ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

สารบัญ ราชันเทพเก้าสุริยัน

••••••••••••••••••••

**บทที่****289:**การตอบโต้

แท้จริงลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองของระฆังทองแดงนั้นไม่ได้คงอยู่ตลอดไป อีกทั้งมันยังใช้ปราณต้นกำเนิดของซ่งจงอย่างมหาศาล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจำนวนมากเช่นนี้ ในทุกการโจมตีเขาสูญเสียปราณจิตวิญญาณจำนวนมาก มันควรจะหมดลงได้แล้วในตอนนี้ แต่บวกกับความสามารถอันน่าทึ่งของปฐมบทแห่งความโกลาหลปราณจิตวิญญาณของเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่าคนอื่นถึงสิบเท่า เพียงแค่ปราณจิตวิญญาณของเขาเพียงครึ่งเดียวก็สามารถแยกภูเขาใหญ่ทั้งลูกให้ออกจากกันได้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินดั่งเช่นฮัวชิงหยุนไม่อาจเปรียบเทียบอะไรได้มากนักเพราะนางนั้นใช้กำลังทั้งหมดที่มีปลดปล่อยปราณดาบนับพันออกมา อีกทั้งยังมีเวทมนตร์อื่นๆจากสมบัติวิเศษอีกมากจึงทำให้การโจมตีของนางน่ากลัวเกินกว่าจะคาดเดาได้

เหตุผลที่ซ่งจงสามารถป้องกันการโจมตีเหล่านั้นได้มีเพียงการใช้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมากกับระฆังทองแดงเท่านั้น แม้ในตอนนี้เขาครอบครองมันมานานหลายปีแต่ก็ไม่อาจค้นพบความลึกลับของมันได้ทั้งหมด ในทุกครั้งที่เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะได้เข้าใจมันลึกลงไปอีกหนึ่งขั้น แต่เขาก็ต้องผิดหวังในทุกครั้งที่ได้ค้นพบ ยิ่งเขาไขปริศนาได้มากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้เขาสงสัยมากขึ้นอีกเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นในครั้งแรกซ่งจงคิดว่ามันเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีด้วยคลื่นเสียง แต่หลังจากที่เขาเข้าสู่ระดับจินตัน ความสามารถในการป้องกันของมันได้ปรากฏขึ้น นอกจากนั้นความสามารถนี้ยังแตกต่างจากสมบัติอื่น ซึ่งสมบัติอื่นนั้นใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันจากตัวของมันเอง แต่ระฆังทองแดงนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แท้จริงแล้วมันดูดซับพลังโจมตีของศัตรูเพียงบางส่วนเพื่อเปลี่ยนมาเป็นพลังของตนเอง นี่คือเหตุผลที่ซ่งจงสามารถยืนเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหลายคนได้ในตอนนี้

แน่นอนกว่าการป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับสูงเช่นนี้กินพลังของเขาไปมากกว่าครึ่ง ถ้าหากเป็นคนอื่น เขาจะพ่ายแพ้หลังจากรับการโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ซ่งจงนั้นไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เพราะเขามีน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าอยู่มากมายจนกระทั่งสามารถใช้มันแทนน้ำสำหรับชงชาดื่มเล่นได้ เช่นนี้ทำให้ร่างกายของเขามีปราณจิตวิญญาณจำนวนมากและความแข็งแกร่งของร่างกายเขานั้นมากกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกันถึงสิบเท่า นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงมีปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่นมากกว่าผู้อื่น อีกทั้งในการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นนี้เขาจะไม่ขี้เหนียว การดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้านั้นสามารถทำได้อย่างอิสระ ฮัวชิงหยุนและผู้ฝึกตนคนอื่นล้วนแต่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้อย่างดีและสามารถบอกได้ว่าซ่งจงนั้นดื่มสิ่งใดเข้าไป ภายในมือของซ่งจงนั้นเขาทำเหมือนว่าน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้านั้นไร้ค่าอย่างยิ่ง ทุกย่างก้าวที่เขาขยับตัวล้วนแต่ดื่มมันตลอดเวลา เขาทำมันอย่างเป็นธรรมชาติจนผู้ที่มองเห็นรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างยิ่ง แต่ในขณะที่ซ่งจงไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย ผู้ที่มองอยู่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป พวกเขาตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด “เสียของที่สุด ใครกันที่จะสามารถดื่มน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าได้เช่นนี้? นี่คือสมบัติในการปรับแต่งยาชั้นเลิศ เขาทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?!”

