท ส่วนซีเหมินจินเหลียนนั้นนั่งพิงเก้าอี้จ่านป๋ายเรียกให้พนักงานเสิร์ฟมาเพื่อจ่ายเงิน

 

 

หลังจากพนักงานเสิร์ฟเดินจากไปแล้ว จ่านป๋ายเห็นว่าใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนยังคงแดงก่ำเหมือนลูกตำลึงสด ไม่รู้เป็นเพราะฤทธิ์เหล้าที่ดื่มไปหลายแก้ว หรือเป็นเพราะถูกคนหยอกล้อกันแน่ จึงอาศัยจังหวะที่กำลังมึนเมาถามเธอออกไป “จินเหลียน…คุณว่าไงครับ?”

 

 

“หือ?” ซีเหมินจินเหลียนสงสัย หมายความว่าอะไรยังไงเหรอ?

 

 

“ผมหมายถึง เรื่องที่พวกเขาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้?” จ่านป๋ายพูดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกเคอะเขินทำตัวไม่ถูก ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็ลองถามเรื่องนี้กับเธออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งเธอก็แค่กลอกตาใส่เขา

 

 

“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงเก้าอี้มือกุมหน้าผากอยู่นานก่อนพูดขึ้น “หากวันหนึ่ง ไม่มีใครมาขอฉัน คุณก็มาขอฉันได้เลย…”

 

 

 จ่านป๋ายนิ่งอึ้งอยู่นานก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ทำไมถึงจะไม่มีใครมาขอคุณล่ะ? ขอแค่คุณตกลง คนมากมายก็พร้อมที่จะคลานเข่าเข้ามาขอคุณแล้วครับ”

 

 

“ถ้าอยากนั้นคุณอยากแต่งงานกับฉันไหม” ซีเหมินจินเหลียนชูสองนิ้วขึ้นตั้ง และส่ายไปส่ายมาตรงหน้าเขา “ห้ามพูดโกหกนะ!”

 

 

“แน่นอนครับ!” จ่านป๋ายพูดจริงจัง

 

 

“ท่าทางแบบนี้ของคุณเหมือนกับสวี่อี้หรานและหมอมองโกลคนนั้นเลย!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มมีเลศนัย “ยากที่จะทำให้คนเชื่อ”

 

 

จ่านป๋ายได้ยินแล้วมีความคิดอยากจะทุบตีสวี่อี้หรานให้ตายสักที เขาก็พูดออกมาด้วยความตั้งใจแท้ๆ แต่กลับถูกหาว่าไม่จริงใจ? หรือจะต้องให้เขาลอยชายไปมาวันๆ หรืออย่างไร?

 

 

“จินเหลียน พวกเราจะไปดูหินหยกอีกไหม” จ่านป๋ายเบี่ยงประเด็นถาม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกำลังคิดจะตอบคำถามของเขา เธอก็เงยหน้าขึ้นมา มองผ่านหน้าต่างกระจกใส เห็นแค่เงาคุ้นเคยหายไปในด้านในของถนนพนันหิน…

 

 

“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไป” จ่านป๋ายเห็นสีหน้าเธอผิดปกติ

 

 

“เปล่า…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “พวกเราไปถนนพนันหินกัน แต่ว่าไม่ต้องพนันหินแล้ว!” พูดจบเธอก็ไม่รีรอให้จ่านป๋ายพูดต่อ รีบลุกขึ้นยืนเดินนำออกไปข้างนอกทันที

 

 

ออกจากร้านอาหารมาได้ไม่นาน สายตาของจ่านป๋ายก็เห็นหลินเสวียนหลานอยู่ท่ามกลางผู้คน “เขามาอยู่ที่พม่าได้ยังไงกัน”

 

 

“คำถามนี้ ฉันก็อยากรู้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “เราเลยต้องตามมาดูไง!”

