ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
บทที่ 290: เผาไหม้ฮัวเฉียนหวู่
ฮัวชิงหยุนนั้นรู้ดีว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้อีกต่อไป ยิ่งนางกล่าวอะไรออกไป คำพูดเหล่านี้จะทำให้ซ่งจงโกรธแค้นมากขึ้นเท่านั้น นางรีบชดเชยความผิดเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้มทันที จากนั้นกล่าวต่อ “คือว่านางไม่อาจคาดเดาอนาคตได้ อย่างไรก็ตามซ่งจง เจ้าควรรู้ว่านางนั้นน่าสงสารอย่างมากในช่วงเวลานั้น มันเป็นเพียงนางตอบโต้ที่บิดาของเจ้าได้ทำร้ายนางไว้อย่างโหดเหี้ยม นั่นไม่ใช่จุดกำเนิดของเรื่องนี้งั้นหรือ?”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าครอบครัวของข้าสมควรตายงั้นสินะ?” ซ่งจงตอบกลับอย่างรำคาญ
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไป เจ้าจะเปิดใจอีกครั้งได้หรือไม่? ถ้าหากเจ้ายอมปล่อยนางไป ข้าสัญญาว่าจะคืนชื่อเสียงทั้งหมดให้แก่เจ้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?” ฮัวชิงหยุนเริ่มล่อลวงซ่งจงด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ต้องการอีกแล้ว!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “สถานที่เช่นนั้นมีไว้เพื่อปกป้องคนชั่ว พวกท่านสามารถกระทำสิ่งที่ชั่วช้าร่วมกันได้อย่างหน้าไม่อาย ซึ่งไร้ค่าโดยสมบูรณ์ ข้าจะไม่มีวันกลับไป ในตอนนี้ข้าคิดอย่างเดียวคือการแก้แค้นให้กับครอบครัวเท่านั้น ซึ่งพวกเจ้าเริ่มก่อนและข้าจะทำลายพวกเจ้าทั้งหมดให้พังพินาศ!”
เมื่อกล่าวจบ ซ่งจงยื่นมือออกไปจับที่ใบหน้าของฮัวเฉียนหวู่ มีเสียงดังออกมาหนึ่งครั้งพร้อมกับชุดคลุมที่ถูกฉีกขาดเผยให้เห็นเนื้อหนังขาวราวหิมะด้านใน เนินนมที่ขาวสะอาดเหล่านั้นช่างดูสวยงามอย่างยิ่งและตอนนี้มันปรากฏต่อหน้าบุคคลมากมาย อีกทั้งยังมีรอยสักดอกโบตั๋นเจ็ดสีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสำนักพันปีศาจอีกด้วย
เมื่อเหล่าฝูงชนเห็นเรือนร่างเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจควบคุมตนเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งหมดได้สูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าปอดของตนเองอย่างยากลำบาก แม้แต่เหล่าอาวุโสที่มีชื่อเสียงก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้พร้อมกับอุทานออกมา “ดอกโบตั๋นเจ็ดสีงั้นหรือ? มันคือสัญลักษณ์ของสำนักพันปีศาจไม่ใช่หรือ?”
แน่นอนว่าสัญลักษณ์นี้คือสิ่งที่เหล่าสาวกของสำนักพันปีศาจพึงมี กล่าวได้ว่านางเป็นสาวกของสำนักพันปีศาจโดยสมบูรณ์ อีกทั้งนางยังเลือกที่จะทำมันในที่ลับ ซึ่งเป็นที่ที่หญิงส่ำส่อนเลือกเท่านั้น แต่ทว่าฮัวเฉียนหวู่นั้นเป็นสาวกของสำนักเสวียนเทียนซึ่งแตกต่างจากเหล่าสตรีในสำนักพันปีศาจโดยสิ้นเชิง กล่าวได้ว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดเกินกว่าจะเข้าใจได้!
เมื่อได้เห็นสัญลักษณ์ที่ซ่งจงเปิดเผยให้เห็น ทุกคนได้แต่มองไปที่ฮัวชิงหยุนอย่างสงสัยและต้องการคำตอบ ทุกคนในตอนนี้ล้วนแต่เข้าใจแล้วว่าคำพูดของซ่งจงนั้นคือความจริง เขาคือคนที่ถูกกระทำและถูกใส่ร้ายอย่างโหดเหี้ยม แท้จริงแล้วต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งหมดในครั้งนี้คือหญิงสารเลวฮัวเฉียนหวู่!