“บุรุษลัทธิเต๋าผู้นี้มีมันอยู่มากมายเกินกว่าที่พวกท่านจะเข้าใจได้ แล้วพวกท่านจะทำอะไรได้ถ้าหากข้าจะทำเช่นนี้?” เมื่อซ่งจงกล่าวจบ ซ่งจงขว้างขวดน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่กว่าครึ่งลงทะเลทันที

การยั่วยุเช่นนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินโกรธแค้นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขาปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของพวกเขานั้นดูไร้กังวล แต่ภายในจิตใจลึกๆเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ถ้าหากเด็กเหลือขอผู้นี้สามารถโยนขวดน้ำลงทะเลได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ นั่นแปลว่าเขาครอบครองมันอยู่มากมายจริงๆ แล้วมันเป็นจำนวนเท่าไหร่กัน? ด้วยน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้าที่คอยเพิ่มปราณจิตวิญญาณให้กับเขา แน่นอนว่าเมื่อผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเริ่มหมดแรง แต่ซ่งจงจะยังกระปรี้กระเปร่าเช่นเดิม! แต่สถานการณ์ได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะหันหลังกลับอีกต่อไป ทั้งหมดทำได้เพียงกัดฟันและเพิ่มพลังการโจมตีต่อไป สูงขึ้นไปเหนือท้องฟ้ามีการต่อสู้ที่กำลังตัดก้อนเมฆอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏปราณดาบมากมายและสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เป็นระยะ ในรัศมีสามร้อยลี้ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นไปยุ่งในที่แห่งนั้น

แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจำนวนมาก ซ่งจงยังอยู่ในท่าทีสบายๆและตอบโต้ด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างยอดเยี่ยม

การต่อสู้ผ่านไปแล้วกว่าหนึ่งชั่วโมง ซ่งจงยังคงสดใสด้วยพลังของน้ำแห่งองค์ประกอบทั้งห้า ในตอนนี้เขาเริ่มคุ้นเคยกับพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แล้ว ความดุร้ายของเขาเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ต่อสู้ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทุกคนในตอนนี้ล้วนแต่ได้รับการโจมตีที่รุนแรงจากซ่งจง ในตอนนี้พวกเขาเริ่มอ่อนล้าและเริ่มเสียเปรียบ แน่นอนว่าเรื่องมันช่างน่าอายเมื่อเหล่าอาวุโสรวมตัวกันเพื่อสังหารมือใหม่เพียงคนเดียวและในตอนนี้พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้ ถ้าหากพวกเขาต้องพ่ายแพ้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเนิ่นนานจะถูกลบหายไปและไม่มีใบหน้ากลับไปเผชิญกับผู้ใดอีก! ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่รู้ตัวว่าความอับอายที่พวกเขาจะได้รับนั้นคืออะไร ทั้งหมดพยายามโจมตีให้รุนแรงมากขึ้นเพื่อที่จะได้กลับไปอย่างไร้ร่องรอย!

ในตอนนี้การต่อสู้ของเหล่าอสูรกายที่ดุร้ายกับเรือยักษ์ทั้งหมดได้เปลี่ยนไปเช่นกัน

เมื่อฮัวชิงหยุนบินออกจากเรือเพื่อไปต่อสู้กับซ่งจง เหล่าอสูรกายที่บินได้นำกำลังมาเสริมจำนวนมาก ในบรรดากำลังเสริมนั้นมีสองกลุ่มที่เพิ่มเข้ามา หนึ่งเป็นหงส์แดงและอีกหนึ่งเป็นนกแห่งท้องฟ้า แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่พวกมันนั้นมีจำนวนมาก เพื่อปกป้องฝ่าบาทน้อยแห่งทะเลตะวันออก ทั้งสองได้เรียกลูกหลานออกมาทั้งหมด จำนวนของพวกมันมีมากถึงครึ่งแสน เมื่อพวกมันสองกลุ่มรวมกันนั้นเรียกได้ว่าหนึ่งล้านเป็นอย่างน้อย! ในตอนนี้เหล่าอสูรกายได้มีกำลังเสริมแล้ว ในขณะที่ผู้ฝึกตนมนุษย์เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากถูกจมเรือไปแล้วหนึ่งลำและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งหมดพุ่งการโจมตีไปที่ซ่งจง แม้ว่าเหล่าอสูรกายจะสูญเสียไปจำนวนมากแต่โชคดีที่ผู้ฝึกตนมนุษย์นั้นมีจำนวนน้อยกว่า แม้ว่าเรือบินของพวกเขาจะแข็งแกร่งและมีพลังป้องกันสูง แต่โชคลาภไม่ได้คงอยู่ตลอดไป