 

 

ทั้งคู่เดินตามหลังหลินเสวียนหลานอยู่พักหนึ่ง หลินเสวียนหลานไม่รีบร้อน เดินไปและมองร้านค้าขายหินหยกทั้งสองฝั่งอย่างสบายอกสบายใจ จนมีบางครั้งที่เห็นคนกำลังซื้ออยู่ เขายังยืนล้อมวงไปสังเกตการณ์

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะเขาดูไม่เหมือนว่าอยากจะซื้อหินหยกดิบ และไม่เหมือนกับกำลังตามหาคนเลย แต่เหมือนคนที่เที่ยวเล่นไปทั่วเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำมากกว่า

 

 

ถ้าจะบอกว่าอุตส่าห์ดั้นด้นมาจากเซี่ยงไฮ้มาถึงพม่าก็เพื่อจะมาเดินเล่นในถนนพนันหยกนั้น ดูแล้วไม่น่าจะเชื่อถือเท่าไหร่

 

 

“จินเหลียน หรือว่าบริษัทของพวกเราจะมีปัญหาอะไรครับ?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม

 

 

“ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นในบริษัทจริง เขาน่าจะโทรมาให้ฉันกลับไปจัดการ แต่ไม่ใช่มาเดินเล่นอยู่ในพม่าแบบนี้สิ!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายศีรษะพูด

 

 

ทักษะในการสะกดรอยตามของจ่านป๋ายเป็นที่หนึ่ง ไม่ทันไรเขาก็ตามติดไปไม่ห่างแล้ว และไม่ทันทำให้หลินเสวียนหลานรู้ตัว

 

 

“แล้วเขาจะมาพม่าทำไมกัน” จ่านป๋ายถาม “ไม่อย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปถามเขาตรงๆ เลยดีไหมครับ”

 

 

“เขาจะบอกเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าถามกลับไป

 

 

จ่านป๋ายฝืนยิ้มออกมา จากลักษณะนิสัยของหลินเสวียนหลานแล้ว หากเขาไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เช่นนั้นก็อย่าหวังให้ดอกพิกุลร่วงออกมาจากปากเขาเลย และคนที่สุภาพอ่อนโยนอย่างนั้นก็มีคุณสมบัติพิเศษในการหลอกลวงคนอื่นได้ดีเลยทีเดียว

 

 

“พวกเราตามเขาไปเถอะ ถ้าเขามาหาหลินเสวียเหวินก็แล้วไป แกล้งทำเป็นไม่รู้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น “อีกอย่างพวกเราก็ยังมาพม่าได้ แล้วทำไมเขาถึงจะมาไม่ได้?”

 

 

“โอเคครับ” จ่านป๋ายยิ้ม ทั้งคู่ติดสอยห้อยตามเป็นเงาตามตัวของหลินเสวียนหลาน แต่เขาเดินจากต้นซอยไปท้ายซอยก็ไม่เห็นมีทีท่าจะซื้ออะไร จากนั้นเพียงแค่ช่วงเลี้ยวชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เห็นร่องรอยของเขา

 

 

จ่านป๋ายขมวดคิ้วจูงมือซีเหมินจินเหลียน “เขา…พวกเราเข้าไปดูกันเถอะครับ”

 

 

ในทางตันของถนนเดิมพันหินมีบ้านทรงเตี้ยเก่าแก่อยู่หลังหนึ่ง ประตูไม้ผุกร่อนปกปิดอยู่… สถานที่แห่งนี้ซีเหมินจินเหลียนเคยมากับจ่านป๋ายเมื่อวาน

 

 

“ทำไมเขาถึงมาที่นี่?” ซีเหมินจินเหลียนมองจ่านป๋ายอย่างไม่เข้าใจ ในใจมีแต่ความสงสัยท่วมท้น หลินเสวียนหลานกับเงามืดคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?

 

 

จ่านป๋ายเข้าใจว่าตอนนี้เธอกำลังกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก “พวกเราเข้าไปฟังดีไหมครับว่าพวกเขาพูดอะไรกัน?”