เรื่องนี้ทำให้เหล่าสาวกของสำนักเสวียนเทียนและสำนักอื่นๆต่างพากันตกตะลึงที่ตระกูลฮัวสามารถทำสงครามอย่างไม่รู้จบกับเด็กเพียงคนเดียวเพียงเพราะต้องการปกป้องชื่อเสียงของครอบครัวเท่านั้น พวกเขาใส่ร้ายศิษย์ของตนเองอย่างโหดเหี้ยม นี่เป็นเรื่องที่อื้อฉาวที่สุดในรอบพันปีของสำนักเสวียนเทียน ภายในเขตเทือกเขาใหญ่ไม่เคยมีข่าวไหนเลวร้ายเท่าข่าวนี้อีกแล้ว
ตอนนี้ใบหน้าของฮัวอวิ๋นและฮัวชิงหยุนได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว ชื่อเสียงที่พวกเขาทั้งสองสะสมมาเนิ่นนานได้พังจนหมดสิ้นแล้วในตอนนี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับข่าวใหม่ ซ่งจงที่ยังคงสงบนิ่งเมื่อเห็นว่าบุคคลเหล่านี้กำลังตั้งข้อสงสัย รังเกียจและเย้ยหยัน การแสดงออกที่มากมายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซ่งจงสังเกตเห็นทุกอย่างโดยชัดเจน ใบหน้าของฮัวเฉียนหวู่และฮัวชิงหยุนในตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม! สำนักเสวียนเทียนได้สร้างสตรีสำส่อนขึ้นมาแล้วสินะ นางคือเทพแห่งดอกโบตั๋นโดยไม่ต้องเดา นักบวชฮัวอวิ๋นท่านเป็นคนมีชื่อเสียงอย่างมากไม่ใช่หรือ ใบหน้าของท่านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” ซ่งจงชูฮัวเฉียนหวู่ขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ใบหน้าของนักบวชฮัวอวิ๋นกลายเป็นสีเขียว ในตอนนี้คำพูดของเขาทั้งหมดได้จุกอยู่ที่ลำคอ ซึ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้นแล้วในตอนนี้
เมื่อเห็นฮัวชิงหยุนที่กำลังเก็บงำความโกรธไว้ นางพยายามกล่าวออกมาอย่างใจเย็นเพื่อให้ซ่งจงสงบลง “ซ่งจงในตอนนี้เจ้าชนะแล้ว ข้าจะยอมทุกเงื่อนไขที่เจ้าร้องขอ ข้าเพียงต้องการให้เจ้าปล่อยฮัวเฉียนหวู่ไปเท่านั้น!”
“อะไรนะ? ปล่อยนางไปงั้นหรือ?” ซ่งจงพ่นลมหายใจออกมาอย่างรังเกียจพร้อมกล่าวต่อ “เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ?”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น ซ่งจงออกแรงที่บีบลำคอของฮัวเฉียนหวู่เล็กน้อยและยกนางขึ้นสูงอีก อีกมือของเขากำลังควงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าอย่างสบายอารมณ์
ในตอนนี้สำหรับฮัวเฉียนหวู่ นางกำลังหวาดกลัวอย่างมาก ความแข็งแกร่งของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้านั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อนางแล้ว ในตอนนี้สายฟ้าที่ถูกควบคุมไว้อย่างสวยงามได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากแขนของซ่งจงแล้ว
มันเริ่มเผาไหม้ร่างกายของฮัวเฉียนหวู่จากด้านล่างไล่ขึ้นมาด้านบนอย่างช้าๆ
สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ความเร็วของมันราวกับไฟที่เผาป่า ซึ่งการใช้สายฟ้าในครั้งนี้ของซ่งจงนั้นผิดแปลกไปจากเดิม ผู้คนที่เห็นล้วนแต่สงสัย การที่เขาทำเช่นนี้นั้นใช้ปราณจิตวิญญาณในร่างกายที่มาจากความสามารถของเคล็ดวิชาปฐมบทแห่งความโกลาหลผสมผสานกันอย่างลงตัว จึงเกิดเป็นพลังที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้
แม้ว่าซ่งจงจะพยายามปลดปล่อยมันออกไปช้าๆ แต่เมื่อเปลวไฟนี้ปะทะเข้ากับร่างกายของฮัวเฉียนหวู่ ราวกับว่ามันพบกับสิ่งถูกใจและค่อยๆกัดกร่อนร่างกายของนางอย่างรวดเร็ว ซ่งจงพยายามควบคุมให้มันช้าลงเพื่อที่นางจะได้ทรมานไปช้าๆ เหตุนี้ทำให้ฮัวเฉียนหวู่ทุกข์ทรมานอย่างมาก นางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าออกไปที!”