ขณะที่การต่อสู้บนท้องฟ้าใกล้มาถึงจุดจบ การต่อสู้บนเรือมังกรทองคำเริ่มเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นอกเหนือจากกลุ่มอสูรบินได้ที่มาเพิ่มสองกลุ่ม เหล่าอสูรกายใต้น้ำก็มาเสริมกำลังด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกมันจะอยู่ในสายพันธ์ที่ต่างกันแต่ทว่าความกล้าหาญในการต่อสู้นั้นยอดเยี่ยม พวกมันเชี่ยวชาญเวทมนตร์ประเภทวารีและสามารถปกปิดตนเองด้วยความโปร่งใสอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นพวกมันพุ่งเข้าหาศัตรูและสร้างความยุ่งเหยิงอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นปลดปล่อยพิษที่อยู่ในร่างกายทำให้ศัตรูเกิดความมึนงงและเริ่มกระวนกระวาย ก่อนที่มนุษย์จะตั้งรับได้ทัน พิษก็เข้าสู่ร่างกายของพวกเขาเสียแล้ว ในที่สุดทั้งหมดก็กลายเป็นหุ่นเชิ่ดของเหล่าอสูรอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ต้องพบเจอกับความยุ่งยากเมื่อพบเจอกับพวกมัน นอกเหนือจากการซุ่มโจมตีจากระยะใกล้ ยังมีการโจมตีระยะไกลที่สร้างความรำคาญใจอีกไม่รู้จบ ซึ่งก็คือเหล่ากุ้งยักษ์ที่ใช้กระดูกในปากโจมตีระยะไกล ซึ่งทั้งปลาหมึกและกุ้งต่างพาร่วมมือกันอย่างสามัคคี นั่นทำให้ผู้ฝึกตนมนุษย์ยุ่งเหยิงที่สุดในตอนนี้

เข็มกระดูกที่ใช้โจมตีนั้นยาวเพียงหนึ่งฟุตและพวกมันสามารถยิงออกมาได้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ทว่ามันแหลมคมและเต็มไปด้วยพิษร้าย นั่นเป็นความสามารถเพียงอย่างเดียวของกุ้งยักษ์และในทุกการโจมตีคือพลังที่แท้จริงของพวกมัน ด้วยความสามารถของเวทมนตร์ประเภทวารีทำให้พวกมันสามารถยิงทะลุพื้นไปได้มากกว่าสองถึงสามพันฟุต ซึ่งเป็นพลังที่น่ากลัวเช่นกัน

แน่นอนว่ากุ้งยักษ์นี้เป็นศัตรูอันดับหนึ่งและปราณจิตวิญญาณของพวกเขามีจำกัด การป้องกันคือสิ่งที่ผู้ฝึกตนมนุษย์นั้นทำได้ในตอนนี้ และในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินั้นสามารถรับมือกับเข็มกระดูกนับร้อยได้อย่างง่ายดาย! แต่ในตอนนี้กุ้งยักษ์นับล้านตัวได้อยู่ที่นี่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกุ้งยักษ์มากมายเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ยังต้องปวดหัวให้กับพวกมัน!

ดังนั้นหลังจากที่ปลาหมึกยักษ์และกุ้งยักษ์ได้เข้าร่วมการต่อสู้ ผู้ฝึกตนมนุษย์ถูกกดดันอย่างมหาศาล ภายใต้การออกคำสั่งของแม่มดเทวะทั้งเก้า การโจมตีของกุ้งยักษ์และปลาหมึกยักษ์ล้วนแสดงผลได้อย่างยอดเยี่ยม มีผู้ฝึกตนจำนวนมากล้มตายมากมาย หลังจากผ่านการต่อสู้แย่งชิงสมบัติภายในเรือมังกรทองคำ เหล่าผู้ฝึกตนนั้นอ่อนล้าอย่างมากแล้วในตอนนี้ พวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้กับอสูรกายจำนวนมากมาเป็นเวลานาน ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการต่อสู้ ทั้งหมดสูญเสียกำลังใจและพละกำลังหลังจากที่เหล่าอสูรกายมีกำลังเสริม ด้วยเหตุนี้พันธมิตรเพียงในนามของทั้งหมดได้ยุติลงทันที!