 

 

“มันจะดีเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม แอบฟังคนอื่นพูดคุยกันก็เพื่อตอบสนองความสงสัยในใจของตัวเอง ทำแบบนี้มันดูต่ำช้าไปหน่อย

 

 

“ทำไมจะไม่ดีล่ะ ผมรู้สึกว่าเขาคงไม่น่าจะแค่มาเที่ยวพม่าเสียแล้วสิ” จ่านป๋ายพูดจบพร้อมจูงมือ ซีเหมินจินเหลียนเดินไปหน้าประตูไม้ ประตูนั้นไม่ได้ปิด…เขาผ่อนฝีเทาลงและค่อยๆ ผลักประตูเปิดออก จากนั้นแทรกตัวเข้าไป

 

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วเป็นปมและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป สถานที่แห่งนี้อาจจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพ่อเธอก็ได้ มาแอบฟังอยู่ที่นี่ความจริงแล้วก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง…

 

 

ห้องฝั่งทางตะวันออกมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังพูดคุย น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึม แต่ฟังแล้วไม่ใช่เสียงเงามืดเมื่อวาน “เอาของมาหรือเปล่า?”

 

 

“เอามาครับ” หลินเสวียนหลานพูด

 

 

จ่านป๋ายมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนและทำไม้ทำมือ ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ จ่านป๋ายจึงทำท่าให้เธอดูอีกรอบ ในที่สุดเธอก็เข้าใจความหมายของจ่านป๋ายแล้ว…นี่หลินเสวียนหลานคงไม่ได้แอบลักลอบเอาเครื่องประดับหยกมูลค่ามหาศาลมาขายเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหรอกใช่ไหม?

 

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าให้จ่านป๋ายอย่างหนักแน่น หลินเสวียนหลานน่าจะทำเรื่องอื่นมากกว่า แค่ผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้เขาคงไม่ต้องดิ้นรนทำหรอก สิ่งที่เขาต้องการคือผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่

 

 

“ถ่ายภาพได้ดีนี่ คุณถ่ายเองเหรอ” เสียงคนนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้ว ถ่ายภาพได้ดี นี่เป็นภาพอะไรกันแน่? หรือหลินเสวียนหลานจะถ่ายรูปเครื่องประดับหยกสำเร็จรูปอะไรออกมา? ที่เธอรู้นักธุรกิจหยกส่วนมากชอบถ่ายรูปจำพวกเครื่องประดับหยกสำเร็จรูป เพื่อตอบสนองความพอใจ…แค่มองก็เท่ากับว่าได้ครอบครอง มีที่มาที่ไปแบบนี้

 

 

เธอไม่เคยมีความชอบแบบนี้มาก่อน พอได้เห็น หากต้องการเธอก็จะรีบหาหนทางครอบครอง แต่ไม่ใช่แค่เห็นด้วยสายตาแล้วพึงพอใจ

 

 

“ไม่ใช่ครับ” หลินเสวียนหลานพูด “คุณหู ถ้าคุณอยากได้ของพวกนี้ก็แค่บอกให้ผมส่งทางอินเทอร์เน็ตก็ได้แล้ว จากนั้นคุณเองก็แค่ปรินต์ออกมา ทำไมจะต้องให้ผมดั้นด้นมาส่งให้ที่พม่าเองด้วย?”

 

 

คุณหู? ซีเหมินจินเหลียนสบตากับจ่านป๋ายอีกครั้ง…คุณหูเป็นใครกันแน่? แต่ไม่น่าจะใช่ผู้อาวุโสหูผู้ลึกลับท่านนั้น สำเนียงในการพูดของเขา ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายแยกแยะได้

 

 

ได้ยินหลินเสวียนหลานพูดแบบนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็แน่ใจแล้วว่าเขามาส่งของ อาจจะเป็นรูปภาพหรือเอกสารบางอย่าง ไม่อย่างนั้นจะส่งทางอินเทอร์เน็ตอย่างไร?