ตลอดชีวิตของฮัวชิงหยุน บุตรสาวเพียงคนเดียวผู้นี้คือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนาง แม้แต่เดือนและดาวก็ไม่สามารถแทนที่บุตรเพียงคนเดียวของนางได้ แล้วนางจะสามารถอดทนมองเห็นสิ่งที่รักเช่นนี้ถูกทำร้ายตรงหน้าได้อย่างไร?
ฮัวชิงหยุนรีบตะโกนออกไปอย่างรวดเร็ว “ซ่งจง ซ่งจงเจ้าจงบอกมาว่าต้องการสิ่งใดเจ้าจึงจะหยุดมือ!” เมื่อนางกล่าวจบ นางพุ่งเข้าไปหาซ่งจงให้หยุด แต่ขณะเดียวกันปรากฏเสียงสีทองขึ้นมาปกป้องร่างกายของซ่งจงอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าในตอนนี้สิ่งที่ฮัวชิงหยุนต้องการจะทำนั้นไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของฮัวชิงหยุน ซ่งจงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขายังคงเผาฮัวเฉียนหวู่ต่อไปอย่างช้าๆโดยไม่สนใจฮัวชิงหยุน เปลวไฟกำลังเผาไหม้เนื้อหนัง ในบางแห่งนั้นเผยให้เห็นถึงกระดูกแล้ว ฮัวเฉียนหวู่ที่เจ็บปวดในตอนนี้ทำได้เพียงร้องตะโกนหามารดาของตนเท่านั้น น่าสงสารที่หัวใจของซ่งจงได้กลายเป็นหินไปแล้วโดยสมบูรณ์ เขาไม่สนใจความรู้สึกของนางและสิ่งที่เขากำลังทำนั้นคือการรักษาหัวใจของตนเอง!
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ในสภาวะที่น่าสงสารมากเพียงใด ฮัวชิงหยุนที่เคยสงบนิ่งในตอนนี้กระวนกระวายใจจนเสียการควบคุม นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไปพร้อมกับตะโกนกับซ่งจงอย่างเร่งรีบ “ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง บิดาของฮัวเฉียนหวู่นั้นเป็นคนของสำนักเสวียนเทียน เขาฉลาดและอยู่ในระดับเฟินเสิน ถ้าหากเจ้าคิดที่สังหารฮัวเฉียนหวู่ แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันให้อภัยและตามไล่ล่าเจ้าอย่างแน่นอน!”
“เหอะ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างรังเกียจ “หุบปากซะ! เจ้ายังมีหน้ามากล่าวถึงบิดาของอีตัวผู้นี้อีกงั้นหรือ? แล้วผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินนั้นเป็นอย่างไรกัน? หัวหน้าครอบครัวของฆาตกรผู้นี้งั้นหรือ? แล้วครอบครัวที่ข้าต้องสูญเสียไปล่ะ? ความแค้นของครอบครัวข้านั้นไม่อาจลบล้างได้อย่างแน่นอน ข้าจะบอกอะไรให้นะ แม้ว่าวันข้างหน้าซ่งจงผู้นี้จะต้องหลั่งน้ำตาหรือถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แม้แต่ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ความแค้นนี้จะไม่มีวันถูกลบไป ฮัวเฉียนหวู่จะต้องพังพินาศในมือข้าเท่านั้น!”
เมื่อซ่งจงตะโกนออกมาเช่นนี้ เปลวไฟบนมือของเขาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ฮัวเฉียนหวู่กรีดร้องออกมาทันทีอย่างเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้มของนาง ร่างกายของนางค่อยๆกลายเป็นกองขี้เถ้าไปอย่างช้าๆ ในตอนนี้นางได้กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายและเหลือเพียงกองขี้เถ้าทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองได้ตายตกไปอย่างทรมานเช่นไร ฮัวชิงหยุนที่เป็นแม่นั้นตกอยู่ในสภาวะที่โง่เขลา นางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารพร้อมกับกระอักเลือดสีดำออกมาก้อนใหญ่พร้อมกับล้มลงไปที่พื้นอย่างน่าสังเวช นักบวชฮัวอวิ๋นที่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นรีบคว้าตัวนางไว้อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรีบอัดฉีดปราณจิตวิญญาณเข้าไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของนาง เขาตะโกนเรียกพี่สาวของตนเองอย่างตื่นตระหนก “ศิษย์พี่หญิง พี่ชิงหยุน!”