ทั้งหมดล้มเลิกการค้นหาซ่งจงทันทีพร้อมทั้งหนีออกจากเรือมังกรทองคำอย่างรวดเร็ว เรือมังกรทองคำนั้นมีขนาดใหญ่มากแต่หนทางในตอนนี้ช่างคับแคบเหลือเกิน ทั้งหมดแตกตื่นจนเกิดความโกลาหลและยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง อีกทั้งพวกเขายังตกใจเมื่อรู้ตัวว่าเหลือคนที่รอดชีวิตเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น กล่าวอีกอย่างก็คือกำลังพลที่ถูกส่งเข้ามาภายในเรือมังกรทองคำได้ตายตกไปมากกว่าครึ่ง แต่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดค้นพบร่องรอยของซ่งจงแม้แต่น้อย แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้อีกแล้ว ทั้งหมดหลบหนีจากเรือมังกรทองคำทันทีเมื่อรู้ว่าชีวิตของตนเองไม่ปลอดภัย เหล่าอสูรกายที่บินอยู่บนท้องฟ้ากำลังหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำลายเรืออีกลำได้ แต่สวรรค์กลับเข้าข้างพวกมันเมื่อเหลือบไปเห็นเหล่าผู้ฝึกตนที่กำลังวิ่งออกจากเรือมังกรทองอย่างบ้าระห่ำ นี่คือสวรรค์กำลังส่งอาหารเย็นมาให้พวกมันงั้นหรือ?

ในเวลานี้ไร้คำสั่งของเหลยซานเอ๋อ เหล่าอสูรกายที่บินอยู่ส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนที่ไร้การป้องกันเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับเหล่าอสูรกายทางบกที่กำลังพุ่งเข้าหาเหล่าผู้ฝึกตนอย่างเมามันส์

ผู้ฝึกตนที่น่าสงสารเหล่านี้พุ่งเข้าหารังของพยัคฆ์หลังจากกระโดดออกมาจากรังของราชสีห์ หลายคนไม่อาจตั้งตัวได้ทันเมื่อต้องถูกเหล่าสัตว์ร้ายพุ่งเข้าใส่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินคอยดูแล พวกเขาทั้งหมดอาจจะไม่มีชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว

ในตอนนี้เหล่าสาวกที่อยู่บนเรือเริ่มตอบโต้เมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกพ้องถูกรังแกอย่างไร ทั้งหมดรีบเข้าไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ช่วงเวลาที่ทั้งหมดเคลื่อนย้ายออกจากตำแหน่ง การป้องกันทั้งหมดแตกหักทันที ตอนนี้เรือยักษ์ทุกลำต้องพึ่งพาตนเองและไม่สามารถใช้พลังของการป้องกันร่วมกันได้อีกต่อไป เหลยซานเอ๋อที่ฉลาดเป็นกรดจะมองไม่เห็นโอกาสที่สวรรค์ส่งมาได้อย่างไรกัน? นางเรียกให้เหล่าลูกสมุนของตนเองมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและพุ่งการโจมตีไปที่เรือมังกรอัคคีของนักบวชฮัวอวิ๋น เหตุผลที่นางเลือกมันเป็นเพราะนางชื่นชอบมันเป็นการส่วนตัวเท่านั้นและนางจะเก็บมันไว้เป็นสมบัติสงครามที่ควรจะได้!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายบินได้มากมาย ด้วยพลังของเรือมังกรอัคคีไม่สามารถป้องกันได้เพียงลำพัง ในตอนนี้เรือบินลำอื่นได้บินเข้าไปช่วยเหลือพวกพ้องของตนเองและสามารถช่วยเหลือสำนักเสวียนเทียนและหอเฉวียนจี้ได้เล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจต้านทานเหล่าอสูรกายจำนวนมากได้นานนัก ที่ทำได้ในตอนนี้เป็นเพียงการถ่วงเวลาไว้เท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เรือมังกรอัคคีซึ่งไร้นักบวชฮัวอวิ๋นคอยสั่งการ ลำแสงป้องกันของมันได้พังทลายลงไปแล้ว จึงเป็นเหตุให้เหล่าอสูรกายนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

