ตอนที่ 149 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 149 เรื่องรักๆ ใคร่ ๆ (6)

               เช้าวันต่อมาอี้เป่ยซีก็ไปรายงานตัวที่คณะวรรณกรรม เธอยังไม่ทันเดินเข้าไปในสำนักงานของคณะก็ได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบกัน

            “ได้ข่าวว่าเปิดสอบให้เฉพาะเลย”

            “นั่นสิ ไม่รู้ว่าเป็นใครถึงได้เดินเข้าทางลัดแบบนี้”

            “คงไม่ได้เป็นคนแบบหลิงจื่อเซี่ยนั่นหรอกนะ วันๆ หยิ่งยังกะอะไรดี ไม่รู้ว่าใครไปติดค้างเธอ”

            “ไม่แน่ว่าอาจมีความสามารถมาก ก็เลยเป็นข้อยกเว้นล่ะมั้ง” มีเสียงที่คุ้นเคยค่อยๆ ดังขึ้น “ในเมื่อเป็นวิชาของฉัน พวกเธอก็ไม่ต้องห่วงหรอก”

            ไม่รู้ว่าใครถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เยี่ยฉิน เธอนี่อารมณ์ดีจังเลยนะ”

            “เปล่าหรอก” เยี่ยฉินเปิดประตูสำนักงานออก ก็เห็นอี้เป่ยซีที่หน้าประตูทันที เธอยิ้มให้กับเยี่ยฉิน

            “สวัสดีค่ะอาจารย์ที่ปรึกษา ฉันมารายงานตัว”

            “เธอ เธอเองเหรอ”

            อี้เป่ยซีพยักหน้า “นอกจากฉันแล้ว ยังจะมีใครที่มีความสัมพันธ์และมีสิทธิพิเศษแบบนี้ล่ะคะ” นักศึกษาเหล่านั้นมองหน้ากัน ทุกคนต่างกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำธุระของตัวเองไป และยังมีเสียงคุยถึงเรื่องที่เรียน อี้เป่ยซีส่ายหัว

            “อาจารย์คะ เท่านี้แหละค่ะ ฉันกลับไปเรียนได้แล้วยัง?”

            “ได้ ฉันจะพาเธอไป”

            “ค่ะ” เธอหอบหนังสือ เดินออกจากสำนักงานพร้อมกับเยี่ยฉิน

            เยี่ยฉินที่อยู่ข้างๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปากอย่างไร สุดท้ายก็กัดฟันพูด “เป่ยซี เธอ…”

            เธอมองเยี่ยฉิน ดวงตามีความสดใสที่ส่องผ่านทุกอย่าง จู่ๆ เยี่ยฉินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เธอส่ายหัว

            “เยี่ยฉิน เธอ กับมู่ลี่ไป๋ มีเรื่องกันใช่หรือเปล่า ทำไม สุดท้ายแล้วเธอ ถึงยอมแพ้ล่ะ” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง “ลั่วจื่อหานบอกว่า ที่ยอมแพ้ เพราะว่ารักกันไม่พอ อีกอย่าง ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับมู่ลี่ไป๋ ลั่วจื่อหานก็เลยไม่ชอบเธอเป็นพิเศษ”

            เยี่ยฉินหัวเราะขมขื่น รู้สึกว่าแก้มของตัวเองอ่อนล้าเล็กน้อย “ใช่แล้ว คงเป็นเพราะฉันรักเขาไม่พอจริงๆ”

            “แล้วจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

            “เป่ยซี ถ้าเธอมีความสุขล่ะก็ จะต้องมีความแน่วแน่ เพราะว่าความรักที่ไม่มีอุปสรรคแบบพวกเธอน่ะ มีไม่มากหรอก ฉันขออวยพรให้เธอกับลั่วจื่อหานมีความสุขนะ”

            อี้เป่ยซีหยุดอยู่ด้านข้าง ส่ายหัว “ไม่ใช่นะ ตอนนี้คิดดูแล้ว ตัวฉันเมื่อก่อนอาจเป็นเหมือนที่ลั่วจื่อหานพูดว่าเปลี่ยนไม่มากพอ ระหว่างพวกเราก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ทุกคนต่างมีอีกด้านที่คนอื่นมองไม่เห็น ถ้าไม่มีคนหัวเราะเยาะ ก็มีคนที่อยู่ด้วยกันได้ พวกเขาก็เหมือนเรือใบที่แล่นผ่านไป”

            “เธอคิดจะยอมแพ้จริงเหรอ?”