ฮัวชิงหยุนลืมตาขึ้นมา นางมึนงงที่เห็นใบหน้าของฮัวอวิ๋นราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ก่อนที่นางจะมองไปที่ฝูงชนรอบข้างราวกับไม่เคยรู้จักผู้ใดและมาทำอะไรกันตรงนี้
เมื่อเห็นว่านางอยู่ในสภาวะเช่นนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าพี่สาวของตนนั้นเสียใจอย่างรุนแรง นางได้สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้วในตอนนี้ กล่าวได้ว่านางเป็นคนบ้าก็ว่าได้! การที่ต้องอดทนยืนมองบุตรสาวที่รักของตนเองถูกเผาต่อหน้าต่อตา แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นแม่จะรับได้ไหว ฮัวอวิ๋นนั้นผูกพันกับฮัวชิงหยุนอย่างมากและในตอนนี้เขาก็ไม่อาจอดทนได้ที่ต้องมองพี่สาวอันเป็นที่รักกลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว เขาหันไปมองซ่งจงอย่างโกรธแค้นพร้อมกัดฟันและกล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น “ซ่งจง ข้าฮัวอวิ๋น จะขอจดจำเจ้าตลอดไป ข้ากับเจ้าจะไม่มีวันอยู่ร่วมโลกกันได้!” จากนั้นเขาอุ้มฮัวชิงหยุนขึ้นและหยิบดาบมังกรอัคคีออกมาพร้อมสังหารตนเองพร้อมพี่สาวอย่างเลือดเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาละทิ้งทุกสิ่งอย่างไว้ที่นี่ แม้กระทั่งสำนักหรือสาวกของตนเองที่ร่วมลงเรือลำเดียวกันมาก็ไม่สามารถยึดเหนี่ยวหัวใจของเขาได้อีกต่อไป
การกระทำของนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นส่งผลต่อผู้ฝึกตนคนอื่นอย่างชัดเจน เวลานี้เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายอย่างรวดเร็ว ทุกคนมองเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะได้ ทั้งหมดไม่รอช้า พวกเขารีบเร่งกลับเรือของตนเองและประจำตำแหน่งทันทีเพื่อหนีกลับไปยังเขตของเทือกเขาใหญ่
จะจากไปเช่นนี้งั้นหรือ? หนีไปอย่างง่ายดายเหรอ? ซ่งจงที่ถูกไล่ล่ามาไกลกว่าหมื่นลี้โดยไอ้บ้าพวกนี้ อีกทั้งเรือมังกรทองคำยังเกือบถูกทำลายจนย่อยยับ การสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้จะทำให้ซ่งจงยอมปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายดายได้เช่นไร?