ในขณะนี้ไม่มีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินแม้แต่คนเดียวอยู่บนเรือ คุณชายใหญ่และคุณชายรองนั้นอยู่บนเรืออีกสองลำและพวกเขาเหลือผู้ฝึกตนระดับจินตันเพียงโหลเดียวเท่านั้นพร้อมด้วยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอีกร้อยกว่าคน

นับว่าเป็นฝันร้ายอย่างมากที่ต้องต่อสู้กับอสูรกายจำนวนหลายหมื่นพันโดยปราศจากการป้องกันของเรือยักษ์ จากการโจมตีเพียงครั้งเดียวผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั้งหมดถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้น มีเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันที่รวมตัวกันเพื่อต่อสู้ในตอนนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในช่วงสุดท้ายของการต่อสู้และไม่อาจยืนหยัดได้นานกว่านี้อีกแล้ว

แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันขึ้นโดยผู้ฝึกตนระดับจินตันที่เหลืออยู่ มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “ท่านแม่! ช่วยข้าด้วย!” บุคคลที่เปล่งเสียงออกมาคือผู้ฝึกตนระดับจินตันที่อยู่ในชุดคลุมสีแดง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางคือบุตรสาวของฮัวอวิ๋นก็คือฮัวเฉียนหวู่ ในช่วงเวลาแห่งความตาย นางเอ่ยปากเรียกบุคคลผู้นั้นอย่างลืมตัว ซึ่งแม่ของนางก็คือฮัวชิงหยุน!

ด้วยพลังของผู้ฝึกตนระดับจินตัน เสียงกรีดร้องเช่นนี้ของนางทำให้ผู้คนที่อยู่ในรัศมีกว่าพันลี้ได้ยินอย่างชัดเจน

ซ่งจงและผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทุกคนล้วนแต่แข็งแกร่งและแน่นอนว่าพวกเขาได้ยินมัน ทุกคนหันไปยังทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว เมื่อได้เห็นต้นตอของเสียงใบหน้าของผู้ฝึกตนทุกคนซีดขาวด้วยความแปลกใจ

แน่นอนว่าบุคคลที่ไม่รู้เรื่องย่อมเกิดความสงสัย แม่ของฮัวเฉียนหวู่นั้นตายตกไปแล้วไม่ใช่หรือ? นางเหลือเพียงบิดาเพียงคนเดียวซึ่งก็คือฮัวอวิ๋นที่อยู่ตรงนี้ในวันนี้! เหตุใดนางจึงเรียกหามารดาของตนเอง? อ่า อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่ว่าฮัวชิงหยุนเป็นแม่ของนางนั้นคือเรื่องจริง? เมื่อคิดเช่นนั้น ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฮัวชิงหยุนอย่างรวดเร็วอย่างต้องการคำตอบด้วยท่าทีที่เย้ยหยัน

เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเสียงกรีดร้องเช่นนั้น เขาตบขาตนเองอย่างโกรธจัดพร้อมสาปแช่งในใจ เหตุใดกันฮัวเฉียนหวู่จึงได้โง่เขลาขนาดนี้นะ?

ฮัวชิงหยุนที่เป็นแม่แท้ๆของนางนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น เมื่อนางเห็นลูกสาวตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย นางละทิ้งซ่งจงและพุ่งไปช่วยเหลือนางทันที สำหรับซ่งจงเมื่อเห็นฮัวเฉียนหวู่ ดวงตาของเขาแดงฉานขึ้นมา จิตสังหารพุ่งออกมาอย่างรุนแรง เขาจะอดทนต่อไปได้อย่างไรกัน? “อ่า! ฮัวเฉียนหวู่ เอาชีวิตของเจ้ามาให้ข้าซะ!” หลังจากจบเสียงคำราม ซ่งจงส่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าออกไปทันที สายฟ้าที่เขาส่งออกไปนั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาดซึ่งเป้าหมายของมันคือฮัวเฉียนหวู่!