            เยี่ยฉินเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ไม่สนใจดวงตากลมโตของอี้เป่ยซี “ถ้าเธอยังไม่ไปอีกจะสายเอานะ”

            “อืม” เธอก้มหน้าเดินอยู่ข้างๆ เยี่ยฉิน ไม่ได้พูดอะไรอีก บางทีลั่วจื่อหานพูดถูก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา และไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเลิกกัน ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้หรอก

            แต่ว่า เธออยากช่วยพวกเขามากจริงๆ นะ

            ไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองชอบต้องเสียใจ และไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างกายต้องพลาดความสุขที่ได้มาไม่ง่ายเพียงเพราะเหตุผลที่ไร้สาระพวกนั้น

            การที่ได้เจอคนที่ตัวเองชอบ มันยากมากนะ

            “จริงสิ เป่ยซี ฉันมีแฟนแล้ว ก็คือคนนั้นที่เธอเห็นคราวก่อน เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉัน”

            “หา” เธอไปเห็นแฟนของเยี่ยฉินตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมเธอถึงไม่รู้

            เยี่ยฉินเห็นอาการงุนงงของอี้เป่ยซี เคาะๆ หัวของตัวเอง “ความจำฉันนี่แย่จัง คราวก่อนเธอเมา น่าจะจำอะไรไม่ได้เลยมั้ง”

            เมาเหรอ ครั้งนั้นที่เจอกับมู่ลี่ไป๋น่ะเหรอ? เหมือนกับว่าพวกเขาไปดื่มด้วยกัน เหมือนกับว่าเธอร้องเพลง ได้เห็นเยี่ยฉินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ว่าเหมือนกับเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง

            เกิดอะไรบางอย่าง…อี้เป่ยซีได้ยินเสียงแตรที่ดังอยู่ข้างถนน จู่ๆ ชิ้นส่วนภาพที่แตกหักก็ผ่านวูบเข้ามาในสมอง

            เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นตั้งนานแล้ว ทำไมเธอยังจำได้อยู่อีก อี้เป่ยซีกุมหัว รู้สึกเหนื่อยหน่ายมาก เธอเคยมีปัญหากับความทรงจำครั้งนึง อาการป่วยจะคงอยู่แบบนี้ตลอดไปเหรอ?

            “เป่ยซี เธอเป็นอะไรไป ทำไมหน้าแดงแบบนี้”

            อี้เป่ยซีได้ยินเยี่ยฉินแล้ว หน้ายิ่งแดงกว่าเดิม ราวกับว่ามันกำลังเผาไหม้ เธออ้ำๆ อึ้งๆ “เปล่า…ก็แค่…คือว่า ตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”

            เมื่อมาถึงอาคารเรียน อี้เป่ยซีก็วิ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วและนั่งที่แถวสุดท้ายของห้องเรียน เธอเปิดกระเป๋าก็พบว่ามีสมุดบันทึกใหม่เอี่ยมสองสามเล่มอยู่ด้านใน ชั้นนอกสุดของกระเป๋าใบเล็ก มีปากกาหมึกซึมสีเงินนอนอยู่ มีตัวอักษร ‘หาน’ ที่เขียนอย่างสวยงามอยู่บนฝาปากกา ทันทีที่เห็นก็ดูออกว่าเป็นลายเส้นของใคร หัวใจของอี้เป่ยซีรู้สึกหวานขึ้นฉับพลัน