ซ่งจงออกคำสั่งไล่ตามทันที เหล่าอสูรกายนับหมื่นตอบรับพร้อมพุ่งเข้าหาเรือทุกลำอย่างรวดเร็ว
เหล่าอสูรกายเข้าขัดขวางเส้นทางการบินอย่างเร่งด่วน แม้ว่าความเร็วของเรือเหล่านั้นจะไม่ได้ช้านัก แต่เมื่อถูกจับกุมไว้ได้ ในเวลานี้พวกเขาจะต้องตกอยู่ในสภาวะพ่ายแพ้ ซ่งจงไม่จำเป็นต้องทำลายเรือพวกนั้นด้วยพลังของเหล่าอสูรกายอีกแล้ว แต่เขามีวิธีที่ดีกว่านั้นนั้นก็คือใช้พลังของหวงหลงสายฟ้าสีม่วงเพื่อจัดการกับเรือเหล่านี้ จากนั้นเขาสั่งให้เหล่าอสูรการที่ต่อสู้ระยะประชิดเข้าควบคุมเรือและสังหารผู้ฝึกตนมนุษย์ให้หมด
ในตอนต้น ผู้ฝึกตนมนุษย์นั้นยังคงไม่ยอมแพ้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะนำเรือกลับไปด้วย แต่ในตอนนี้อุปสรรคต่างๆนั้นมากเกินกว่าจะควบคุมได้ ทั้งหมดต้องละทิ้งเรือและหลบหนีเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง สุดท้ายแล้วผู้ฝึกตนที่พอจะเหลือสมองบ้างในหัว พวกเขาสละเรืออย่างรวดเร็วและบินหนีอย่างโกลาหล ความเร็วของเรือยักษ์คือสามพัน แต่ความเร็วของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นมากกว่านั้น หลังจากที่บุคคลเหล่านี้ละทิ้งเรือยักษ์ แน่นอนว่าพวกเขาหนีได้อย่างรวดเร็ว การหนีออกจากทะเลตะวันออกช่างง่ายดายนักสำหรับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน
แต่อย่างไรก็ตามยังมีเหล่าสาวกอีกหลายคนที่ไม่ยอมละทิ้งเรือยักษ์และเวลาของพวกเขาไม่มากพอให้หนี สุดท้ายแล้วถูกล้อมรอบด้วยเหล่าอสูรกายมากมายจนตายตกไปอย่างน่าสมเพช น่าเสียดายที่ในเหล่าคนโง่เขลาเช่นนี้มีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินอยู่ด้วย!
ช่วงเวลาที่น่าสงสารเช่นนี้ แม้ว่าเหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจะแข็งแกร่งอย่างมากแต่ก็ไม่อาจต้านทานเหล่าอสูรกายที่ดุร้ายนับล้านตนได้ พลังเฮือกสุดท้ายของพวกเขาทำได้เพียงแค่กรีดร้องออกมาครั้งเดียวก่อนที่จะตายตกไป
ในตอนนี้ซ่งจงเป็นผู้นำกองทัพอสูรกายที่ดุร้ายไล่ล่าเหล่าผู้ฝึกตนมนุษย์มาไกลกว่าหมื่นลี้ เหล่ากองทัพของอสูรกายที่ได้รับข่าวต่างพากันมาเป็นกำลังเสริมอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ซ่งจงเป็นหนี้พวกเขาอย่างมาก เขาให้รางวัลเหล่าอสูรกายเป็นเรือยักษ์ที่ยึดมาได้ น่าเสียดายที่มันจมลงใต้ทะเลไปหนึ่งลำจนไม่สามารถใช้งานต่อไปได้
เหลยซานเอ๋อเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในครั้งนี้ นางได้รับคำชมจากซ่งจงเป็นการส่วนตัว ท้ายที่สุดผลของการกระทำของนางคือนางได้รับเรือของนักบวชฮัวอวิ๋นที่นางหมายปองไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนหน่วยพิทักษ์เขตแดนคนอื่นๆก็ได้แบ่งสมบัติกันอย่างลงตัวและร่าเริงกันอย่างมาก สำหรับซ่งจงนั้นเพียงเรือมังกรทองคำนั้นเพียงพอสำหรับเขาแล้ว เขาไม่ต้องการสิ่งใดจากสงครามครั้งนี้ เขายินดีที่จะรับซื้อสมบัติเหล่านี้จากเหล่าอสูรกายโดยใช้หินจิตวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนเช่นเดิม การแบ่งสมบัตินั้นซ่งจงกระทำมันอย่างยุติธรรมที่สุด
ความจริงแล้วซ่งจงได้รับรางวัลที่ยอดเยี่ยมแล้วจากการต่อสู้ในครั้งนี้ ซากศพของเหล่าอสูรกายมากมายจะสามารถเปลี่ยนเป็นปราณจิตวิญญาณได้ในมิติลึกลับของเขา วิญญาณของพวกมันที่แสนจะกล้าหาญทำให้เขาได้รับชัยชนะในวันนี้
หลังจากที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างยาวนาน งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ซ่งจงมุ่งหน้ากลับไปยังวังวารีบริสุทธิ์ทันที
ระหว่างทางซ่งจงได้พบกับเอ๋าเทียน เขาได้รับข่าวว่าซ่งจงถูกไล่ล่าจึงรีบเร่งเพื่อมาเป็นกำลังเสริม แต่น่าเสียดายที่หนทางยาวไกลเกินไป จึงทำให้เขามาไม่ทัน
อย่างไรก็ตามเขาได้ยินข่าวว่าซ่งจงแข็งแกร่งอย่างมากเมื่ออยู่ในการต่อสู้ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหลายคนไม่อาจล้มเขาได้ ชายชราผู้นี้ได้แต่หัวเราะออกมาพร้อมกับแอบยินดีภายในใจ ในตอนแรกเขาคิดว่าซ่งจงนั้นเป็นมนุษย์ แต่เมื่อที่ได้ยินข่าวของเขาในคราวแรกเขาถูกไล่ล่าโดยมนุษย์เช่นกัน และในตอนนี้เขาก็ยังคงถูกไล่ล่าเช่นเดิม ดังนั้นเอ๋าเทียนจึงสะบัดความคิดที่ว่าซ่งจงเป็นมนุษย์ออกไป เพราะการถูกไล่ล่าเช่นนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ซ่งจงจะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์?