แน่นอนว่าความเร็วของฮัวชิงหยุนที่อยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์นั้นเร็วกว่าซ่งจงอย่างมากโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการกระทำของฮัวชิงหยุนและซ่งจงนั้นดึงดูดความสนใจของเหล่าอสูรกายทันที เหล่าอสูรกายบางตนนั้นรับรู้ได้ว่าซ่งจงและฮัวชิงหยุนต้องการจะหยิบฉวยอะไรบางอย่างพร้อมกัน แน่นอนว่าพวกมันเลือกที่จะช่วยเหลือฝ่าบาทน้อยของตนเอง นอกจากนี้เหลยซานเอ๋อยังเข้าใจจุดประสงค์ของซ่งจงอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกคำสั่งให้ขัดขวางฮัวชิงหยุนเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ฮัวชิงหยุนจึงถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าอสูรกายจำนวนมาก แม้ว่าพลังของนางจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังอินทรีย์สายฟ้าและนกนางแอ่นจำนวนมาก นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลดความเร็วลง ดังนั้นซ่งจงจึงสามารถพุ่งไปที่เรือมังกรอัคคีได้ก่อน!

ในตอนนี้ความโกรธของซ่งจงนั้นพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด ร่างกายของเขาเกร็งจนกล้ามเนื้อทุกมัดปูดขึ้นมาจนฉีกเสื้อคลุมของเขาขาดและเผยให้เห็นหน้าอกอันแข็งแกร่งภายใน ด้วยความโกรธจัดที่มีซ่งจงในตอนนี้นั้นเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งความตาย เขาไม่สนใจผู้ฝึกตนระดับจินตันที่กำลังปกป้องฮัวเฉียนหวู่ ในตอนนี้สายตาของเขาพุ่งไปที่ฮัวเฉียนหวู่เท่านั้น

เมื่อได้เห็นว่าซ่งจงนั้นน่ากลัวเพียงใด ฮัวเฉียนหวู่ตกใจอย่างมาก นางกวัดแกว่งดาบบินของตนเองอย่างตื่นกลัวพร้อมกล่าววาจาติดขัด “เจ้า อย่าเข้ามาใกล้ข้า ข้า.. ท่านแม่กำลังจะมาช่วยข้าแล้ว!”

ซ่งจงป้องกันการโจมตีของเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันด้วยระฆังทองแดงที่มี ในเวลานั้นเขาปัดดาบบินของนางทิ้งพร้อมทั้งคว้าที่ลำคออย่างแม่นยำก่อนที่จะกล่าวออกมา “นังเพศยา ในตอนนี้แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้!”

แท้จริงแล้วถ้าหากไม่ใช่เพราะฮัวเฉียนหวู่นั้นใช้ปราณจิตวิญญาณในการต่อสู้ไปกับเหล่าอสูรกายจนหมดสิ้น อีกทั้งนางยังตกใจกับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของซ่งจง นางคงจะไม่ถูกจับอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่เมื่อนางต้องเผชิญหน้ากับซ่งจงที่ดุร้ายเช่นนี้ แน่นอนว่าพลังทั้งหมดของนางได้หมดไป ในขณะที่ซ่งจงนั้นคว้าคอฮัวเฉียนหวู่ได้ ฮัวชิงหยุนได้เข้าสู่เรือมังกรอัคคีเช่นกัน แต่ทุกอย่างได้สายเกินไปแล้วเพราะชีวิตของบุตรสาวของนางได้อยู่ในมือของซ่งจงแล้วในตอนนี้

ฮัวชิงหยุนนั้นรู้ดีถึงความบาดหมางของซ่งจงและฮัวเฉียนหวู่ สิ่งที่ทำให้ซ่งจงโกรธแค้นมากเช่นนี้ไม่ใช่อะไรที่สามารถลบล้างได้เลย! ซ่งจงสามารถสังหารนางได้ตลอดเวลา! ฮัวชิงหยุนไม่กล้าที่จะชักช้า นางรีบตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “ซ่งจง! ฮัวเฉียนหวู่นั้นยังเด็กเกินไปและที่นางทำลงไปเพราะความรู้เท่าถึงการ ได้โปรดปล่อยนางไป!”

“บัดซบ!” ซ่งจงตะโกนออกมาอย่างไร้ความเมตตา “อายุของนางในตอนนั้นราวเจ็ดสิบปี! เมื่อเทียบเท่ากับชีวิตของมนุษย์แล้วนับได้ว่าเกือบทั้งชีวิต! เจ้ายังกล้าพูดอีกงั้นหรือว่านางยังเด็ก!?”