            ‘ช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ’ เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ ฟังอาจารย์บรรยายอย่างตั้งใจ

            เมื่อเยี่ยฉินกลับถึงห้องทำงานก็ไม่มีสมาธิเลย เธอเปิดๆ ปิดๆ เอกสารที่อยู่ในมือ สักพักปากกาก็ตกพื้น สักพักก็หาข้อมูลที่ตัวเองต้องการไม่เจอ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เธอมองตัวอักษรสีขาวดำบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นความสนใจทั้งหมดก็หายไป

            อ่านหนังสือก็เบื่อ ทำงานก็เบื่อ เดินทางก็เบื่อ กินอะไรก็เบื่อ ทุกอย่างน่าเบื่อไปหมด เธอมองเห็นสีขาวดำที่เด้งขึ้นมาหน้าจอ มันแพร่กระจายไปในชีวิตของเธอ ความสว่างไสวทั้งหมดได้ถูกกลืนกิน และเธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ความรู้สึก

            เธออยากจะฟุบลงบนโต๊ะแล้วปล่อยโฮ แต่ว่าเธอไม่ได้ทำ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ตอนนี้เธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ควรทำตัวเหมือนเด็กๆ อีกที่ปล่อยให้ชีวิตถูกรบกวนด้วยอารมณ์ และปล่อยให้ความรักนำพาพฤติกรรม เธอยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นิ้วมือพิมพ์คำอัตโนมัติ สีหน้าไร้ความรู้สึก

            เธอราวกับว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ราวกับว่าไม่ได้อยู่ที่นี่ เธอดูเหมือนศพที่ไร้อารมณ์ใดๆ นั่งอยู่ที่นั่งของตัวเอง ควรในสิ่งที่เธอควรทำ

            ไม่รู้ว่าใครทำแก้วของเธอคว่ำ เสียงแตกกระจายที่ดังสนั่นทำเอาเยี่ยฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เพียงครึ่งหนึ่งนั้นร่วงลงมาอย่างแรง เธอเห็นตัวอักษรสีดำเริ่มแทรกซึมอยู่บนกระดาษสีขาว กลายเป็นรอยเปื้อนสีดำและพร่ามัวทีละน้อยๆ เธอลูบคลำใบหน้าของตัวเอง

            เยี่ยฉิน มันผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังปล่อยวางไม่ได้ หรือว่าเธอยังไม่รู้เหรอว่าเธอไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตของเขาเลย เขาไม่เคยคิดที่จะให้เธอมีส่วนร่วมเลย

            เธอเป็นเพียงฉากหลังในชีวิตของเขา เหมือนร้านค้าทั้งหมดที่เขาเดินเข้าไป อาจจะหยุดชมว่าสวย แต่กลับไม่พาเธอไปและไม่อยู่ต่อ

            เยี่ยฉิน ทำไมเธอยังมองออกไม่ออกอีกเหรอ

            เธอปีนขึ้นมาบนโต๊ะแล้วร้องไห้อย่างอดไว้ไม่ไหว และไหล่ก็สั่นเทิ้ม

            จะพูดได้อย่างไรว่าเธอรักไม่มากพอ จะมีใครรู้ว่าเธอเจออะไรมาบ้างก่อนที่จะปล่อยมือ ถ้าหากอยู่ด้วยกันได้ ใครจะยอมปล่อยมือล่ะ

            คนอื่นไม่เข้าใจแต่มู่ลี่ไป๋คุณก็ไม่รู้เหรอ ถ้าหากคุณรู้ทำไมตอนนี้คุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ทำไมถึงเย็นชากับฉันเพียงนี้ ทำไมถึงไม่ยอมมาหาฉัน

            เพราว่าคุณไม่ยอมให้ฉันเดินเข้าไปในชีวิตของคุณจริงๆ เหรอ?

        ถ้าอย่างนั้นที่เคยพูดเมื่อก่อนเป็นเพียงคำหลอกลวงฉันงั้นเหรอ?

————