ด้วยอารมณ์ที่ยังมึนงง เฒ่าเอ๋าเทียนจึงสอบถามเรื่องนี้กับซ่งจง หลังจากที่ซ่งจงได้ยิน แน่นอนว่าเขาค่อนข้างที่จะกังวลใจ เขาเกรงว่าสถานะมนุษย์ของเขาจะถูกเปิดเผยออกมา เนื่องจากว่าเขาสามารถฝึกฝนได้อย่างไร้ขีดจำกัด อีกทั้งในตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปยังเทือกเขาที่เขาเติบโตมาได้อีกแล้ว ถ้าหากเขตแดนของเหล่าอสูรกายขับไล่เขาอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาจะต้องกลายเป็นเด็กเหลือขออย่างแท้จริง
เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ซ่งจงได้หว่านล้อมเอ๋าเทียนด้วยการโกหกอีกครั้ง เขาเล่าเกี่ยวกับตนเองว่าเกิดมาในโลกมนุษย์ เขาต้องใช้ร่างของมนุษย์เพื่ออาศัยอยู่ที่นั่น แต่หลังจากที่ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงเป็นอสูรกาย ปัญหาต่างๆได้ไล่ล่าเขาทันที แม้แต่ครอบครัวของตนยังต้องประสบกับภัยพิบัติจากมนุษย์ เขาเพียงต้องการที่จะแก้แค้นให้กับครอบครัวเท่านั้น จึงได้สร้างปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้น
แท้จริงแล้วสิ่งที่ซ่งจงกล่าวมีทั้งจริงและเท็จ แต่เขากล่าวออกไปอย่างราบรื่น ถ้าหากพวกเขาขึ้นไปสอบถามบนพื้นดิน แน่นอนว่าความลับจะต้องแตกกระจาย!
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คืออสูรกายและมนุษย์เป็นศัตรูกันอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเหล่าอสูรกายจะไม่ขึ้นบกเพื่อไปสอบถามข่าวเหล่านี้จากมนุษย์ แม้ว่าซ่งจงจะรู้ว่าไม่อาจปิดบังได้ตลอดไป แต่แน่นอนว่ามันจะไม่ถูกเปิดเผยในเวลาอันสั้น อย่างน้อยอาวุโสเอ๋าก็จะเชื่อมั่นในคำโกหกเหล่านี้ไปอีกนาน
เพราะว่าสายตาของซ่งจงนั้นดูน่าเชื่อถือ อีกทั้งเขายังดูไม่ใช่คนที่เลวร้าย โดยเฉพาะบุคคลที่เกิดมาพบกับความโชคร้ายเช่นนี้ไม่น่าที่จะหลอกลวงผู้อื่นได้ อีกทั้งสถานะฝ่าบาทน้อยของเขายังได้รับการรับรองจากจักรพรรดินีอีกด้วย ซ่งจงจึงกลายเป็นบุคคลที่เขาไม่ควรตั้งคำถามด้วยโดยสมบูรณ์
ดังนั้นเฒ่าเอ๋าเทียนจึงเชื่อคำอธิบายเหล่านี้อย่างสนิทใจ หลังจากที่การต่อสู้ได้จบลง เฒ่าเอ๋าเทียนได้พาซ่งจงกลับมายังสถานที่ของเขาซึ่งตอนนี้คือวังแห่งฝ่าบาท ซึ่งเดิมทีคือวังวารีบริสุทธิ์
หลังจากที่กลับมาแล้ว ซ่งจงเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดทันที แน่นอนว่าเอ๋าเทียนไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด พร้อมกับเร่งรีบจัดการสถานที่ให้กับเขาโดยทันที
หลังจากเริ่มต้นเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดอีกครั้ง ซ่งจงรีบเข้าสู่มิติลึกลับทันทีพร้อมตรวจสอบความเสียหายของเรือมังกรทองด้วยความกังวลใจ
หานปิงเอ๋อที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เห็นเขากลับมารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางรีบถามอย่างตื่นเต้น “พี่ชายซ่ง การต่อสู้ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านบาดเจ็บบ้างหรือไม่ อีกทั้งเรือมังกรทองคำดูท่าว่าจะเสียหายหนักมากงั้นหรือ?”