 

 

“นอกจากฉันอยากจะดูสิ่งของพวกนี้ ฉันก็ยังอยากจะเจอคุณด้วย”

 

 

“ผมมีอะไรที่น่าสนใจอย่างนั้นเหรอ?” หลินเสวียนหลานยิ้มเก้อ

 

 

“รูปนี้ใครเป็นคนถ่าย” คนคนนั้นถามต่อ “ผู้ชายหรือผู้หญิง ใครที่พักอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ รูปพวกนี้ถ่ายในบ้านนี่นา นี่คือผู้ชายที่อยู่ข้างกายเธอคนนั้นเหรอ?”

 

 

 ซีเหมินจินเหลียนมองจ่านป๋ายอย่างสงสัย เธอพอจะเดาได้ลางๆ ว่าหลินเสวียนหลานเอาอะไรมาให้คนคนนั้น แต่ปัญหาก็คือรูปภาพพวกนั้นมีแค่จ่านป๋ายที่มีนี่? จ่านป๋ายกระสับกระส่ายและเบี่ยงหน้าหนีไป

 

 

“ใช่ครับ” หลินเสวียนหลานตอบแค่ประโยคสั้นๆ

 

 

ในห้องนั้นเต็มไปด้วยความเงียบสนิท คนคนนั้นไม่พูดจา และหลินเสวียนหลานเองก็ไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานเขาถึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “คุณหู ความจริงตอนนี้ซีเหมินจินเหลียนก็อยู่ที่พม่า หากคุณต้องการจะพบเธอ ก็สามารถไปพบเธอได้ด้วยตัวเองนี่ครับ ทำไมจะต้องมองผ่านรูปภาพพวกนี้ด้วย?”

 

 

“ใครอยู่ที่ประตู” จู่ๆ เสียงของคุณหูที่อยู่ในห้องเค้นเสียงสูงถาม

 

 

ประตูไม่ได้ล็อค ถึงจะล็อคก็ไม่เหนือไปกว่าบ่าของจ่านป๋าย ดังนั้นจ่านป๋ายจึงผลักประตูแค่เบาๆ และเดินเข้าไปในห้อง ในห้องนั้นเหมือนห้องที่มีหินหยกตั้งไว้ข้างใน ทรุดโทรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นห้อง มีโต๊ะตัวหนึ่งวางรูปภาพระเกะระกะไว้ ทุกภาพเป็นภาพซีเหมินจินเหลียนยิ้มแย้มแจ่มใส…

 

 

เครื่องประดับหยกสำเร็จรูปเกรดดีเลิศ ของตกแต่งติดตัว ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ตามมาด้วยชุดกระโปรงสมัยโบราณที่ซีเหมินจินเหลียนสวมใส่ เสริมไปกับเทคนิคประมวลผลภาพ ทำให้งดงามไร้ที่ติ

 

 

แต่จ่านป๋ายควบคุมอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านไม่ไหว รูปภาพพวกนี้เขาเป็นคนถ่ายซีเหมินจินเหลียนเองกลับมือ จากนั้นเขาก็เป็นคนเลือกรูปภาพที่ดีที่สุดจัดการประมวลผลภาพรวบรวมเป็นอัลบั้ม

 

 

ตอนนั้นหลินเสวียนหลานมาส่งภาพสเก็ตช์หยกให้กับซีเหมินจินเหลียน เขาอยากได้อีกชุดตนเองเลยให้หลินเสวียนหลานไป แต่คิดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานจะเอารูปของเธอมาให้ผู้ชายแปลกหน้า…ใช่แล้ว ข้างหน้าโต๊ะมีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งสวมใส่ชุดฉางเผ่ายาวสีดำ ดูแล้วไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย

 

 

ผู้ชายคนนี้ใช้สายตามองเหมือนจับผิด พลางมองไปยังรูปภาพต่างๆ ของซีเหมินจินเหลียนอย่างสนอกสนใจ…