“อ่า เรื่องมันยาว!” ซ่งจงกล่าวกับหานปิงเอ๋อทันทีเกี่ยวกับการต่อสู้ในครั้งนี้ของเขา
หานปิงเอ๋อฟังอย่างตั้งใจจนจบ จากนั้นนางรีบกล่าวขึ้นมา “ช่างน่าตื่นเต้นเหลือเกิน แต่ในอนาคตหวังว่าท่านจะไม่ออกไปทำตัวเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีกนะ!”
“อ่า แท้จริงแล้วเป็นข้าเองที่ไม่รู้ว่าพวกเขาวางแผนไว้แล้ว พวกเขาวางข้าลงในกับดักอย่างง่ายดาย! เส้นทางการหลบหนีของข้านั้นคับแคบอย่างมาก ช่างเป็นโชคดีของข้าจริงๆที่สามารถมีชีวิตกลับมาได้!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างหดหู่ จากนั้นเขากล่าวต่อ “แต่ในเวลานี้แม้ว่าข้าจะพ่ายแพ้ แต่มันจะอยู่ในความทรงจำของทุกคนไปอีกนาน รอเพียงเวลาเท่านั้น ถ้าจะกลับไปชำระทั้งหมดเมื่อข้าแข็งแกร่งมากกว่านี้”
„?” After Han Yufeng hear, immediately calls out in alarm said: „Fellow apprentice, your Golden Dragon Boat did not have. How also to tidy up them?”
“?” หลังจากที่หานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางอุทานออกมาทันที “พี่ชายซ่งท่านไม่มีเรือทองคำอีกแล้ว ท่านจะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?”
“ใครบอกว่าไม่มี?” ซ่งจงกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง “แม้ว่าเรือมังกรทองคำจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะซ่อมแซมมันไม่ได้ เมื่อจัดการเรียบร้อยข้าจะออกไปสังหารพวกนั้นอีกครั้ง ไอ้พวกบัดซบมันกล้าที่จะวางแผนกับข้า ถ้าหากข้าไม่กลับไปล้างแค้นก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าซ่งจงอีก!”
“มันสามารถซ่อมแซมได้งั้นหรือ?” เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางเป็นประกายพร้อมกับรีบถามทันที “เป็นจริงหรือไม่ที่เรือมังกรทองคำนั้นถูกสร้างมาจากไม้มังกรทองคำ ซึ่งว่ากันว่ามันเป็นสมบัติที่หาได้ยากยิ่ง ท่านมีพวกมันงั้นหรือ?”
“เจ้านั้นไม่รู้อะไรจริงๆ!” ซ่งจงกล่าวพร้อมโชว์ฟันทุกซี่ “แท้จริงในห้องเก็บของบนเรือมีไม้มังกรทองคำจำนวนมากซึ่งมันมากพอที่จะซ่อมแซมได้!”
“จริงหรือ?” หานหลิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นตื่นเต้นอย่างมาก “ยอดเยี่ยมเลยเช่นนั้น!”
“แน่นอน ข้าเคยหลอกลวงเจ้างั้นหรือ!” ซ่งจงหันไปกล่าวกับแม่มดเทวะอย่างสบายอารมณ์ “เรือมังกรทองคำต้องใช้เวลาซ่อมนานเท่าไหร่?”
“นายท่านต้องการซ่อมแซมมันให้อยู่ในสภาพใด?” แม่มดเทวะกล่าวอย่างรวดเร็ว
“สภาพไหน?” ซ่งจงที่ได้ยินเช่นนั้นขมวดคิ้วทันทีพร้อมถามต่อ “ถ้าไม่ใช่รูปลักษณ์เดิมของมัน จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้งั้นหรือ?”